October in Africa .. 12 วันลุยเดี่ยวแอฟริกาใต้ - แซมเบีย - ซิมบับเว FINAL

ต่อจากความเดิมครับ
เที่ยว Sun City / Johannesberg >>   https://pantip.com/topic/37087842
เที่ยว Zambia / Zimbabwe >>  https://pantip.com/topic/37153902


ส่งท้ายปี ด้วยการจบซีรีส์ ครั้งแรกในแอฟริกาครับ หลังค้างคามานาน วันนี้สัญญาว่าจะต่อให้จบครับ
ได้เวลาพาออกจากแซมเบีย และซิมบับเว กลับเข้าสู่ประเทศแอฟริกาใต้กันอีกรอบ โดยครั้งนี้ผมจะพาทุกท่านมาผจญภัยต่อใน เคปทาวน์

หลังจากผ่านพิธีการทั้งหลายทั้งปวงภายในสนามบินแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือ การเข้าเมืองครับ โดยหลักๆ ที่ผมเห็น มีอยู่ 2 หนทาง
คือ หนึ่งนั่ง Taxi ไป ราคาอยู่ราวๆ 200 แรนด์ ซึ่งสะดวกตรงที่พี่เค้าจะพาเราไปส่งถึงหน้าโรงแรม  หรือ สอง คือนั่งรถบัสเข้าไปที่สถานี Civic Center ราคา 100 แรนด์ แต่หลังจากนั้น คือหาทางกันเอาเอง ซึ่งผมเลือกวิธีที่สองครับ วิธีการไปขึ้นรถก็ง่ายแสนง่าย เดินออกมาจากสนามบิน สถานีรถบัสก็จะตั้งเด่นเป็นสง่าเลยครับ

รถก็จะพาเราเข้าเมืองมา ช่วงที่ผมมาถึงเป็นช่วงบ่าย รถก็จะไม่ติด เข้าเมืองใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้นเอง แต่ถ้าเป็นช่วงเช้า รถจะติดหนักมาก (ที่รู้เพราะตอนขากลับ กลับตอนเช้า ตอนนั่งรถ Taxi ไปสนามบิน ขาเข้าเมืองคือติดยาวหลายกิโลกเมตร เหมือนบ้านเราเลย)
เอาละครับ มาถึงเรียบร้อยสถานนี Civic Center

หลังจากลงรถ สิ่งที่ผมต้องทำก็คือการคลำทาง เพื่อเดินลากกระเป๋าไปยัง Hostel ที่จองไว้ ซึ่งห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งผมพักบริเวณแถวๆ Green Market ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเหมือนกัน แต่ ... สำหรับคุณผู้หญิงผู้เดินทางคนเดียว หรือ คุณผู้ประหม่า และประมาท ผมไม่แนะนำให้ไปพักตรงนี้ ให้เลี่ยงได้เลี่ยงเลย เพราะมันน่ากลัวมากกกกกกกก

จากรูปที่เห็นด้านบน มันดูสวยดีใช่ป่าวครับ แต่ .. ผมเตือนคุณแล้ว สถานที่จริง ไม่ได้สวยเท่ารูป
บรรยากาศตอนเย็นน่ากลัวอย่างถึงขีดสุด .. ผมเคยมีประสบการณ์สยองที่ San Francisco มาแล้วฉันใด
https://pantip.com/topic/34645989

วันนี้ในเคปทาวน์ กับสถานที่ตรงนี้ มันทำให้ผมหวนย้อนกลับไปถึงวันนันเช่นนั้นเลย .. ก่อนการเดินทางมาผมเคยดูรายการท่องเที่ยวรายการหนึ่ง ซึ่งพิธีกรหลักในช่วงท่องเที่ยวเป็นเจ้าของการประกวดนางงาม ... คุยกับพิธีกรหลักอีกคนหนึ่งกันว่า ในเคปทาวน์นี่ปลอดภัยมาก หาคนดำแทบไม่เจอ เดินไปตรงไหนก็ปลอดภัย .. วินาทีนั้นผมแทบอยากจะตีปากคนพูด 5555+
ย้ำตรงนี้นะครับ เคปทาวน์ ไม่ได้ปลอดภัยขนาดที่ท่านคิด โดยเฉพาะตรงจุดใจกลางเมืองระแวก Green Market
ช่วงเย็นๆ การเดินไปมาลำพังน่ากลัวมาก ไม่ได้น่ากลัวเพราะคนดำ แต่น่ากลัวเพราะ Homeless มีมากมายจริงๆ ในบริเวณนี้
ร้านค้า ร้านแลกเงิน ต้องมีลูกกรง ร้านค้ายามต้องมีปืน ทุกที่ ที่คุณเดินไป จะมีคนอยากเข้ามาประชิดตัวคุณตลอดเวลา
คนขายยา โจร วิ่งราว คนเมา มีให้เห็นได้เรื่อยๆ  ตำรวจ และ อาสาสมัครรักษาความปลอดภัย มีนับสิบ ทุกหัวมุมถนน แต่ไม่ได้แปลว่าเพียงพอ
ผมเห็นกับตาว่า ผู้หญิงคนหนึ่งโดนกระชากสร้อย ต่อหน้าต่อตา .. ทุกสถานที่ในบริเวณนี้เต็มไปด้วยเจ้าถิ่น โดยเฉพาะหลังพระอาทิตย์ตกดิน แม้แต่ในร้านเคเอฟซี ยังมีการปล้นกัน
ผมไม่ได้กำลังบอกว่า การไปเที่ยวที่นี่น่ากลัว แต่อยากบอกว่า คุณต้องระมัดระวัง และอย่าหลงไปกับคำชวนเชื่อว่า "เคปทาวน์ = ปลอดภัย"
ท้ายที่สุดทริปนี้ ผมกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่ผมก็เจอทั้งคนกระชากสร้อย คนเดินเข้ามาประชิดตัว ทั้งมาขายโคเคนให้ ทั้งเข้ามาขอเงิน
ทั้งเข้ามาทำไมก็ไม่รู้หลายครั้ง หลายหน  อย่างที่บอก แม้กระทั่งในร้านเคเอฟซี เราต้องรู้ว่าเราควรจะยังไงต่อ ตรงไหนเดินได้ก็เดิน เดินไม่ได้ ต้องรู้จักหันหลังกลับให้ไวที่สุด การแยกเงินออกหลายๆ ที่ และการพกเงินที่จะหยิบออกมาจ่ายให้ดูน้อยที่สุด เท่านี่จะน้อยได้ จำเป็นมากกก

