สวัสดีครับ อันนี้เป็นรีวิวแรกของผม ติชมแนะนำยังไงบอกได้นะครับ ขอบคุณครับ
Intro:
ก่อนอื่นเลย เนื่องจากผมอยู่กับแฟน แล้วแฟนผมเค้าชอบเปิดเสียงคอมดังเวลาดูหนังฟังเพลง ทำให้อรรถรสในการเสพ Media ของผมลดลง ครั่นจะเปิดเสียงสู้ ก็ไม่วายโดนแฟนตี (สู้ไม่ได้ ยอมแพ้ ฮาๆ) ผมเลยต้องเริ่มมองหาหูฟังนะครับ มาเริ่มกันเลย
ผมเป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดา การซื้อของพวกนี้ส่วนตัวถือเป็นเรื่องฟุ้มเฟือยนะครับ แต่จะซื้อทั้งทีเราก็ต้องชอบมาก ต้องมั่นใจในคุณภาพและราคา แพลนจะใช้ระยะยาว ฉะนั้นเลยต้องทำการบ้านหนักหน่อย มาเริ่มกันเลยครับ
Criteria:
1. ความสบาย: เนื่องจากต้องใส่อยู่บ้านซะส่วนใหญ่ และใส่เป็นเวลานาน 2-5ชม อย่างต่ำ ข้อนี้เลยเป็นเกณฑ์แรกในการตัดสินใจ ใส่แล้วต้องสบาย ไม่บีบจนปวด นน.มีส่วนอย่างยิ่งในการตัดสินใจ ยิ่งเบายิ่งสบาย Earcup ต้องขนาดไม่เล็กจนชนหูแล้วปวด Earpad นุ่มไม่แข็งจนกดใบหู
2. Bluetooth: การไร้สายเนี้ย มันทำให้เราขยับตัวได้ free มากๆ ไม่ต้องมากังวลว่าสายจะไปเกี่ยวอะไรไหม ลุกนั่งท่าไหนก็ได้ โดนแฟนจิกหัวตอนดูคอมก็ไม่ต้องกลัวจะพ่วงคอมตกพื่น ฮาๆ ที่สำคัญคือเสียงไม่ Delay ไม่งั้นก็กลับไปใช้แบบสายดีกว่า
3. คุณภาพเสียง: ผมไม่ใช้ audiophile ไม่ได้เล่น lossless นะครับ แต่ผมเชื่อว่าอุปกรน์อิเล็กโทรนิกเนี้ย ราคาขึ้นตามคุณภาพนะ แต่ก็ต้องทำการบ้านด้วย ฉะนั้นถ้าฟังแล้วเราพอใจคือโอเค ไม่ได้มีแนวเฉพาะเจาะจง
4. รีวิวใช้จริง: ต้องทำการบ้านของแต่หละอันด้วย Amazon, headphone forum ช่วยท่านได้
4. ราคา: อันนี้ผมไม่ได้ตั้งตายตัว แต่คงไม่ได้แพงเวอร์ หรือถูกจนสงสัยในคุณภาพ ฮาๆ
5. ดีไซน์: อันนี้แล้วแต่บุคคลนะ จริงๆผมก็ไม่เจาะจงเหมือนกัน เลยไว้ข้อสุดท้ายเลย แต่จะซื้อทั้งที ขอดูดีนิดนึง
ตัวเลือก:
พอมีเกณฑ์แล้วโดยเฉพาะข้อ 1 ทำให้ตัวเลือกผมคือ Bluetooth headphone flagship ของแต่ละbrand มาดูตัวเลือกผมกันครับ
1. Bose QC 35 Series II (series I เค้าไม่ขายแล้วที่ผมอยู่นะ)
2. Sony MRD1000XM2
3. Beat Studio Wireless
4. Sennheiser PXC550
Finding:
มาถึงหัวข้อสำคัญ การเลือกระหว่าง 4 ตัวเลือก ไล่จากข้อทายสุดของเกณฑ์นะครับ
ดีไซน์: ทั้ง 4 อันผมว่าสวยพอๆกัน ฮาๆ ถ้าให้คะแนนผมคงให้ Beat มากสุด อาจจะเพราะเราเห็นเค้าทำ advertise หนักมากๆ ดารา นักร้อง ใช้กันเต็ม เลยติดภาพความคูลของมัน แต่อันอื่นๆก็ดูดีนะ ฉะนั้นหัวข้อนี้เลยไม่ค่อยสำคัญเท่าไรสำหรับผม
ราคา: ทุกอันอยู่ในเกณฑ์เดียวกัน Flagship ราคาประมาน 15kบาท ช่วงลดอาจจะถูกลงมาหน่อย ประเทศไทยกดราคาซะหนักหน่วงเลยสำหรับ Beat, Bose ตัวSony ราคาที่ไทยพอๆกับ ตปท.เลย หากใครไม่อยากได้ของหิ้ว หรือสู้ราคาศูนย์ไม่ไหว แนะนำ Sony ประเทศไทยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(http://www.sony.co.th/th/electronics/headband-headphones/mdr-1000x) แต่ผมก็ซื้อของหิ้วนะ ฮาๆ ผมว่าเทียบ% ของหลุด QC น่าจะต่ำนะครับ
