ผม และกรรมของเขา ตอนที่ 8 ผจญผีในโรงพยาบาล 3 วันสุดท้าย

ตอนที่ 8  
เหลืออีก 3 วัน ของการได้อยู่โรงพยาบาล รามาฯ กับบรรยากาศ หลอนมากขึ้นทุกวัน (- -*) ผมพยายามมาก ที่จะประคับประคองสติตัวเองให้ผ่านพ้นไปมากที่สุด การได้นอนโรงพยาบาลของผม มันค่อนข้างจะแปลกแหวกแนวอยู่บ้าง บางคนสงสัยว่า ผมได้คล้องพระหรือเปล่า? คุณครับ ผมไม่กล้าที่ถอดพระออกจากคอเลย หลวงปู่แหวนก็ยังอยู่บนคอคุ้มครองผมอยู่เสมอ แม้กระทั่งอาบน้ำผมยังนิมนต์หลวงปู่คุ้มใจผมเลย  เวลาหลับ ผมยังคงหวาดๆ กับภาพเตียงเลือดท่วมอยู่ ก่อนนอนผมก็ยืนมองเตียงสำรวจหาว่าเลือดท่วมรึปล่าว?   ตอนตื่น ผมก็รีบลุกมามองเตียงว่ามีเลือดมั้ย?  ทำไปทำมา คล้ายๆกับคนเป็นโรคประสาทอยู่หน่อยๆ ทำไมคนอื่นเขาหลับกันง่ายจังเลยก็ไม่ทราบ ไม่มีใครที่มีแววตาหวาดกลัวได้เท่าผมแล้วล่ะครับ 5555
ตอนที่ 7 ผมจบลงตรงที่ ผมนอนหลับไป ของคืนที่ 2 ในการอยู่โรงพยาบาล 2 วัน  ก็จริง แต่ผมรู้สึกว่า ผมใช้ชีวิตที่นั่น นานเหลือเกิน ยิ่งวันนี้เข้าสู่วันที่ 3 ด้วย มันยิ่งเพิ่มบรรยากาศความหดหู่ยิ่งกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะ ผมได้ฝันว่าเจอบรรดาผีต่างๆ มาจากทุกทิศทุกทาง เข้ามาหาผมก็ได้.... ผมจำได้ว่า คืนที่ 3 ผมฝันว่า มีคนมานั่งอยู่บนเตียง ตรงปลายเท้าของผม เสียงร้องไห้ ทำให้ผมรู้สึกตัว ผมไม่คิดหรอกว่าใครจะมานั่งร้องไห้ตรงปลายเท้าผม เหมือนเสียงมันใกล้แต่ก็พยายามไม่คิดว่ามันจะเป็นที่เตียงผม คิดไปได้ว่า ญาติคนไข้ของเตียงอื่นๆ เขาอาจจะได้รับข่าวร้ายจากหมอ พยาบาล เพราะตัวผมเองไม่มีญาติที่ไหนมาเยี่ยมแน่นอน สิ่งที่ผมเป็นอยู่ทุกคืนของการหลับ คือ การเอาผ้าห่มคลุมโปง และตอนนี้ ผมก็ยังเป็นอยู่ เหตุผลของการนอนคลุมโปง เป็นเหตุผลที่เดาง่ายมากๆครับ นั่นก็คือ  ผมกลัวผี (555555 จริงใจเนาะ) ข้อสอง คือ ในยามที่ผมหลับตา ผมเหมือนไม่ได้หลับตา  อธิบายยังงัยดี เอางี้ครับ โดยปกติ คนเราเวลาหลับตาก็จะไม่ค่อยเห็นอะไร แต่สำหรับผม หลับแล้ว มันยังเห็นภาพได้จากตรงหน้าผาก เหมือนกับว่า ผมยังคงเห็นภาพได้ แม้จะพยายามหลับตาแค่ไหนก็ตา ผมจึงเอาผ้าห่มคลุมไว้อีกที เพื่อให้มันรู้สึกมืดจริงๆ ผมถึงจะรู้สึกว่าปลอดภัย ...

