ผมจำได้ว่าเคยเขียนอธิบายไปแล้วรอบหนึ่งเกี่ยวกับเจ้า Crypto Currency ว่าจริงๆแล้วมันคืออะไร แต่คำถามนี้ ผมยังคงถูกถามอยู่เสมอๆ จากพ่อแม่พี่น้องคนรู้จัก ที่พักหลังๆเห็นข่าวราคา Bitcoin พุ่งขึ้นสูงจากต้นปี2017 ที่ราคาต่ำกว่าวิ่งอยู่หลักพัน USD ต้นๆ ยังไม่ทันจะข้ามปีราคาวิ่งขึ้นไป High ที่ กว่า USD 20,000 ก็เลยตัดสินใจลองเรียบเรียงเขียนใหม่ในรูปแบบของการถามตอบในภาษาง่ายๆแทนที่จะเป็นการเล่ายาวเป็นพรืดๆ ก็หวังว่าจะช่วยทำให้หลายๆคนเข้าใจเกี่ยวกับ Crypto Currency และ Blockchain มากขึ้น มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
1. Blockchain, Crypto Currency และ Bitcoin ต่างกันอย่างไร
คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามที่มือใหม่หลายๆคนสงสัยมากที่สุด ถ้าให้ตอบสั้นๆ ก็จะได้ว่า Bitcoin เนี่ยเป็นสกุลเงิน Crypto Currency แรกที่ถูกสร้างขึ้น โดยในปัจจุบันมี Crypto Currency/Token ปาเข้าไปกว่าพันสกุล ซึ่งเจ้าสกุลเงิน Crypto Currency /Token เหล่านี้นั้นทำงานอยู่บนเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Blockchain
อัตราแลกเปลี่ยนของ Bitcoin เทียบกับ USD ในปัจจุบันอยู่ที่กว่า USD 13,000 – 16,000 เข้าไปแล้ว ซึ่งตีเป็นเงินบาทก็ ราวๆ 4แสนถึง 6แสนบาทต่อ Bitcoin ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนนี้มีความผันผวนเอามากๆ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้กว่าแสนบาทภายในวันเดียว
2. ทำไมถึงมีคนให้มูลค่าของ Bitcoin เป็นแสนๆบาท?
คำถามยอดฮิตอันดับสองที่ตีคู่มากับคำถามแรก แต่เอาเข้าจริงๆคำถามนี้ตอบให้ถูกใจคนฟังยากเอามากๆ การจะตอบคำถามนี้ได้เนี่ยต้องมองย้อนกลับมาถามตัวเองว่า แล้วทำไมราคาทองคำถึงอยู่ที่ บาทละ หมื่นแปด?
คนที่ถูกถามก็อาจจะตอบว่าก็ทองคำมันหายาก, แพง, สวย, ใช้เป็นเครื่องประดับได้, มีประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม, นำไฟฟ้าได้ดี ฯลฯ พวกคุณสมบัติที่ว่ามาทั้งหมดเนี่ยคนไทยทุกคนรู้หมดเลยครับ แต่มันก็ไม่ได้ตอบคำถามว่าทำไมทองคำถึง ราคาบาทละหมื่นแปด? ทำไมไม่สองหมื่น สามหมื่น หรือห้าพัน สองพัน?
สุดท้ายแล้วคำตอบจริงๆของคำถามนี้ก็คือ ก็มีคนยอมซื้อที่ราคาเป็นแสนๆไงครับ ราคามันเลยอยู่ที่แสนๆบาท ถ้าวันนึงไม่มีคนให้มูลค่ามันก็ลงครับง่ายๆ
3. แล้วตัว Bitcoin มันมีคุณประโยชน์อะไรเหมือนทองคำบ้างมั้ย?
โดยความตั้งใจจริงๆแล้วของคนสร้าง Bitcoin เนี่ยเค้าตั้งใจจะให้ Bitcoin ใช้เป็น เงิน Digital บนโลก Internet ที่ไม่มีศูนย์กลาง ปราศจากการแทรกแซงจากหน่วยงานใดๆ และมีความปลอดภัยสูง และมีค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมต่ำ พูดง่ายๆก็คือ เงิน online ที่ไม่มีใครมาควบคุม การใช้จ่าย การโอนเข้าออกระหว่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ (ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ค่อยเร็วและค่าธรรมเนียมแพงมาก) ดังนั้น ประโยชน์ของมันก็ คือ “ใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนบนโลก Internet โดยระบบมีความปลอดภัยสูง สามารถโอนระหว่างผู้ใช้งานกันเองได้ในเวลาที่รวดเร็วและถูก
4. แล้วจริงๆเจ้า Bitcoin นี่มันคืออะไรกันแน่และมันเก็บอยู่ใน Wallet ได้ยังไง นึกภาพไม่ออก?