(อันนี้ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อของ Grey market นะครับ เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ขึ้นกับแต่ละบุคคลเลยว่าอยากจะจ่ายเท่าไร ผมรายได้จำกัดเลยต้องหาหนทางมากหน่อยครับ)
รีวิวใช้จริง: ข้อนี้บอกเลยมีผลในการตัดสินใจมากหน่อย เพราะfeedback สำคัญมาก เราอ่านadvertiseทุกยี่ห่อก็ต้องบอกว่าของตัวเองดีเจ๋ง ฟังจากเสียงคนใช้จริงน่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยเราตัดสินใจได้แม่นย่ำขึ้น เกริ่นก่อนนะครับ ผมอิง Amazon USA เป็นหลักและไปลองเองด้วย
• Sennheiser: อันนี้บอกตรงๆไม่ค่อยสนมันเท่าไร คงเป็นเพราะพอไปลองแล้วไม่ค่อยถูกใจเท่าไร ขอข้ามอันนี้ (Amazon review 5stars 61%, 1star 5%)
• Beat: จะบอกว่าซื้อมาลองใช้เลย ส่วนตัวชอบมาก คงเป็นทาสการตลาด ฮาๆ แต่พอใช้ไปแล้วมันดันขัดกับเกณฑ์ข้อ 1 เนื่องจากใส่ไม่สบายเลย หนักมาก กดหัวผมซะปวดเลย อันนี้ขึ้นกับคนนะครับผมว่า รีวิวAmazonถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเลย คนใช้ส่วนใหญ่ก็พอใจ (Amazon review 5stars 60%, 1star 14%)
• Sony: อันนี้ชอบลองลงมาจาก Bose ผมไม่ได้ซื้อมาใช้เหมือน Beat แต่ไปลองบ่อยมาก ในรีวิวเค้าบอกว่าเสียงดีสุดใน 4 ตัว feature ก็เยอะมาก touchpad, ambient microphone แถม Noise Cancellation (NC) เห็นบางรีวิวบอกดีกว่าBoseอีก อันนี้ก็ขึ้นกับคนนะผมว่า ไว้จะอธิบายเพิ่มตัวNC รีวิวโดยรวมดีมากแต่มีเสียอย่างคือ Headband มีปัญหาcrack ซึ่งคนเจอเยอะ ถึงกับมีการบอก serial number ตัวที่มี ปัญหา ให้มาเปลี่ยนได้ ไม่รู้ว่าเค้าแก้หมดแล้วยังนะครับ (Amazon review 5stars 73%, 1star 3%)
• Bose: อันนี้อยู่ในวงการมานานกว่าเพื่อน เสียงก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง รีวิวดีมากเช่นกัน ยอดขายตัวflagshipน่าจะเยอะสุดใน4ตัวด้วย มีcomplainบ้างเรื่องปุ่ม แต่โดยรวมแล้วรีวิวดีมาก (Amazon review 5star 5stars 73%, 1star 7%)
(Amazon review ของ Sony & Bose เป็นของตัวเวอร์ชั่นแรกนะครับ คือตัวเวอร์ชั่นสองเพิ่งออกมากันทั้งคู่ Review ยังไม่เยอะเท่าไร เลยขออิงเวอร์แรกครับผม)
คุณภาพเสียง:
อันนี้ขอไม่เจาะจงนะครับ ตัวที่ผมลองจริงๆจังๆมีแค่ Beat & Bose ส่วนตัวSony ได้ลองที่ร้านอย่างเดียว งั้นขอพูดตัวแรกคือ Beat นะครับ อย่างที่รู้ เน้นเบส แต่เอาเข้าจริงตั้งแต่ apple เข้าซื้อกิจการ ผมกว่ามันดีกว่าตัวเก่าๆอยู่นะ เบสเป็นลูกแต่ไม่กลบเสียงอื่นแล้ว ฟังเพลินๆได้เหมือนกัน มาที่ Bose ผมว่าเค้าทำออกมากลางๆ ไม่เน้นอะไรเท่าไรนะ คือฟังได้ทุกแนว เบสไม่หนักเท่า Beat ขอแถมอีกตัวคือ Sony จากที่ได้ไปลองมา (ฟังแต่เพลงจากมือถือไม่ได้ลองดูหนัง) ผมว่างคงอยู่ระหว่าง Beat & Bose ซึ่งก็โอเคมากนะ
เอาเข้าจริงๆ ผมแยกไม่ค่อยออกนะครับว่า sound มันต่างกันมากไหม ถ้าไฟล์ที่เราเล่นไม่ใช่ lossless ผม”เดา” ว่าน่าจะแยกออกยากนะครับ เอาเป็นว่าอันนี้คงต้องลองเอง หูใครหูมัน