เสียงร้องไห้ไม่ทำให้ผมกังวลเท่าไรนัก เพราะผมคิดว่า ผมนอนอยู่ที่ห้องผู้ป่วยรวม มันก็ต้องมีเสียงคนทั่วไปอยู่แล้ว ผมขยับผ้าห่มคลุมโปงให้มิดชิด เพราะไม่อยากรับรู้เรื่องของคนอื่น แต่...ผมกลับรู้สึกถึงการยุบ ของเตียงที่ผมนอนน่ะครับ เอาล่ะซิ ปัดโธ่!!!!!ว้อยยยยยยยยยย (T_T) ผมเริ่มเซ็ง ในทันทีที่ผมรู้ตัวว่า เตียงผมแน่ๆ  ผมถามตัวเอง เอางัยดีวะเนี่ย...ผีเด็กน้อยเอ๊ย .... อยู่ไหนวะ? หรือว่า เป็นเอ็งป่ะวะเนี่ย เสียงร้องไห้ เพิ่มความดังมากขึ้น เหมือนกับเขารู้ว่า ผมได้ยินแล้ว แต่ยังไม่ยอมมอง ผมรีบอาราธนาหลวงปู่แหวนอย่างไวเลยครับ ยิ่งผมอาราธนาพระ เสียงก็ยิ่งดังขึ้น (ฮืออออออออออออ) เสียงลากยาวๆ เย็นๆ จนน่าขนลุก แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กูร้องไห้บ้างได้มั้ยวะ? (T_T) เอาวะ ...ผีก็ผีวะ รบกวนการนอนเนี่ย มันก็จะเสียมารยาทมากๆเลยนะครับ (เวลาผมง่วงนี่ ผมจะดุร้ายพอสมควรเลยล่ะ) ผมยอมเปิดผ้าห่มออกดู (โดยแง้มผ้าห่มออกมาเล็กน้อย แบบแอบ ซุ่มตัวในผ้าห่มพร้อมโจมตี) แล้วก็เห็นว่า ยังมืดอยู่เลย แต่เห็นเป็นเงาของคนนั่งหันหลังให้ผม (โล่งอกที่เขาไม่หันหน้ามา) ผมนอนมองด้วยความสงสัย ก็เตียงมีตั้งมากทำไมต้องเป็นเตียงผมด้วย ด้วยความสงสัย ปนความง่วง ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมถามออกไปว่า “มาร้องไห้เตียงผมทำไมครับ เป็นไรอ่ะ ร้องไห้ทำไม ????” เสียงร้องไห้เงียบทันที เห็นว่า เขาหยุดเงียบลง แล้วอยู่ๆก็หันควับมากะทันหัน... ผมตกใจมาก ....(เห้ยๆๆ ยังไม่พร้อมจะเห็นหน้าครับ ..) แต่...ภาพที่เห็น มันไม่ใช่หน้าผี อย่างที่ผมคาดว่าจะได้เห็น แต่ผมกลับเห็น ว่า ผมยืนมองภาพอยู่ข้างเตียง เตียงหนึ่ง เห็นผู้ชายนอนอยู่เตียง เขาดูป่วยมาก ผอม มองแล้วคงจะเป็นโรคร้าย เขาไม่อยากจะขยับตัว เหมือนเขาหมดอาลัยตายอยาก ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาได้ยินเสียงญาติเดินเข้ามา เขาจึงแกล้งทำเป็นหลับ ญาติเห็นเขาหลับ จึงคุยกันว่า เมื่อไรเขาจะตายเสียที แล้วก็ตกลงกันว่า จะได้รับเงินประกันเท่าไร เขาทำประกันชีวิตที่ไหนบ้าง ? ค่ารักษาพยาบาลใช้สิทธิ์อะไร หักแล้วเหลือเท่าไร อยู่เป็นภาระเหลือเกิน เขาได้ยินทุกอย่างเลย แต่ก็เงียบ มันเป็นภาพๆ นะครับ มันเหมือนฟิล์มหนัง