วันแรกที่ผมมาถึง ก็คือ "จิตตก" ผมไม่กล้าออกไปไหนเลย เพราะช่วงที่ผมมา มันยังค่อนข้างคาบเกี่ยวระหว่างหน้าหนาวและใบไม้ผลิ 5 โมงก็เริ่มจะมืด ซึ่งเอาจริงๆ ในใจคิดถึงขนาดว่าจะยอมทิ้งเงินย้ายโรงแรมออกจากบริเวณนี้ (แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ย้ายนะครับ อยู่จนครบ 4 วัน) สิ่งที่ผมทำมีเพียงแค่การข้ามไปแลกเงิน เดินซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วก็ไปเดินชม Green Market ยามเย็นเล็กน้อย จนไปเจอสาวฝรั่งโดนกระชากสร้อยต่อหน้าต่อตา ผมเลือกเดินหันหลังกลับห้อง นอนดีกว่า ไม่กล้าไปต่อ

เอาละ ฉีดยาป้องกันเรียบร้อย ไปเที่ยวต่อได้ครับ ไม่มีเรื่องสยองเล่าละครับ ต่อไปคือการพาไปเที่ยวชิวๆ ละ
ที่แรก ระแวกทีผมพักครับ Green Market อันนี้ผมรวมภาพมาจากหลายวันนะครับ
ซึ่งแถวนี้ จะเป็นตลาดที่พี่ๆ เค้าจะมาขายของที่ระลึก พวก Hand Made ครับ
โดยในระแวกเดียวกัน จะมีโบสถ์ Central Methodist Church ให้ถ่ายรูปสวยๆ ครับ

เอาละ หลังจากไปนอนทำใจมา 1 คืน โดยมีรูมเมทจาก Norway เป็นเพื่อนคุย ชีวิตก็ต้องเดินหน้าฮะ

แม้ว่าภาพแรกเห็นในเคปทาวน์จะแอบตกใจไปบ้าง แต่หลังจากนี้ท่านจะได้พบมุมดีๆ อีกมากมาย
เริ่มที่เช้านี้ หลังจากเช็คเวลารถที่ผมจะขึ้นไปเที่ยวเรียบร้อยแล้ว ว่าผมมีเวลาอีก 40 นาที ผมเลยเลือกที่จะเดินเท้าออกมาไม่ไกล จาก Green Market มาที่หมู่บ้านลูกกวาดหลากสี Bo-Kaap Museum
ซึ่งเป็นชุมชนมุสลิมครับ ตรงนี้มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเยอะเชียว

หลังจากเรียบร้อย ก็เดินกลับไป ขึ้นรถ โดยการเดินทางของผมในเคปทาวน์ ผมยังคงเลือกใช้บริการเจ้ารถสีแดง 2 ชั้น Hop On Hop Off เป็นหลักเช่นเคย เพราะสะดวก ไม่แพงและครอบคลุมทั้งเมือง และจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ ทั้งหมด โดยที่เคปทาวน์ รถแดงนี้จะมีทั้งหมด 4 เส้นทาง คือ
เส้นทางสีแดง ที่จะพาเที่ยวในเขตเมือง และริมทะเล
เส้นทางสีเหลือ  ที่จะพาเที่ยวในเขตเมืองเก่า (เรียกแบบนี้ละกัน จริงๆ มันก็ไม่ได้เก่าอะไรแค่มีประวัติศาสตร์นิดหน่อย)
เส้นทางสีฟ้า  ที่จะพาออกไปนอกเมือง  + เส้นทางสีม่วง ที่จะพาไปเที่ยวไร่องุ่น ซึ่งวันนี้ผมเลือกเส้นทางนี้เป็นเส้นแรกครับ
ซึ่ง นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำไม ผมถึงเลือกพักระแวกนี้ในตอนแรกด้วย เพราะ Hostel ที่ผมพักเนี่ย อยู่ใกล้กับจุดจอดที่ 5 ของเจ้ารถ Hop On Hop Off ซึ่งเป็นจุดจอดหลักที่สามารถขึ้นรถได้ทุกเส้นทางเลยครับ