Bluetooth:
เนื่องจากไม่ได้ลอง Sony & Sennheiser อันนี้เลยได้แค่ทดสอบอีกสองตัว เริ่มจาก Beat ผมใส่อยู่ในบ้าน เดินไปห้องน้ำ มีกำแพงกันประมาน 2-3 ชั้น เสียงไม่ตกไม่มีหลุด มีhiccup บ้าง ค่อยข้างบ่อยประมาน ชม.หละครั้ง ส่วน Bose ผมเจอ hiccup เวลาเจอกำแพง 2-3 ชั้น แต่เวลานั่งหน้าคอมไม่เจอเลย อีกอย่าง Bose เป็นยี่ห่อเดียวที่ต่อพร้อมกันสองเครื่องได้ ดีไหมผมว่ามันสะดวกดีนะ ต่อ คอม กับ มือถือ เวลามีข้อความดังเราก็รู้ด้วย
ผมว่าอีกสองยี่ห่อน่าจะไม่ต่างกันมาก อันนี้ผมถือว่าเสมอกันทุกยี่ห่อนะครับ ความคิดส่วนตัวนะ ไม่ขอลงลายละเอียดอื่นๆของ Bluetooth นะครับ พวก AptX นะ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร คงทำการบ้านไม่พอ ฮาๆ
ความสบาย:
ตัวชี้วัดเลยก็ว่าได้ จุดประสงค์หลักในการซื้อของผมคือข้อนี้ เพราะเราต้องใส่นาน ใส่แล้วต้องสบายไม่ล้า ไม่ปวด ไม่บีบเกิน อย่างของ Beat เนี้ย จากที่ได้ทดลองใช้ เนื่องจากมันเป็น Passive NC เลยต้องบีบค่อนข้างแน่นเพื่อกันเสียงเข้าออก ตรงกันข้ามกับ Bose & Sony ที่เป็น active NC มีระบบควบคุม แรงบีบเลยน้อยกว่า Beat หนักสุดด้วย คงเป็นเพราะ Material มีโลหะเยอะ ความสบายส่วนตัวผมให้ไม่ผ่าน ลองลงมาคือ Sony & Sennheiser ทั้งคู่เบากว่า Beat แรงบีบไม่มาก Earpad นุ่มสบายดี Earcup ค่อยข้างเล็ก ใครหูใหญ่อาจมีชนได้ มาที่ Bose เบาสุดใน 4 อัน แรงบีบไม่มาก Earpad นุ่มสบายดี Earcup ใหญ่สุดหูไม่ชน
การตัดสินใจ:
มาที่การตัดสินใจ แน่นอนผมเลือก Bose ตอนนี้ใช้มาสัก 3 เดือนแล้ว โดยรวมแล้วโอเคมาก ใส่สบายไม่ล้า บางทีรู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่หูฟังเลยด้วยซ้ำ เบามาก ฟังเพลงทุกแนวผมชอบนะ ผมไม่ได้ฟังดนตรีแนวใดเฉพาะเจาะจง ซึ้งก็ไม่ผิดหวังครับเสียงดีกว่าหูฟังที่มากับมือถือ (ราคาก็เจ็บหนักเช่นกัน)
จริงๆลังเลระหว่าง Sony & Bose เพราะรีวิวใช้จริงเค้าว่าเสียง กับ NC ของ Sony ดีกว่า Feature ก็เยอะมากๆ แต่ที่เลือก Bose คือ ความสบายเป็นหลักเลยครับ เนื่องจากไม่ใช้audiophile ผมว่าการที่จะแยกว่าเสียงดีกว่ารึเปล่ามันขึ้นกับหลายปัจจัย ไฟล์ที่เล่นเป็นหนึ่งในนั้น ฉะนั้นผมเลยมองว่าไม่ต่างกันมาก
ส่วน Featureเนี้ย Sony มันน่าลองก็จริง ดูแล้วมีประโยชน์มาก (Feature ลองไปดูกันเองนะครับ) แต่เนื่องจากจุดประสงค์หลักคือใช้อยู่บ้าน ฉะนั้นมันเลยไม่มีผลกับผมเท่าไร เพราะสุดท้ายก็ใช้อยู่ไม่กี่ Functionเอง
ราคาBose ผมซื้อมาที่ค่าตัว 11000บาท ฝากเพื่อนหิ้วมา ดูราคาในไทยแล้วน่ากลัวเหลือเกิน 16000บาท จริงๆผมก็มีคิดนะ ประกันศูนย์มันคุ้มไหมกับราคาครึ่งหมื่นที่เพิ่มขึ้นมา แต่เท่าที่อ่านจาก Review ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเลยของ Bose นะ จะมีก็ตั้งแต่ตอนแกะกล่องเช่นปุ่มไม่ดี ต่อไม่ติด แต่ดู Review Amazon USA แล้วเทียบ% ของที่เสียตอนแกะกล่องมันต่ำ ผมเลยลองเสียง อีกอย่างประกันศูนย์ไทยผม”เดา” ย้ำนะครับว่า “เดา” ถ้าเสียก็น่าจะเคลม ตปท เช่นกัน ฉะนั้น ถ้าเสียจริง ผมก็คงติดต่อทางBose เองแล้วส่งให้ศูนย์ ตปท แล้วค่อยฝากคนหิ้วกลับมา