มันเริ่มจาก อาการป่วย ที่หมอขอให้เขามารักษาตัวที่โรงพยาบาล แล้วมันก็เป็นภาพที่ตัวเขาทำงานอย่างหนัก ภาพเขาทำงานในออฟฟิศเพื่อหาเงินมาให้กับครอบครัว และญาติ เขานอนเสียใจอยู่อย่างนั้น วันแล้ววันเล่า เขารู้สึกหดหู่ใจมาก ตอนนี้เขาป่วยเป็นโรคร้าย และก็ถูกครอบครัวและญาติวางแผนเอาเงินประกัน ทั้งๆที่เขายังไม่ตายสักหน่อย ความรู้สึกหมดหวังในการต่อสู้กับชีวิต ทำให้เขาตรอมใจ ญาติที่มี ก็เหมือนไม่มี มันโดดเดี่ยวอ้างว้างจนสะท้านไปในอกของผม เสมือนหนึ่งผมเป็นเขาเสียเอง หมอเดินมาหาเขาเพื่อให้เขาต่อสู้และมีกำลังใจ แต่สำหรับเขา เขาเลือกที่จะไม่ออกจากโรงพยาบาล เลือกที่จะอยู่ที่นี่ ตายที่นี่ มันคงมีค่ามีความหมายเสียมากกว่า ความสลดใจทำให้ซึมและหดหู่ หมดสิ้นความหวัง แล้วโรคร้ายก็ทำให้เขาจบชีวิตบนเตียงนี้ล่ะครับ วันที่เขาตายเลือดนองท่วมบนเตียงนี้ล่ะ

ผมสะเทือนใจมาก ...อ้อ ละครชีวิตใช่มั้ย? จุดจบของคนๆหนึ่ง ผมกลัวผีนะครับ แต่ตอนนี้ ใจมันอ่อน อ่อนจนเหลวและไหลออกมาทางตา ...แล้วผมก็เห็นภาพของผู้ชายคนนึงใส่ชุดโรงพยาบาลสีเขียวเก่าๆ ยืนอยู่ข้างเตียงผม ขนผมลุกไปทั้งตัว แต่เพราะใจผมเหลวเป๋วไปแล้ว  ผมก็เลยลืมความกลัว ได้แต่เห็นใจเขาแทน ... สุดท้ายคนเราเกิดมาเพื่ออะไรหนอ...ผมมองเขาที่ยืนก้มหน้า ตรงข้างเตียงผมอย่างไม่รู้จะช่วยยังงัย ผมมีแต่ความรู้สึกส่งไป ผมเข้าใจนะ ...ผมเข้าใจ ...  ในจังหวะที่ผมกำลังคิดว่าจะลุกไปหาเขานั้น อยู่ๆ เสียงผีเด็กน้อยก็ดังขึ้น “พี่ๆๆๆ ตื่นได้แล้ว พี่ๆ” ผมได้ยินแต่เสียง แต่ไม่เห็นตัวนะครับ  เสียงนั้นทำให้ผมรู้สึกตัวจริงๆ ลุกขึ้นนั่งในทันที สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือ จับผ้าห่มและจับเตียงที่ผมนอน ให้ตัวเองรู้สึกว่า ได้สัมผัสกับสิ่งของต่างๆใกล้ตัว ให้เร็วที่สุด เพื่อยืนยันว่าผมตื่นจริง ไม่ใช่ตื่นในฝัน ผมรีบลุกขึ้นจากเตียงนอน เพื่อตรวจหาเลือดบนเตียง ว่าผมนอนบนเตียงเลือดท่วมหรือเปล่า? ไม่มี ...(เห้อ...โล่งอก)  แต่สิ่งที่ผมเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ ยังคงติดตา ติดใจผมอยู่ (และคงติดมาจนถึงทุกวันนี้) ผมถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวพบหมอที่จะมาตรวจในตอนเช้า ความรู้สึกกระดี๊กระด๊า กับการได้เจอนักศึกษาแพทย์ของผม วันนี้ค่อนข้างเหี่ยวเฉา ...ผมอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้มาช่วยพยาบาลดูแลคนป่วย วันนี้ หมอตรวจผมแล้วก็บอกผมว่า อาการผมดีขึ้นอย่างน่าใจหาย ทั้งๆที่หมอยังไม่ได้รักษาอะไรเลย แต่หมอขอเพิ่มยาให้ผมสักหน่อย เพื่อรักษาภูมิคุ้มกันในตัวผมที่ดูจะ ไม่ค่อยคงที่ หมอให้ผมดูกระจก เห็นว่า ลูกตาที่ถลนออกจากเบ้าที่ว่าเข้าที่แล้ว วันนี้ดูดีกว่าเมื่อวานมากๆ แต่นัยน์ตาของผมยังคงแดงก่ำ เส้นเลือดในตายังแตกยับเยินอยู่มาก แม้ว่าจะดีกว่าเมื่อวาน แต่หมอว่าจะไว้ใจไม่ได้ ไม่รู้ว่า ความดันในตัวผมจะดันลูกตาจนหลุดออกมาเมื่อไร ผมฟังด้วยความรู้สึกเฉยๆครับ ลืมไปเลยว่าเคยเป็นอะไร อาจจะเพราะมัวแต่คิดเรื่องที่ฝันเมื่อเช้า