ตัว Bitcoin เองเนี่ยก็คือข้อมูลที่วิ่งไปวิ่งมาบนโลก Internet นั่นแหละครับ ไม่ต้องคิดไปไกล แต่เป็นข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสและถูกเก็บข้อมูลกระจายกันไปทั่วคอมพิวเตอร์ที่เข้าร่วม (Node) ทั่วโลกทำให้มีความปลอดภัยสูงเพราะถ้าคนจะ Hack ก็จะต้องทำการ Hack เข้าควบคุมคอมพิวเตอร์ที่เข้าร่วมใน Blockchain network เกิน 50% จากทั่วโลก
ส่วนเจ้าตัว Wallet หรือกระเป๋าตัง เนี่ยจริงๆแล้วมันคือส่วนหนึ่งที่ใช้กระบวนการ Cryptography (เข้ารหัส) โดย Wallet จะประกอบไปด้วย Key 2 ส่วนคือ Public Key และ Private Key ตัว Key เนี่ยก็จะเป็นตัวหนังสือ อารมณ์ประด้านล่างนี้
02a1633cafcc01ebfb6d78e39f687a1f0995c62fc95f51ead10a02ee0be551b5dc
ซึ่ง Public Key ใช้เป็นตัวอ้างอิงถึงกระเป๋าตังขาเข้าของเรา ก็คือเวลามีคนส่ง Bitcoin ก็จะส่งมาให้เราที่ Key อันนี้
ในขณะที่ Private Key จะใช้ในการยืนยันตัวตนกับระบบว่าเนี่ย เออ เราเองนะเราจะส่งตังจากเราไปให้ชาวบ้าน
ดังนั้น โปรดรักษา Private Key เป็นความลับ
สรุปสั้นๆ เมือมีธุรกรรมเกิดขึ้น เช่นนาย A ส่งเงินให้นาย B ระบบก็จะบันทึกข้อมูลลงไปในคอมเครือข่าย (Mining Node) ทั่วโลกว่าเออ Wallet ของนาย A ที่เคยมี Bitcoin อยู่ 2 เหรียญ ตอนนี้ย้ายไป Wallet นาย B แล้วนะ โดยระหว่างทางก็จะมีการตรวจสอบว่าธุรกรรมนี้มาจากนาย A จริงหรือเปล่าหรือนาย B แอบอ้างโมเมส่งเข้ามาในระบบเอง ผ่าน Private Key ของนาย A ที่แทรกอยู่ในรายละเอียดธุรกรรมนั้น หลังจากนั้นพอบันทึกลงฐานข้อมูลต่อท้าย Block เดิมปุ๊ป ทีนี้คนจะ Hack ก็ลำบากละเพราะ คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายทั่วโลกบันทึกไปแล้วว่า มีธุรกรรมของนาย A ส่งเงินให้นาย B
5. ฟังๆดูแล้วก็งั้นๆ แต่ราคาหลายแสนแปลว่าราคา Bitcoin สูงเกินไปแล้ว?
อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นครับว่า สูงเกินไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ถ้าฝั่งคนซื้อยังเห็นว่าไม่สูงเกินไปก็มีคนซื้อเรื่อยๆ ราคามันก็ขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ ตัว Bitcoin เองถูกกำหนดด้วยค่าตั้งต้นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ว่าให้มีได้แค่ 21,000,000 หน่วยเท่านั้น ทำให้ Supply มีจำกัด
ทุกวันนี้จริงๆแล้วมี Crypto Currency สกุลอื่นๆที่สามารถโอนได้เร็วกว่า ค่าธรรมเนียมถูกกว่า รวมทั้งสามารถสร้างเงื่อนไขการจ่ายเงินล่วงหน้าได้อีกด้วยเช่น Ripple, Ethereum แต่ราคาก็น้อยกว่า Bitcoin ถามว่าทำไม? โดยส่วนตัวมองว่า Bitcoin คือเจ้าแรก และได้รับการยอมรับกันไปแล้วอย่างกว้างขวางในประเทศที่ค่าเงินของประเทศตัวเองไม่ค่อยเสถียร และธุรกิจมืด มันก็เหมือนกับว่าคนเคยชินไปแล้ว การจะเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นก็คงต้องใช้เวลา เหมือนคนไทยทำไมใช้ LINE กันทำไมไม่ใช้ Whats App เหมือนคนสิงคโปร์หรือ Viber เหมือนคนพม่า ซึ่งคนในประเทศเหล่านั้น ก็คงตอบว่าก็เพื่อนๆในประเทศเค้าใช้ Whats App, Viber กันหมด
ดังนั้นถ้าหาก Bitcoin มันไม่ได้ห่วยแตกมากจนรับไม่ไหว หรือมี Crypto Currency ใหม่ที่ WOW มากๆความนิยมใน Bitcoin ก็ยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ
กลับมาที่คำถามที่ว่าราคาปัจจุบันสูงเกินไปหรือไม่ สรุปสั้นๆผมคงบอกว่า “ผมไม่รู้” เพราะถ้ารู้ผมก็คงรวยไปแล้ว แต่สิ่งที่ผมบอกได้ตอนนี้ก็คือ Bitcoin และ Crypto Currency อื่นๆในปัจจุบันนั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรกันไปซะมาก ซึ่งอะไรก็ตามที่มีการเก็งกำไร ย่อมมีลงมีขึ้น ขึ้นสูงมากก็ลงได้ต่ำมาก คนที่เข้าไปเก็งกำไรก็ต้องระวังตัวกันเอาเองเพราะไม่มีกฎหมายหรืออะไรควบคุม ผมมักจะบอกคนที่สนใจเรื่องพวกนี้เสมอๆว่า “บ่อนเปิดทุกวัน ไม่ต้องรีบไปเสียตังก็ได้”
6. แล้วเจ้าเทคโนโลยี Blockchain มันคืออะไร
ถ้าจะให้พูดเรื่อง Blockchain เนี่ยจริงๆแล้วคุยได้เป็นเดือนๆ ต้องบอกว่า Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่ยังถือว่ามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงกันรวดเร็วมาก (ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลักๆก็มาจากความโด่งดังของ Bitcoin ทำให้คนมาสนใจกันมาก) หลักๆแล้วตัว Blockchain ประกอบด้วยเทคโนโลยี 2อย่างก็คือ
- Peer-to-Peer Network ก็ คือเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันโดยตรงระหว่างผู้ใช้งานในเครือข่ายนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลาง (Server)ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เจ้า Bit torrent ที่สายมืดหลายๆรายใช้ดูดหนัง ดูดเพลงกันแบบฟรีๆนั่นแหละครับ ลองนึกภาพเวลาเราจะโหลดบิตนะครับ เราจะต้องโหลดเจ้าไฟล์ต้นทาง เล็กๆมาไว้ที่เครื่องเรา โดยไอ่เจ้าไฟล์เล็กๆนั่นแหละครับจะเป็นตัวที่ใช้บอกว่า ข้อมูลที่เหลือของหนัง/เพลง อยู่ที่คอมเครื่องไหนในเครือข่ายบ้างมัน โดยโปรแกรม Bit Torrent ทั้งหลายแหล่ก็จะทำหน้าที่ดูดข้อมูลในส่วนที่เรายังขาดจากเครื่องอื่น แล้วก็ปล่อยให้เครื่องอื่นดูดในส่วนที่เรามีวนกันไปเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่าความเร็วการดูดของเรานั้นจะขึ้นกับจำนวนคนปล่อยที่ online อยู่ Bitcoin ก็เช่นกันครับเวลามีคนโอนข้อมูล Bitcoin ไปให้คนอื่น คนที่อยู่ในเครือข่ายก็จะเป็นคนคอยยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมและเก็บข้อมูลลงเครื่องตัวเอง เพื่อเอาไว้ใช้อ้างอิงความถูกต้องของธุรกรรมถัดๆไปในอนาคต