ถ้าเทียบดูจากการReview ใน Amazon USA %1star ของโซนี่ดูจะน้อยกว่า แต่จำนวนการขาย เมื่อเทียบจากคนที่Review Bose มากกว่าอย่างชัดเจน ฉะนั้นผมจึงมองข้ามตรงจุดนี้ และให้ทั้งคู่คะแนนreview เท่ากัน
Bluetooth เนี้ยถึงจะบอกว่ามี Hiccup หรือคือเสียงสะดุด แต่มันเกินเฉพาะตอนผมไปห้องน้ำ ซึ้งผ่านกำแพง 2-3 ชั้น มันก็น่าจะมีบ้างนะครับ แต่นั่งหน้าคอมหรือถ้าต่อกับมือถือ ไม่มีหลุดหรือสะดุดเลยครับ
ท้ายสุดแล้วพอใจมากครับ ใส่สบาย เสียงรู้สึกแตกต่างจากหูฟังตัวอื่นเคยใช้ (ราคาก็เช่นกัน ฮาๆ) Bluetooth มันทำให้ความสบายและสะดวกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว คุณภาพเสียงก็สไตล์ Bose ราคาพอรับได้กับเงินเดือน ฮาๆ เพิ่มเติมคือ มิติใหม่ของการเสพ Media ไร้สายหนิมันเยี่ยมจริงๆ(บวกลดเสียงแฟนบ่น)
รีวิวใช้จริง:
Battery & Endurance:
ผมใช้วันหละ 2-5 ชม. โดยเฉลี่ย ฟังๆหยุดๆ แบตถือว่าอึดอยู่นะ ชาจอาทิตย์หละครั้ง อันนี้แบตเค้าออกแบบมาให้เปลี่ยนเองไม่ได้ เป็นแบบชาจ หลายคนอาจคิดว่าทำไงถ้าแบตเสื่อม อันนี้ตามที่ผมคิดนะ แบต Li-ion ตามที่ Bose บอกคือมี 500 cycles ถ้าเฉลี่ยตามการใช้งานขอผม ปีนึงผมจะชาจ 52 ครั้ง (ปีนึงมี 52 สัปดาห์) ตีไป 60-70 เลยเผื่อใช่บ่อย เท่ากับอายุแบตอยู่ที่ 4.5-5 ปี ก่อนจะเสื่อม ถือว่ารับได้อยู่ ระหว่างนั้นเราอาจเบื่อหรือมีtechใหม่ๆออกมาให้เล่นแล้วก็ได้ใครจะรู้
Comfortability:
ใส่สบาย ไม่ร้อนหู ไม่เมื่อย ไม่ปวด เบาครับ
Feature:
ไม่หวือหวาเท่า Sony เท่าไร จะออกแนว Minimalismก็ว่าได้ ปุ่มใช้ง่ายไม่ยาก การต่อBTก็ง่ายไม่ยุ่งยาก App interface ใน iphone ก็โอเค ปรับอะไรไม่ค่อยได้มากเมื่อเทียบกับ Sony ที่ลูกเล่นเยอะกว่า แต่ที่ให้มาใน Bose ก็พอที่จะใช้ทั่วไปครับ
Noise Cancellation:
อันนี้ไม่ได้อยู่ในหัวข้อเกณฑ์การตัดสินใจ ถือเป็นของแถม ฮาๆ ผมว่ามันก็ดี คือมันไม่ได้ Cancel เสียงแบบ100% เสียงพูดคุย เสียงทั่วไปยังรอดเข้ามา แต่น้อยลง จริงๆเค้าออกแบบให้cancelเสียงที่ความถี่คงที่พวกเช่นเสียงเครื่องยนต์ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีนะครับ เปิดเสียง 50% ก็ไม่ได้ยินอะไรแล้วครับ แน่นอนมันดีกว่าไม่มีครับ เลยถือเป็นของแถมสำหรับผม
Usage:
ผมใช้ส่วนใหญ่เลยคือ ฟังเพลง ไฟล์ .mp3 320kbps จากทั้งคอมและมือถือ ถือว่าประทับใจครับ พอใจเสียงที่ออกมามาก ดูหนังดูyoutubeไม่มีdelay เสียงไม่มีหลุดหรือกระตุกเลยเวลานั่งหน้าคอม อันนี้ผมว่าขึ้นกับตัวปล่อยbluetoothด้วยนะครับ
แนะนำ:
หูฟังตัวนี้ไม่เหมาะกับออกกำลังกายนะครับ เค้าระบุไว้ชัดเจนว่าไม่กันเหงื่อหรือน้ำ ผมไม่แนะนำให้ใส่ไปออกกำลังกายครับ แล้วก็อันนี้ความเห็นผมนะ ราคามันค่อนข้างสูง ผมเลยดูแลมันดีหน่อย ทำความสะอาดบ่อยๆ หาผ้าชุบน้ำอุ่นๆ เช่นคราบเหงื่อเราออกจากหูฟังบ้าง เพื่อยืดอายุ Earpad ครับผม
ปล.
