[CR] Road trip to Leh : 10 วัน 10 คน 6 เมืองในอินเดีย

ไม่รู้ว่านี่เป็นการรีวิวรึเปล่า แต่เราขอเรียกมันว่า บันทึกการเดินทาง ก็แล้วกันนะ




เราเคยเห็นรูป Pangong lake และ Leh, Ladakh มาตั้งแต่สัก 10 ปีที่แล้ว แต่หารีวิวยาก ตารางชีวิตไม่ลงตัว หาเพื่อนร่วมทริปไม่ได้ สถานที่แห่งนี้เลยถูกจัดเก็บใน bucket list ของเราแทน จนสถานที่แห่งนี้เริ่มบูม คนไปเยอะขึ้น คนรู้จักมากขึ้น ทำให้เราเริ่มถามไถ่คนรอบตัวว่ามีใครอยากไปกับเรามั๊ย จนไปเจอเพื่อนอีก 2 คนที่อยากไปเหมือนกัน แต่คือ 3 คน ไปตะลุยอินเดียกัน เราคิดว่ามันไม่ง่าย ต่อให้พวกเราสั่งสมประสบการณ์การเดินทางกันมาบ้างแล้วก็เถอะ การล่อลวงหาสมาชิกเพิ่มของทริปนี้ก็เกิดขึ้น

สุดท้าย หลังจากพยายามขายโปรแกรมทัวร์นี้กับคนรอบตัว เราก็ได้สมาชิกเพิ่ม สรุปพวกเราที่จะไปทริปนี้มีด้วยกัน 10 คน (ผู้หญิง 9 คนและผู้ชายเพียงหนึ่งเดียว) ซึ่งเรารู้จักสมาชิกร่วมทริปนี้เพียงแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อน น้องที่ทำงานของเพื่อน ซึ่งยังไงก็เป็นคนแปลกหน้าของเราอยู่ดี หวั่นใจมาก ๆ ว่าคนไม่รู้จักกันต้องมาเที่ยวด้วยกัน 10 วัน จะเข้ากันได้มั๊ย ผู้หญิงเยอะขนาดนี้จะตีกันรึเปล่า จริตเราจะจูนกันติดมั๊ย เราจะคลิ๊กกันได้แค่ไหน แต่คิดไปก็คงหาคำตอบไม่ได้ นอกจากพวกเราจะเริ่มต้นออกเดินทาง...

เท่าที่หารีวิว คนส่วนใหญ่จะบินจากกรุงเทพ ไปเดลี แล้วบินเข้า Leh แต่ด้วยความที่เราไม่อยากบินเข้าไป เราตั้งใจตั้งแต่แรกว่าอยากจะนั่งรถเข้า Leh ผ่านเส้นทาง Manali-Leh ทำให้ต้องหาข้อมูลเยอะขึ้น ต้องรอให้ทางเปิดก่อน รอเคลียร์หิมะ ซึ่งปกติทางเส้นนี้จะเปิดประมาณเดือนพฤษภาคม แต่ถ้าปีไหนหิมะเยอะมาก เวลาเปิดของเส้นทางนี้ก็จะขยับออกไป พวกเราจึงตัดสินใจที่จะไปกันตอนปลายเดือนมิถุนายน เพื่อความชัวร์ว่าถนนเส้นนี้เปิดแล้วจริง ๆ และไหน ๆ จะไปอินเดียแล้วทั้งที ก็ขอแวะเที่ยวเมืองอื่น ๆ ด้วยเป็นของแถม ทำให้โปรแกรมเราออกมากันเป็นแบบนี้ (นี่คือแพลนที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งไม่ตรงกับแพลนที่วางไว้ก่อนไปนะ เพราะสิ่งที่เจอเฉพาะหน้าทำให้แพลนเปลี่ยนเล็กน้อย)