วันนี้ผมป้อนอาหารคุณลุงหูหนวกอีกตามเคย ลุงเองก็ดูกำลังใจมากขึ้น (ส่วนตัวผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่เหมือนเดิม) รอยยิ้มของลุงในยามที่มองผม มันบาดลึกเข้าไปในหัวใจของผมมากๆ ลุงชี้ไปที่หนังสือสวดมนต์ แล้วยกนิ้วทำท่ากดไล้ท์ให้ผม ผมก็ยิ้มให้ เขียนใส่กระดาษว่า “ขอให้ลุงมีความสุขนะครับ หายไวๆ” และเขียนบอกว่า “วันนี้หมอน้อย (นักศึกษาแพทย์)สาวๆ สวยเหมือนเดิม” ลุงหัวเราะชอบใจ นั่นเป็นเสียงหัวเราะแรกที่ผมได้ยินจากลุง ความสดชื่นจากหลายๆคนที่ผมได้ป้อนข้าว มีมากขึ้นมากกว่า วันแรกๆของการมาอยู่โรงพยาบาล เราทำตัวเป็นญาติให้แก่กันและกัน ลุงในห้องพิเศษ เริ่มมีอาการซึมเศร้า เงียบไม่ยอมคุยกับใคร เนื่องจากอาจจะรู้ตัวแล้ว และวันนี้ ไม่สามารถทำใจให้ยอมรับได้ พี่พยาบาลปลอบใจยังงัย แกก็ยังคงซึมอยู่ ผมเดินออกไป ข้างล่าง ลงไปซื้อของในเซเว่น เพื่อลดความตึงเครียดให้กับตัวเอง ลงไปจุดธูปที่ศาลเสด็จเตี่ยเหมือนเดิม ผมเจอลูกของยาย ตอนที่ผมแอดมิดเข้าโรงพยาบาลวันแรก ยายที่เป็นลมเมื่อเห็นหน้าผมเนี่ยแหละ เขาเข้ามาทักผม และบอกข่าวยาย ว่าตอนนี้ หมอสงสัยว่าจะเป็นเนื้องอก หมอขอให้ยายเข้าเครื่อง MRI เพื่อตรวจให้ละเอียด แต่ยายไม่ยอม และยายก็พูดถึงผม แบบรู้สึกผิดที่ยายทำให้ผมรู้สึกว่า ผมเป็นตัวน่าเกลียดน่ากลัว โทษตัวเองว่า เป็นเพราะยายคิดร้ายกับผม ว่าผมเป็นผี ยายจึงฝันไม่ดีและทำให้ยายต้องเจอบาปกรรมแบบนี้

ผมฟังแล้ว..รู้สึก ...มึนๆ... ใครจะคิดกับผมยังงัย ผมไม่ว่าหรอกครับ เพราะผมก็รู้ตัวว่าผมน่ากลัวจริงๆ ฝากบอกยายด้วยว่า อย่าคิดมากครับ ผมไม่ถือโทษโกรธยายเลยครับ ขอให้ยายหายป่วย และสุขภาพแข็งแรงนะครับ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกสาวของยายเข็นรถเข้ามาหาผม  ยายเห็นผมก็ร้องไห้ พลางขอโทษขอโพยผมเป็นการใหญ่ ยายบอกว่า ฝันว่า ผีเด็กมาหลอก และก็ดุด่าว่ายาย  ที่ยายทำไม่ดีกับผม และยังมีผีอื่นๆอีกที่มาหลอกยาย ผมมองยายแล้วรู้สึกเห็นใจยายมาก ยายจับมือผมข้างนึง อีกข้างนึงก็ปาดน้ำตาไปด้วย จังหวะที่ลูกชายยายคนที่ยืนคุยกับผมเอื้อมมือมาจับมือของยายที่จับผมนั้น ผมรู้สึกวูบไป แล้วเห็นภาพเด็กน้อยยืนบนไหล่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่