Google Assistant ในตัวนี้ผมไม่เคยลองใช้เลย ใครใช้อยู่ลองแนะนำบ้างครับ ส่วนตัวใช้ iphone เลยไม่ได้ทดสอบอันนี้ครับ ในiphone จะเป็นการเลือก NC level แทน (สูง ต่ำ ปิด) ใครลองใช้แล้วแชร์กันได้นะครับ
ขอจบรีวิวเท่านะครับผม ใครมีประสบการณ์ มีข้อแนะนำ แชร์ได้เลยครับ
หวังว่าจะช่วยประกอบการตัดสินใจได้บ้างนะครับ
ขอบคุณครับผม
[CR] รีวิว Bose QuietComfort35 QC35 Series II with Google Assistant
Intro:
ก่อนอื่นเลย เนื่องจากผมอยู่กับแฟน แล้วแฟนผมเค้าชอบเปิดเสียงคอมดังเวลาดูหนังฟังเพลง ทำให้อรรถรสในการเสพ Media ของผมลดลง ครั่นจะเปิดเสียงสู้ ก็ไม่วายโดนแฟนตี (สู้ไม่ได้ ยอมแพ้ ฮาๆ) ผมเลยต้องเริ่มมองหาหูฟังนะครับ มาเริ่มกันเลย
ผมเป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดา การซื้อของพวกนี้ส่วนตัวถือเป็นเรื่องฟุ้มเฟือยนะครับ แต่จะซื้อทั้งทีเราก็ต้องชอบมาก ต้องมั่นใจในคุณภาพและราคา แพลนจะใช้ระยะยาว ฉะนั้นเลยต้องทำการบ้านหนักหน่อย มาเริ่มกันเลยครับ
Criteria:
1. ความสบาย: เนื่องจากต้องใส่อยู่บ้านซะส่วนใหญ่ และใส่เป็นเวลานาน 2-5ชม อย่างต่ำ ข้อนี้เลยเป็นเกณฑ์แรกในการตัดสินใจ ใส่แล้วต้องสบาย ไม่บีบจนปวด นน.มีส่วนอย่างยิ่งในการตัดสินใจ ยิ่งเบายิ่งสบาย Earcup ต้องขนาดไม่เล็กจนชนหูแล้วปวด Earpad นุ่มไม่แข็งจนกดใบหู
2. Bluetooth: การไร้สายเนี้ย มันทำให้เราขยับตัวได้ free มากๆ ไม่ต้องมากังวลว่าสายจะไปเกี่ยวอะไรไหม ลุกนั่งท่าไหนก็ได้ โดนแฟนจิกหัวตอนดูคอมก็ไม่ต้องกลัวจะพ่วงคอมตกพื่น ฮาๆ ที่สำคัญคือเสียงไม่ Delay ไม่งั้นก็กลับไปใช้แบบสายดีกว่า
3. คุณภาพเสียง: ผมไม่ใช้ audiophile ไม่ได้เล่น lossless นะครับ แต่ผมเชื่อว่าอุปกรน์อิเล็กโทรนิกเนี้ย ราคาขึ้นตามคุณภาพนะ แต่ก็ต้องทำการบ้านด้วย ฉะนั้นถ้าฟังแล้วเราพอใจคือโอเค ไม่ได้มีแนวเฉพาะเจาะจง
4. รีวิวใช้จริง: ต้องทำการบ้านของแต่หละอันด้วย Amazon, headphone forum ช่วยท่านได้
4. ราคา: อันนี้ผมไม่ได้ตั้งตายตัว แต่คงไม่ได้แพงเวอร์ หรือถูกจนสงสัยในคุณภาพ ฮาๆ
5. ดีไซน์: อันนี้แล้วแต่บุคคลนะ จริงๆผมก็ไม่เจาะจงเหมือนกัน เลยไว้ข้อสุดท้ายเลย แต่จะซื้อทั้งที ขอดูดีนิดนึง
ตัวเลือก:
พอมีเกณฑ์แล้วโดยเฉพาะข้อ 1 ทำให้ตัวเลือกผมคือ Bluetooth headphone flagship ของแต่ละbrand มาดูตัวเลือกผมกันครับ
1. Bose QC 35 Series II (series I เค้าไม่ขายแล้วที่ผมอยู่นะ)
2. Sony MRD1000XM2
3. Beat Studio Wireless
4. Sennheiser PXC550
Finding:
มาถึงหัวข้อสำคัญ การเลือกระหว่าง 4 ตัวเลือก ไล่จากข้อทายสุดของเกณฑ์นะครับ
ดีไซน์: ทั้ง 4 อันผมว่าสวยพอๆกัน ฮาๆ ถ้าให้คะแนนผมคงให้ Beat มากสุด อาจจะเพราะเราเห็นเค้าทำ advertise หนักมากๆ ดารา นักร้อง ใช้กันเต็ม เลยติดภาพความคูลของมัน แต่อันอื่นๆก็ดูดีนะ ฉะนั้นหัวข้อนี้เลยไม่ค่อยสำคัญเท่าไรสำหรับผม
ราคา: ทุกอันอยู่ในเกณฑ์เดียวกัน Flagship ราคาประมาน 15kบาท ช่วงลดอาจจะถูกลงมาหน่อย ประเทศไทยกดราคาซะหนักหน่วงเลยสำหรับ Beat, Bose ตัวSony ราคาที่ไทยพอๆกับ ตปท.เลย หากใครไม่อยากได้ของหิ้ว หรือสู้ราคาศูนย์ไม่ไหว แนะนำ Sony ประเทศไทยครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ แต่ผมก็ซื้อของหิ้วนะ ฮาๆ ผมว่าเทียบ% ของหลุด QC น่าจะต่ำนะครับ