17/6 ออกเดินทางกันตอนกลางคืน ปลายทางคือ Jaipur
18/6 Jaipur tour แล้วนั่งรถไฟไป Agra
19/6 Agra tour แล้วนั่งรถไฟไป Delhi เพื่อนั่งรถบัสไป Shimla
20/6 Shimla tour
21/6 นั่งรถไป Manali
22/6 เริ่มเส้นทาง Manali-Leh ค่ำไหนนอนนั้น ตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็น Jispa ไม่ก็ Sarchu
23/6 มุ่งหน้าเข้า Leh
24/6 Pangong lake
25/6 Nubra valley
26/6 Leh tour
27/6 บินเข้า Delhi, Delhi tour แล้วบินกลับไทยตอนดึก ๆ
28/6 ถึงเมืองไทยตอนตีสามกว่า ๆ



ตั๋วเครื่องบิน
พวกเราเริ่มจองกันประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ แยกจองหมดเลย บิน 3 สายการบิน
Thai smile : BKK - Jaipur บินตรง มีอาหารเสิร์ฟ สะดวกสบาย คนละประมาณเกือบ ๆ ห้าพันบาท
Go Air : Leh - Delhi คนละประมาณเกือบ ๆ หกพันบาท ซึ่งจริง ๆ เราว่ามันน่าจะมีถูกกว่านี้ แต่เราหาได้แค่เท่านี้ เศร้า
SpiceJet : Delhi - BKK บินดี นั่งสบาย คนละประมาณห้าพันกว่าบาท แต่เหตุการณ์บนเครื่องไฟล์ตนี้เป็นประสบการณ์ใหม่ของเรามาก จำฝังใจเลย ติดตามอ่านให้จบนะ แล้วจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเครื่องลำนี้ เผื่อใครจะเคยเจอแบบเรา มาเล่าให้ฟังบ้างนะ

ที่พัก
เราจองผ่าน agoda กับ booking เลย ยกเว้นเฉพาะที่พักระหว่างทางเส้น Manali-Leh และที่ Pangong lake พวกเราตัดสินใจไปหาเอาข้างหน้า
ราคา hostel ก็ไม่ได้แพงมากมายเท่าไหร่ ทั้งทริปที่เราคิดว่าแพงสุดน่าจะเป็นที่พักที่ Shimla

ตั๋วรถไฟและตั๋วรถบัส
พวกเราพยายามที่จะซื้อเองแบบ online อยู่นาน แต่ด้วยระบบที่ยุ่งยาก ทำยังไงก็ซื้อตั๋วไม่ได้สักที สุดท้ายเลยต้องพึง agency ง่ายสุด เร็วสุด ได้ตั๋วชัวร์
รถไฟ Jaipur - Agra แบบ AC Chair (CC) คนละประมาณ 380 บาท เป็นตู้มีแอร์ มีพัดลมเปิดด้วย
รถไฟ Agra - Delhi แบบ AC Chair (CC) คนละประมาณ 420 บาท เป็นตู้แอร์ มีพัดลมเปิดเหมือนกัน แต่มีอาหารเสิร์ฟด้วย
รถบัส Delhi - Shimla ของ Volvo แบบรถนอน 30 ที่นั่ง คนละประมาณ 500 บาท

รถเหมาที่ใช้เดินทาง Shimla-Manali-Leh และใน Leh
ของ Shimla-Manali-Leh เราเดินถามราคาจาก agency เอาเลย พอใจรถและราคาของเจ้าไหน ก็เอาเจ้านั้นแหละ
ส่วนที่ Leh จะถามจากที่พักหรือ agency ก็ได้ ราคาเหมือนกัน

Visa
พวกเราทำ e-visa กันไป เพราะราคาถูก คนละประมาณ 1800 บาท และเช็คแล้วว่าเมืองที่เราจะไป e-visa คลอบคลุมหมด
การทำก็ง่าย กรอก application ใน website อัพรูปเรา อัพหน้า passport จ่ายเงิน แล้ววันถัดมาก็ได้ visa มาแหละ รวดเร็วมาก ๆ