- Cryptography (การเข้ารหัส) เพื่อความปลอดภัยของธุรกรรมก็ต้องมีการเข้ารหัสกันหน่อย โดยการเข้ารหัสข้อมูล Bitcoin นี้มีจุดประสงค์หลักก็คือ เพื่อให้ข้อมูลของธุรกรรมที่เกิดขึ้นไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้โดยง่ายและใช้ในการยืนยันตัวตนของผู้ทำธุรกรรม โดย สมการการเข้ารหัสที่ Bitcoin ใช้นั้นจะเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า one-way hash function ซึ่งมีคุณลักษณะที่ว่า เราไม่สามารถย้อนกระบวนการคำนวณได้ในเวลาอันสั้น
ตัว Source Code ของระบบ Bitcoin เองนั้นสามารถหาได้บน Internet ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้งานบนโลก Internetแล้วว่า มีความปลอดภัยสูง นี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้ Bitcoin เกิดความมั่นใจในระบบของ Bitcoin
ด้วยคำถาม 6 ข้อด้านบนนี้ผมคิดว่าหลายๆคนที่อ่านน่าจะเข้าใจเจ้าตัว Bitcoin และเทคโนโลยี Blockchain มากขึ้นว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีหลักการทำงานพื้นฐานอย่างไร ถ้ามีอะไรสงสัยเพิ่มเติมก็หลังไมค์มาถามได้นะครับ แต่ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามในเชิงที่ว่า ซื้อเหรียญไหนดี? เหรียญไหนจะขึ้นพรุ่งนี้นะครับ
แนะนำ Bitcoin ผ่านคำถามยอดฮิต
1. Blockchain, Crypto Currency และ Bitcoin ต่างกันอย่างไร
คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามที่มือใหม่หลายๆคนสงสัยมากที่สุด ถ้าให้ตอบสั้นๆ ก็จะได้ว่า Bitcoin เนี่ยเป็นสกุลเงิน Crypto Currency แรกที่ถูกสร้างขึ้น โดยในปัจจุบันมี Crypto Currency/Token ปาเข้าไปกว่าพันสกุล ซึ่งเจ้าสกุลเงิน Crypto Currency /Token เหล่านี้นั้นทำงานอยู่บนเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Blockchain
อัตราแลกเปลี่ยนของ Bitcoin เทียบกับ USD ในปัจจุบันอยู่ที่กว่า USD 13,000 – 16,000 เข้าไปแล้ว ซึ่งตีเป็นเงินบาทก็ ราวๆ 4แสนถึง 6แสนบาทต่อ Bitcoin ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนนี้มีความผันผวนเอามากๆ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้กว่าแสนบาทภายในวันเดียว
2. ทำไมถึงมีคนให้มูลค่าของ Bitcoin เป็นแสนๆบาท?
คำถามยอดฮิตอันดับสองที่ตีคู่มากับคำถามแรก แต่เอาเข้าจริงๆคำถามนี้ตอบให้ถูกใจคนฟังยากเอามากๆ การจะตอบคำถามนี้ได้เนี่ยต้องมองย้อนกลับมาถามตัวเองว่า แล้วทำไมราคาทองคำถึงอยู่ที่ บาทละ หมื่นแปด?
คนที่ถูกถามก็อาจจะตอบว่าก็ทองคำมันหายาก, แพง, สวย, ใช้เป็นเครื่องประดับได้, มีประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม, นำไฟฟ้าได้ดี ฯลฯ พวกคุณสมบัติที่ว่ามาทั้งหมดเนี่ยคนไทยทุกคนรู้หมดเลยครับ แต่มันก็ไม่ได้ตอบคำถามว่าทำไมทองคำถึง ราคาบาทละหมื่นแปด? ทำไมไม่สองหมื่น สามหมื่น หรือห้าพัน สองพัน?
สุดท้ายแล้วคำตอบจริงๆของคำถามนี้ก็คือ ก็มีคนยอมซื้อที่ราคาเป็นแสนๆไงครับ ราคามันเลยอยู่ที่แสนๆบาท ถ้าวันนึงไม่มีคนให้มูลค่ามันก็ลงครับง่ายๆ
3. แล้วตัว Bitcoin มันมีคุณประโยชน์อะไรเหมือนทองคำบ้างมั้ย?