(อันนี้ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อของ Grey market นะครับ เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ขึ้นกับแต่ละบุคคลเลยว่าอยากจะจ่ายเท่าไร ผมรายได้จำกัดเลยต้องหาหนทางมากหน่อยครับ)
รีวิวใช้จริง: ข้อนี้บอกเลยมีผลในการตัดสินใจมากหน่อย เพราะfeedback สำคัญมาก เราอ่านadvertiseทุกยี่ห่อก็ต้องบอกว่าของตัวเองดีเจ๋ง ฟังจากเสียงคนใช้จริงน่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยเราตัดสินใจได้แม่นย่ำขึ้น เกริ่นก่อนนะครับ ผมอิง Amazon USA เป็นหลักและไปลองเองด้วย
• Sennheiser: อันนี้บอกตรงๆไม่ค่อยสนมันเท่าไร คงเป็นเพราะพอไปลองแล้วไม่ค่อยถูกใจเท่าไร ขอข้ามอันนี้ (Amazon review 5stars 61%, 1star 5%)
• Beat: จะบอกว่าซื้อมาลองใช้เลย ส่วนตัวชอบมาก คงเป็นทาสการตลาด ฮาๆ แต่พอใช้ไปแล้วมันดันขัดกับเกณฑ์ข้อ 1 เนื่องจากใส่ไม่สบายเลย หนักมาก กดหัวผมซะปวดเลย อันนี้ขึ้นกับคนนะครับผมว่า รีวิวAmazonถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเลย คนใช้ส่วนใหญ่ก็พอใจ (Amazon review 5stars 60%, 1star 14%)
• Sony: อันนี้ชอบลองลงมาจาก Bose ผมไม่ได้ซื้อมาใช้เหมือน Beat แต่ไปลองบ่อยมาก ในรีวิวเค้าบอกว่าเสียงดีสุดใน 4 ตัว feature ก็เยอะมาก touchpad, ambient microphone แถม Noise Cancellation (NC) เห็นบางรีวิวบอกดีกว่าBoseอีก อันนี้ก็ขึ้นกับคนนะผมว่า ไว้จะอธิบายเพิ่มตัวNC รีวิวโดยรวมดีมากแต่มีเสียอย่างคือ Headband มีปัญหาcrack ซึ่งคนเจอเยอะ ถึงกับมีการบอก serial number ตัวที่มี ปัญหา ให้มาเปลี่ยนได้ ไม่รู้ว่าเค้าแก้หมดแล้วยังนะครับ (Amazon review 5stars 73%, 1star 3%)
• Bose: อันนี้อยู่ในวงการมานานกว่าเพื่อน เสียงก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง รีวิวดีมากเช่นกัน ยอดขายตัวflagshipน่าจะเยอะสุดใน4ตัวด้วย มีcomplainบ้างเรื่องปุ่ม แต่โดยรวมแล้วรีวิวดีมาก (Amazon review 5star 5stars 73%, 1star 7%)
(Amazon review ของ Sony & Bose เป็นของตัวเวอร์ชั่นแรกนะครับ คือตัวเวอร์ชั่นสองเพิ่งออกมากันทั้งคู่ Review ยังไม่เยอะเท่าไร เลยขออิงเวอร์แรกครับผม)
คุณภาพเสียง:
อันนี้ขอไม่เจาะจงนะครับ ตัวที่ผมลองจริงๆจังๆมีแค่ Beat & Bose ส่วนตัวSony ได้ลองที่ร้านอย่างเดียว งั้นขอพูดตัวแรกคือ Beat นะครับ อย่างที่รู้ เน้นเบส แต่เอาเข้าจริงตั้งแต่ apple เข้าซื้อกิจการ ผมกว่ามันดีกว่าตัวเก่าๆอยู่นะ เบสเป็นลูกแต่ไม่กลบเสียงอื่นแล้ว ฟังเพลินๆได้เหมือนกัน มาที่ Bose ผมว่าเค้าทำออกมากลางๆ ไม่เน้นอะไรเท่าไรนะ คือฟังได้ทุกแนว เบสไม่หนักเท่า Beat ขอแถมอีกตัวคือ Sony จากที่ได้ไปลองมา (ฟังแต่เพลงจากมือถือไม่ได้ลองดูหนัง) ผมว่างคงอยู่ระหว่าง Beat & Bose ซึ่งก็โอเคมากนะ
เอาเข้าจริงๆ ผมแยกไม่ค่อยออกนะครับว่า sound มันต่างกันมากไหม ถ้าไฟล์ที่เราเล่นไม่ใช่ lossless ผม”เดา” ว่าน่าจะแยกออกยากนะครับ เอาเป็นว่าอันนี้คงต้องลองเอง หูใครหูมัน
Bluetooth:
เนื่องจากไม่ได้ลอง Sony & Sennheiser อันนี้เลยได้แค่ทดสอบอีกสองตัว เริ่มจาก Beat ผมใส่อยู่ในบ้าน เดินไปห้องน้ำ มีกำแพงกันประมาน 2-3 ชั้น เสียงไม่ตกไม่มีหลุด มีhiccup บ้าง ค่อยข้างบ่อยประมาน ชม.หละครั้ง ส่วน Bose ผมเจอ hiccup เวลาเจอกำแพง 2-3 ชั้น แต่เวลานั่งหน้าคอมไม่เจอเลย อีกอย่าง Bose เป็นยี่ห่อเดียวที่ต่อพร้อมกันสองเครื่องได้ ดีไหมผมว่ามันสะดวกดีนะ ต่อ คอม กับ มือถือ เวลามีข้อความดังเราก็รู้ด้วย
ผมว่าอีกสองยี่ห่อน่าจะไม่ต่างกันมาก อันนี้ผมถือว่าเสมอกันทุกยี่ห่อนะครับ ความคิดส่วนตัวนะ ไม่ขอลงลายละเอียดอื่นๆของ Bluetooth นะครับ พวก AptX นะ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร คงทำการบ้านไม่พอ ฮาๆ
ความสบาย:
ตัวชี้วัดเลยก็ว่าได้ จุดประสงค์หลักในการซื้อของผมคือข้อนี้ เพราะเราต้องใส่นาน ใส่แล้วต้องสบายไม่ล้า ไม่ปวด ไม่บีบเกิน อย่างของ Beat เนี้ย จากที่ได้ทดลองใช้ เนื่องจากมันเป็น Passive NC เลยต้องบีบค่อนข้างแน่นเพื่อกันเสียงเข้าออก ตรงกันข้ามกับ Bose & Sony ที่เป็น active NC มีระบบควบคุม แรงบีบเลยน้อยกว่า Beat หนักสุดด้วย คงเป็นเพราะ Material มีโลหะเยอะ ความสบายส่วนตัวผมให้ไม่ผ่าน ลองลงมาคือ Sony & Sennheiser ทั้งคู่เบากว่า Beat แรงบีบไม่มาก Earpad นุ่มสบายดี Earcup ค่อยข้างเล็ก ใครหูใหญ่อาจมีชนได้ มาที่ Bose เบาสุดใน 4 อัน แรงบีบไม่มาก Earpad นุ่มสบายดี Earcup ใหญ่สุดหูไม่ชน
การตัดสินใจ:
มาที่การตัดสินใจ แน่นอนผมเลือก Bose ตอนนี้ใช้มาสัก 3 เดือนแล้ว โดยรวมแล้วโอเคมาก ใส่สบายไม่ล้า บางทีรู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่หูฟังเลยด้วยซ้ำ เบามาก ฟังเพลงทุกแนวผมชอบนะ ผมไม่ได้ฟังดนตรีแนวใดเฉพาะเจาะจง ซึ้งก็ไม่ผิดหวังครับเสียงดีกว่าหูฟังที่มากับมือถือ (ราคาก็เจ็บหนักเช่นกัน)
จริงๆลังเลระหว่าง Sony & Bose เพราะรีวิวใช้จริงเค้าว่าเสียง กับ NC ของ Sony ดีกว่า Feature ก็เยอะมากๆ แต่ที่เลือก Bose คือ ความสบายเป็นหลักเลยครับ เนื่องจากไม่ใช้audiophile ผมว่าการที่จะแยกว่าเสียงดีกว่ารึเปล่ามันขึ้นกับหลายปัจจัย ไฟล์ที่เล่นเป็นหนึ่งในนั้น ฉะนั้นผมเลยมองว่าไม่ต่างกันมาก
ส่วน Featureเนี้ย Sony มันน่าลองก็จริง ดูแล้วมีประโยชน์มาก (Feature ลองไปดูกันเองนะครับ) แต่เนื่องจากจุดประสงค์หลักคือใช้อยู่บ้าน ฉะนั้นมันเลยไม่มีผลกับผมเท่าไร เพราะสุดท้ายก็ใช้อยู่ไม่กี่ Functionเอง
ราคาBose ผมซื้อมาที่ค่าตัว 11000บาท ฝากเพื่อนหิ้วมา ดูราคาในไทยแล้วน่ากลัวเหลือเกิน 16000บาท จริงๆผมก็มีคิดนะ ประกันศูนย์มันคุ้มไหมกับราคาครึ่งหมื่นที่เพิ่มขึ้นมา แต่เท่าที่อ่านจาก Review ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเลยของ Bose นะ จะมีก็ตั้งแต่ตอนแกะกล่องเช่นปุ่มไม่ดี ต่อไม่ติด แต่ดู Review Amazon USA แล้วเทียบ% ของที่เสียตอนแกะกล่องมันต่ำ ผมเลยลองเสียง อีกอย่างประกันศูนย์ไทยผม”เดา” ย้ำนะครับว่า “เดา” ถ้าเสียก็น่าจะเคลม ตปท เช่นกัน ฉะนั้น ถ้าเสียจริง ผมก็คงติดต่อทางBose เองแล้วส่งให้ศูนย์ ตปท แล้วค่อยฝากคนหิ้วกลับมา