Internet/Roaming
ในทริปมีใช้ Sim2Fly กับ roaming ของ Dtac ซึ่งเราว่า Sim2Fly ดีกว่าเยอะเลย เล่นได้ตลอด ยกเว้นใน Leh ที่เค้าบอกอยู่แล้วว่าสัญญาณไม่คลอบคลุม แต่ roaming Dtac คือติดบ้าง ไม่ติดบ้าง ถอดใจกันไปเลยดีกว่า
ส่วน pocket wifi กับซื้อ sim ที่นู่น พวกเราไม่ได้ลอง เลยไม่รู้ว่าสัญญาณจะดีงามแค่ไหน

อาหารการกิน
ปกติทั่วไป ราคาก็ไม่แพงนะ กินอิ่ม มื้อนึงคนละประมาณ 100-150 บาท ถ้าไม่เอียนเครื่องเทศเค้าก่อนนะ พกของกินจากไทยไปเถอะ พวกเราพกไปเยอะมากทั้งน้ำปลาซอง มาม่า หมูแผ่น หมูหยอง น้ำพริก อาหารสำเร็จรูปต่าง ๆ บ๊วยแก้เมารถ ขนมต่าง ๆ มันช่วยได้จริง ๆ นะ

ยาๆๆๆ
โชคดีที่ทริปนี้เรามีหมอยาไปด้วย 2 คน ทำให้เราไม่ต้องจัดการเตรียมยาอะไรไปมาก เราให้หน้าที่หมอยาจัดให้อย่างเต็มที่ ซึ่งเตรียมไปเยอะมาก ทั้งยาแก้ไข้ แก้หวัด แก้ปวด ลดน้ำมูก แก้อักเสบ แก้ท้องเสีย แก้คลื่นไส้อาเจียน เกลือแร่ รวมทั้ง Diamox ยาแก้แพ้ความสูง (คนแพ้ sulfa กินไม่ได้นะ ใครที่แพ้ ลองเช็คเภสัชกรดูว่าต้องกินตัวไหนแทน)

ที่สำคัญ อย่าลืมทิชชู่เปียกและทิชชู่แห้ง เราว่ามันจำเป็น โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน นั่งรถข้ามคืน ไม่ได้แวะอาบน้ำไหน ทิชชู่เปียกเช็คตัวให้หายเหนียว ทำให้รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยนะ

ช่วง 2 วีคก่อนเดินทางเป็นช่วงที่ความตื่นเต้นในการเดินทางเริ่มเข้ามาทักทาย ความหวั่นใจในเพื่อนใหม่ที่จะได้รู้จักเริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่ความวุ่นวายในการปริ๊นท์เอกสารต่าง ๆ โดยเฉพาะตั๋วเครื่องบิน (ต้องแสดงทุกครั้งพร้อม passport สำหรับการเข้าในสนามบินที่อินเดีย) และการจัดกระเป๋าสามารถลดระดับความกังวลทั้งหลายได้ เลือกเสื้อผ้า หยิบเข้า หยิบออก เลือกนานมาก เพราะเมืองที่เราแพลนจะไปกัน จะเจอทั้งที่แบบอากาศร้อนมาก ๆ ไปยังหนาวมาก ๆ จะหยิบทุกอย่างเข้าเป้ยักษ์ก็ทำไม่ได้ เพราะน้ำหนักทั้งหมดคือสิ่งที่ต้องแบกอยู่บนหลังเราตลอดทริปนี้



คืนวันที่ 17 มาถึงแล้ว พวกเราเจอกันสี่ทุ่มที่สนามบิน เพื่อนใหม่ถูกแนะนำ พร้อมกับถ้อยความเพื่อเริ่มต้นมิตรภาพด้วย เป้ใหญ่จัง เอาของมาเกินไป ใครเป้เล็ก ก็จะบอกว่า เอาของมาครบรึเปล่า  