หลังจากรถสายสีน้ำเงินมา เราก็วิ่งขึ้นจับจองที่นั่งตามสะดวก พร้อมเสียบหูฟังบรรยายเพลินๆ รถก็จะพาเราวิ่งออกไปท่ามกลางอากาศ 10 องศานิดๆ เหมือน กทม. ช่วงนี้เลยครับ

โดยจุดแรกที่ผมจะลงคือ Kristenbosch Botanic Garden ซึ่งเป็นสวน (ไม่รู้เรียกแบบนี้ถูกป่าว) คือเป็นป่าก็ว่าได้ ที่รวบรวมดอกไม้ ต้นไม้สารพัด จากทั่วทุกมุมโลก เรียกว่าถ้าใครชอบต้นไม้ คือเดินเพลินทั้งวันหละครับ เพราะมันใหญ่มากกกก และสวยมากเลย
ขนาดผมเองที่ไม่ได้อะไรนักหนายังล่อเดินไปเป็นชั่วโมงๆ เหมือนกันครับ โดยที่นี่มีค่าเข้าชมท่านละ 70 แรนด์นะครับ

โดยไฮไลท์ของที่นี่ก็คือเจ้าสะพานไม้อันนี้แหละครับ ที่คนนิยมมาถ่ายรูปกัน ซึ่งกว่าจะหาเจอ ก็เดินกันเหงื่อตกนิดนึง เพราะทางเข้าเค้าลึกลับซับซ้อนอธิบายไม่ถูก คือ มันหาไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากครับ เอาว่า เข้าสวนไปแล้ว พยายามเดินไปทางซ้ายก็แล้วกันครับ เดี๋ยวก็เจอ 555+

หลังเดินเที่ยวสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอด ผมก็ออกเดินทางต่อ ด้วยการกลับไปขึ้นรถสายสีน้ำเงินนี่แหละครับ ไปยังจุดต่อไป คือไปลงที่ Constantia Wine Stop ซึ่งจากจุดนี้ เราจะต้องเปลี่ยนรถ จากสายสีน้ำเงิน ไปยังสายสีม่วงครับ (ซึ่งมันไม่ได้ยุ่งยากนะครับ มันมีป้ายและจุดจอดชัดเจนมาก)
โดยสายสีม่วงเนี่ย เค้าจะพาเราไปยังไร่องุ่นครับ ซึ่งที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องไร่องุ่นมาก และไวน์ที่นี่ก็ดังไม่แพ้กัน
โดยรถสายสีม่วงเนี่ยจะพาเราไปหลายไร่เลยครับ อยู่ที่ว่าคุณอยากจะเลือกแวะ เลือกลงที่ไร่ไหนก็ตามใจ
ส่วนผมก็เลือกแวะที่ Groot Constantia Wine Estate ครับ เพราะที่นี่ มีครบ ทั้งไร่องุ่น พิพิธภัณฑ์ไวน์ ไวน์เทสต์ และร้านอาหาร
ย้ำเลยว่า อาหารที่นี่อร่อยมากกกกครับ ผมทานกลางวันที่นี่ เรียกว่านั่งเพลินเลย

หลังจากอิ่มท้องสบายใจกันไปเรียบร้อย ก็กลับไปขึ้นรถสายสีม่วง แล้วก็ลงจุดเดิม ต่อรถสายสีน้ำเงินเหมือนเดิม
เห็นมั๊ยครับ ไม่ยากเย็นอะไร จ่ายเงินรอบเดียวคือจบ
หลังจากนั้นรถก็จะวิ่งผ่าน Imizamo Yethu หรือเรียกง่ายๆ ว่าชุมชนสลัมนั่นแหละ ซึ่งสามารถแวะลงไปเดินเล่นได้ครับ
ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะเค้าจะมีไกด์พาเดิน แต่ผมไม่ได้ลงครับ เพราะว่าผมไป Soeweto ที่โจเบิร์กแล้ว
ก็คิดว่าบรรยากาศบ้านสังกะสี ก็คงไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

โดยผมเลือกที่จะเลยมาลงที่ Hout Bay เลยครับ ซึ่งที่นี่ ถ้าใครจะเที่ยวเอง ขอให้จำชื่อให้ดีครับ เพราะจากอ่าวนี้ คุณสามารถนั่งเรือไปเกาะแมวน้ำได้ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่