ถ้าเทียบดูจากการReview ใน Amazon USA %1star ของโซนี่ดูจะน้อยกว่า แต่จำนวนการขาย เมื่อเทียบจากคนที่Review Bose มากกว่าอย่างชัดเจน ฉะนั้นผมจึงมองข้ามตรงจุดนี้ และให้ทั้งคู่คะแนนreview เท่ากัน
Bluetooth เนี้ยถึงจะบอกว่ามี Hiccup หรือคือเสียงสะดุด แต่มันเกินเฉพาะตอนผมไปห้องน้ำ ซึ้งผ่านกำแพง 2-3 ชั้น มันก็น่าจะมีบ้างนะครับ แต่นั่งหน้าคอมหรือถ้าต่อกับมือถือ ไม่มีหลุดหรือสะดุดเลยครับ
ท้ายสุดแล้วพอใจมากครับ ใส่สบาย เสียงรู้สึกแตกต่างจากหูฟังตัวอื่นเคยใช้ (ราคาก็เช่นกัน ฮาๆ) Bluetooth มันทำให้ความสบายและสะดวกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว คุณภาพเสียงก็สไตล์ Bose ราคาพอรับได้กับเงินเดือน ฮาๆ เพิ่มเติมคือ มิติใหม่ของการเสพ Media ไร้สายหนิมันเยี่ยมจริงๆ(บวกลดเสียงแฟนบ่น)
รีวิวใช้จริง:
Battery & Endurance:
ผมใช้วันหละ 2-5 ชม. โดยเฉลี่ย ฟังๆหยุดๆ แบตถือว่าอึดอยู่นะ ชาจอาทิตย์หละครั้ง อันนี้แบตเค้าออกแบบมาให้เปลี่ยนเองไม่ได้ เป็นแบบชาจ หลายคนอาจคิดว่าทำไงถ้าแบตเสื่อม อันนี้ตามที่ผมคิดนะ แบต Li-ion ตามที่ Bose บอกคือมี 500 cycles ถ้าเฉลี่ยตามการใช้งานขอผม ปีนึงผมจะชาจ 52 ครั้ง (ปีนึงมี 52 สัปดาห์) ตีไป 60-70 เลยเผื่อใช่บ่อย เท่ากับอายุแบตอยู่ที่ 4.5-5 ปี ก่อนจะเสื่อม ถือว่ารับได้อยู่ ระหว่างนั้นเราอาจเบื่อหรือมีtechใหม่ๆออกมาให้เล่นแล้วก็ได้ใครจะรู้
Comfortability:
ใส่สบาย ไม่ร้อนหู ไม่เมื่อย ไม่ปวด เบาครับ
Feature:
ไม่หวือหวาเท่า Sony เท่าไร จะออกแนว Minimalismก็ว่าได้ ปุ่มใช้ง่ายไม่ยาก การต่อBTก็ง่ายไม่ยุ่งยาก App interface ใน iphone ก็โอเค ปรับอะไรไม่ค่อยได้มากเมื่อเทียบกับ Sony ที่ลูกเล่นเยอะกว่า แต่ที่ให้มาใน Bose ก็พอที่จะใช้ทั่วไปครับ
Noise Cancellation:
อันนี้ไม่ได้อยู่ในหัวข้อเกณฑ์การตัดสินใจ ถือเป็นของแถม ฮาๆ ผมว่ามันก็ดี คือมันไม่ได้ Cancel เสียงแบบ100% เสียงพูดคุย เสียงทั่วไปยังรอดเข้ามา แต่น้อยลง จริงๆเค้าออกแบบให้cancelเสียงที่ความถี่คงที่พวกเช่นเสียงเครื่องยนต์ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีนะครับ เปิดเสียง 50% ก็ไม่ได้ยินอะไรแล้วครับ แน่นอนมันดีกว่าไม่มีครับ เลยถือเป็นของแถมสำหรับผม
Usage:
ผมใช้ส่วนใหญ่เลยคือ ฟังเพลง ไฟล์ .mp3 320kbps จากทั้งคอมและมือถือ ถือว่าประทับใจครับ พอใจเสียงที่ออกมามาก ดูหนังดูyoutubeไม่มีdelay เสียงไม่มีหลุดหรือกระตุกเลยเวลานั่งหน้าคอม อันนี้ผมว่าขึ้นกับตัวปล่อยbluetoothด้วยนะครับ
แนะนำ:
หูฟังตัวนี้ไม่เหมาะกับออกกำลังกายนะครับ เค้าระบุไว้ชัดเจนว่าไม่กันเหงื่อหรือน้ำ ผมไม่แนะนำให้ใส่ไปออกกำลังกายครับ แล้วก็อันนี้ความเห็นผมนะ ราคามันค่อนข้างสูง ผมเลยดูแลมันดีหน่อย ทำความสะอาดบ่อยๆ หาผ้าชุบน้ำอุ่นๆ เช่นคราบเหงื่อเราออกจากหูฟังบ้าง เพื่อยืดอายุ Earpad ครับผม
ปล.
Google Assistant ในตัวนี้ผมไม่เคยลองใช้เลย ใครใช้อยู่ลองแนะนำบ้างครับ ส่วนตัวใช้ iphone เลยไม่ได้ทดสอบอันนี้ครับ ในiphone จะเป็นการเลือก NC level แทน (สูง ต่ำ ปิด) ใครลองใช้แล้วแชร์กันได้นะครับ
ขอจบรีวิวเท่านะครับผม ใครมีประสบการณ์ มีข้อแนะนำ แชร์ได้เลยครับ
หวังว่าจะช่วยประกอบการตัดสินใจได้บ้างนะครับ
ขอบคุณครับผม