คนครบ เราก็เช็คอิน ซึ่งพนักงานที่ counter ทักพวกเราว่า ไปทำอะไรกันที่อินเดียตั้ง 10 วันครับ มีอะไรให้ไปเที่ยวหรอครับ ไปกันนานจัง ... อื้อหือ ทักมาแบบนี้ เสีย self นิดนึง เราวางแพลนจำนวนวันเยอะไปหรอ แต่นี่คือตารางเบียดจะแย่อยู่แล้ว แต่คำถามที่น้องถามมา เราฉุกคิดนะ นั่นสิ อินเดียมีอะไร ทำไมเราถึงไปกัน อีกนิดเราจะได้รู้คำตอบแล้ว

ถึงหน้า gate เราแชะรูปหมู่เป็นที่ระลึกก่อนจะไปผจญภัยด้วยกัน จังหวะที่ก้าวเข้าเครื่องบิน แล้วเจอแอร์สาวสองคนยืนต้อนรับ ทำหน้าดีใจมากแล้วพูดว่า ดีใจจังคะ มีคนไทยแล้ว พวกเราถึงเพิ่งสังเกตว่ารอบตัวเรามีแต่คนแขกหมดเลยยยยยยยยย นี่คือให้ฝึกปรับตัวตั้งแต่บนเครื่องเลยใช่มั๊ย

enjoy อาหารและขนมบนเครื่องได้ไม่นาน พวกเราก็มาถึง Jaipur กันตอนตีหนึ่งกว่า ๆ (เวลาที่นู่นช้ากว่าไทยชั่วโมงครึ่ง) พร้อมความรู้สึกที่ว่า อินเดียจริง ๆ แล้วนะ หลายรีวิวที่อ่าน ข้อคำเตือนต่าง ๆ ที่ผ่านตาและเข้าหู ทำให้คิดได้ว่า สติต้องมาแล้วนะ ต้องพร้อมนะ

ผ่าน ตม. มาแบบไม่ติดอะไร เอาเป้ขึ้นหลัง มองนาฬิกา จะตีสามแล้ว ก้าวออกจากสนามบินสู่อินเดีย แล้วไปหา taxi กัน
พวกเราเลือกใช้ prepaid taxi ที่สนามบินนั่นแหละ ง่ายสุดแล้ว 10 คน รถ 3 คัน คันละ 450 รูปี (ประมาณ 225 บาท) แต่กว่าจะล้อหมุน พี่ taxi งงกับที่อยู่ hostel เรามาก จนสุดท้ายต้องโทรไปถามว่ามันอยู่ตรงไหน แล้วถนนหนทางก็มืดเหลือเกิน มองหาอะไรก็แทบไม่เห็น แต่สุดท้ายเราก็เจอที่พักกัน

คืนนี้เรานอนที่ Moustache hostel จองไว้ 12 เตียง ห้องละ 6 เตียง (ห้องน้ำในตัว) เพื่อให้ได้เป็นห้องของพวกเรา แต่เอาเข้าจริง มีแหม่มคนนึงตีมึน นอนผิดห้อง แต่ไม่ยอมย้ายห้อง คุยไปคุยมา สุดท้ายพวกเราเลยได้ห้องส่วนตัวแค่ห้องเดียว อีกห้องก็นะ มันไม่ส่วนตัว แต่เหนื่อยแล้ว ตีสี่กว่า ๆ แล้ว พรุ่งนี้เรานัดกัน 8 โมงเช้าเพื่อไปท่อง Jaipur กัน ปิดตาแล้วนอนกันเถอะ



เช้าแล้ว ไม่อยากตื่นก็ต้องตื่นนะ จะได้เวลาไปท่องโลกกว้างแล้ว แต่ระหว่างรอสมาชิกพร้อม เราแอบแว่บขึ้นมาดาดฟ้า ดูวิวนิดหน่อย



พอคนพร้อม หอบเป้มาฝาก hostel ด้านล่างไว้ เดี๋ยวตอนเย็น ๆ ค่อยมาเอา แล้วก็ออกไปท่อง Jaipur กัน
แต่เพราะเวลาที่จำกัด เราเลยตัดสินใจที่จะไปกันแค่ 3 ที่พอ แล้วเราก็เริ่มมองหารถริคชอว์กัน มันก็จะคล้าย ๆ ตุ๊ก ๆ บ้านเรานี่แหละ
พอดีมีคันนึงวิ่งผ่านหน้า hostel พอดี เราบอกแพลนของเรา เค้าเสนอราคา ต่อราคากันไปมาจนโอเคทั้งสองฝ่าย แต่พี่แกบอกว่า ต้องไปตามเพื่อนมาอีกคันก่อนนะ ไม่ไกล ให้พวกเรา 10 คนอัดกันไปรถแก เพื่อไปเจอรถเพื่อนแกอีกคันแล้วจะได้ไปเลย ไม่ต้องแวะกลับมานี้ ... ว่าไงก็ว่างั้น 10 คนบนรถคันเดียวกับเพื่อนเก่าส่วนนึง เพื่อนใหม่ส่วนนึง ตอนนี้เลยกลมเกลียว กอดเกยกันไปเลย



ลมร้อน ๆ ปะทะใส่หน้า มองวิวเพลิน ๆ ฟังเสียงแตรเป็นดนตรีขับกล่อมตลอดทาง พวกเราก็มาถึงจุดหมายแรกกัน Amber Fort ซึ่งก่อนจะถึง พี่คนขับมีจอดข้างทางแล้วบอก photo photo โอเคค่ะ พี่เสนอมาขนาดนี้ พวกเราก็ไม่ขัดศรัทธา โดดลงไปถ่ายรูปเล่นเลย



ถ่ายรูปกันเพลิน ๆ ได้ยินเสียงพี่แขกโวยวายมาไกล ๆ วิ่งเข้ามาหาพวกเรา พอมาถึงปุ๊บ นั่งลง เปิดฝาหม้อ เป่าปี่ให้งูโผล่มาเลย แต่พี่คะ งูไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนเสมอไปนะ เราโดดขึ้นรถอย่างไวเลย แต่พี่เราบอก ขอถ่ายรูปแปบนะ แล้วตามหลังเรามาไว ๆ พอกัน



แล้วพี่คนขับก็พาเรามาถึงลานแห่งนึง เค้าบอก เค้าจะจอดรอตรงนี้นะ ให้พวกเราเดินกันไปต่อ ไม่ไกลหรอก 5 นาทีก็ถึง แล้วพวกยูเดินเล่นกัน 50 นาที แล้วเดินกลับมาอีก 5 นาที ทั้งหมดชั่วโมงนึง พอเนอะ เราต่อรองเป็นชั่วโมงครึ่ง ก็ไม่ยอม บอกแต่ว่า มันไม่มีอะไรหรอก ชั่วโมงเดียวก็พอ

ออกจากลานจอด เดินมึน ๆ กันมา งงทิศ งงทาง ถามคนแถวนั้น เค้าก็ชี้ ๆ ให้ไปในตรอกนั้นแหละ ใกล้สุดแล้ว เดินไต่เนินกันขึ้นไป ใช้เวลามากกว่า 5 นาทีอีก



สุดท้ายพวกเราก็มาถึงทางเข้า มันอลังการนะ มันใหญ่โต



ถ่ายรูปเล่นข้างนอกสักพัก ก็คิดว่า ไหน ๆ ก็มาแล้ว เสียเงินเข้าไปดูข้างในด้วยล่ะกัน ค่าตั๋วคนละ 500 รูปี (250 บาท) ได้ออกมาเป็นใบเสร็จธรรมดา ที่เอาไว้โชว์ว่าชั้นจ่ายเงินแล้วนะ แค่นั้นแหละ

ชื่อสินค้า:   india leh agra jaipur delhi shimla manali
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่