โดยความตั้งใจจริงๆแล้วของคนสร้าง Bitcoin เนี่ยเค้าตั้งใจจะให้ Bitcoin ใช้เป็น เงิน Digital บนโลก Internet ที่ไม่มีศูนย์กลาง ปราศจากการแทรกแซงจากหน่วยงานใดๆ และมีความปลอดภัยสูง และมีค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมต่ำ พูดง่ายๆก็คือ เงิน online ที่ไม่มีใครมาควบคุม การใช้จ่าย การโอนเข้าออกระหว่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ (ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ค่อยเร็วและค่าธรรมเนียมแพงมาก) ดังนั้น ประโยชน์ของมันก็ คือ “ใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนบนโลก Internet โดยระบบมีความปลอดภัยสูง สามารถโอนระหว่างผู้ใช้งานกันเองได้ในเวลาที่รวดเร็วและถูก
4. แล้วจริงๆเจ้า Bitcoin นี่มันคืออะไรกันแน่และมันเก็บอยู่ใน Wallet ได้ยังไง นึกภาพไม่ออก?
ตัว Bitcoin เองเนี่ยก็คือข้อมูลที่วิ่งไปวิ่งมาบนโลก Internet นั่นแหละครับ ไม่ต้องคิดไปไกล แต่เป็นข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสและถูกเก็บข้อมูลกระจายกันไปทั่วคอมพิวเตอร์ที่เข้าร่วม (Node) ทั่วโลกทำให้มีความปลอดภัยสูงเพราะถ้าคนจะ Hack ก็จะต้องทำการ Hack เข้าควบคุมคอมพิวเตอร์ที่เข้าร่วมใน Blockchain network เกิน 50% จากทั่วโลก
ส่วนเจ้าตัว Wallet หรือกระเป๋าตัง เนี่ยจริงๆแล้วมันคือส่วนหนึ่งที่ใช้กระบวนการ Cryptography (เข้ารหัส) โดย Wallet จะประกอบไปด้วย Key 2 ส่วนคือ Public Key และ Private Key ตัว Key เนี่ยก็จะเป็นตัวหนังสือ อารมณ์ประด้านล่างนี้
02a1633cafcc01ebfb6d78e39f687a1f0995c62fc95f51ead10a02ee0be551b5dc
ซึ่ง Public Key ใช้เป็นตัวอ้างอิงถึงกระเป๋าตังขาเข้าของเรา ก็คือเวลามีคนส่ง Bitcoin ก็จะส่งมาให้เราที่ Key อันนี้
ในขณะที่ Private Key จะใช้ในการยืนยันตัวตนกับระบบว่าเนี่ย เออ เราเองนะเราจะส่งตังจากเราไปให้ชาวบ้าน
ดังนั้น โปรดรักษา Private Key เป็นความลับ
สรุปสั้นๆ เมือมีธุรกรรมเกิดขึ้น เช่นนาย A ส่งเงินให้นาย B ระบบก็จะบันทึกข้อมูลลงไปในคอมเครือข่าย (Mining Node) ทั่วโลกว่าเออ Wallet ของนาย A ที่เคยมี Bitcoin อยู่ 2 เหรียญ ตอนนี้ย้ายไป Wallet นาย B แล้วนะ โดยระหว่างทางก็จะมีการตรวจสอบว่าธุรกรรมนี้มาจากนาย A จริงหรือเปล่าหรือนาย B แอบอ้างโมเมส่งเข้ามาในระบบเอง ผ่าน Private Key ของนาย A ที่แทรกอยู่ในรายละเอียดธุรกรรมนั้น หลังจากนั้นพอบันทึกลงฐานข้อมูลต่อท้าย Block เดิมปุ๊ป ทีนี้คนจะ Hack ก็ลำบากละเพราะ คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายทั่วโลกบันทึกไปแล้วว่า มีธุรกรรมของนาย A ส่งเงินให้นาย B
5. ฟังๆดูแล้วก็งั้นๆ แต่ราคาหลายแสนแปลว่าราคา Bitcoin สูงเกินไปแล้ว?
อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นครับว่า สูงเกินไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ถ้าฝั่งคนซื้อยังเห็นว่าไม่สูงเกินไปก็มีคนซื้อเรื่อยๆ ราคามันก็ขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ ตัว Bitcoin เองถูกกำหนดด้วยค่าตั้งต้นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ว่าให้มีได้แค่ 21,000,000 หน่วยเท่านั้น ทำให้ Supply มีจำกัด
ทุกวันนี้จริงๆแล้วมี Crypto Currency สกุลอื่นๆที่สามารถโอนได้เร็วกว่า ค่าธรรมเนียมถูกกว่า รวมทั้งสามารถสร้างเงื่อนไขการจ่ายเงินล่วงหน้าได้อีกด้วยเช่น Ripple, Ethereum แต่ราคาก็น้อยกว่า Bitcoin ถามว่าทำไม? โดยส่วนตัวมองว่า Bitcoin คือเจ้าแรก และได้รับการยอมรับกันไปแล้วอย่างกว้างขวางในประเทศที่ค่าเงินของประเทศตัวเองไม่ค่อยเสถียร และธุรกิจมืด มันก็เหมือนกับว่าคนเคยชินไปแล้ว การจะเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นก็คงต้องใช้เวลา เหมือนคนไทยทำไมใช้ LINE กันทำไมไม่ใช้ Whats App เหมือนคนสิงคโปร์หรือ Viber เหมือนคนพม่า ซึ่งคนในประเทศเหล่านั้น ก็คงตอบว่าก็เพื่อนๆในประเทศเค้าใช้ Whats App, Viber กันหมด
ดังนั้นถ้าหาก Bitcoin มันไม่ได้ห่วยแตกมากจนรับไม่ไหว หรือมี Crypto Currency ใหม่ที่ WOW มากๆความนิยมใน Bitcoin ก็ยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ
กลับมาที่คำถามที่ว่าราคาปัจจุบันสูงเกินไปหรือไม่ สรุปสั้นๆผมคงบอกว่า “ผมไม่รู้” เพราะถ้ารู้ผมก็คงรวยไปแล้ว แต่สิ่งที่ผมบอกได้ตอนนี้ก็คือ Bitcoin และ Crypto Currency อื่นๆในปัจจุบันนั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรกันไปซะมาก ซึ่งอะไรก็ตามที่มีการเก็งกำไร ย่อมมีลงมีขึ้น ขึ้นสูงมากก็ลงได้ต่ำมาก คนที่เข้าไปเก็งกำไรก็ต้องระวังตัวกันเอาเองเพราะไม่มีกฎหมายหรืออะไรควบคุม ผมมักจะบอกคนที่สนใจเรื่องพวกนี้เสมอๆว่า “บ่อนเปิดทุกวัน ไม่ต้องรีบไปเสียตังก็ได้”
6. แล้วเจ้าเทคโนโลยี Blockchain มันคืออะไร
ถ้าจะให้พูดเรื่อง Blockchain เนี่ยจริงๆแล้วคุยได้เป็นเดือนๆ ต้องบอกว่า Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่ยังถือว่ามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงกันรวดเร็วมาก (ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลักๆก็มาจากความโด่งดังของ Bitcoin ทำให้คนมาสนใจกันมาก) หลักๆแล้วตัว Blockchain ประกอบด้วยเทคโนโลยี 2อย่างก็คือ
- Peer-to-Peer Network ก็ คือเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันโดยตรงระหว่างผู้ใช้งานในเครือข่ายนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลาง (Server)ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เจ้า Bit torrent ที่สายมืดหลายๆรายใช้ดูดหนัง ดูดเพลงกันแบบฟรีๆนั่นแหละครับ ลองนึกภาพเวลาเราจะโหลดบิตนะครับ เราจะต้องโหลดเจ้าไฟล์ต้นทาง เล็กๆมาไว้ที่เครื่องเรา โดยไอ่เจ้าไฟล์เล็กๆนั่นแหละครับจะเป็นตัวที่ใช้บอกว่า ข้อมูลที่เหลือของหนัง/เพลง อยู่ที่คอมเครื่องไหนในเครือข่ายบ้างมัน โดยโปรแกรม Bit Torrent ทั้งหลายแหล่ก็จะทำหน้าที่ดูดข้อมูลในส่วนที่เรายังขาดจากเครื่องอื่น แล้วก็ปล่อยให้เครื่องอื่นดูดในส่วนที่เรามีวนกันไปเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่าความเร็วการดูดของเรานั้นจะขึ้นกับจำนวนคนปล่อยที่ online อยู่ Bitcoin ก็เช่นกันครับเวลามีคนโอนข้อมูล Bitcoin ไปให้คนอื่น คนที่อยู่ในเครือข่ายก็จะเป็นคนคอยยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมและเก็บข้อมูลลงเครื่องตัวเอง เพื่อเอาไว้ใช้อ้างอิงความถูกต้องของธุรกรรมถัดๆไปในอนาคต
- Cryptography (การเข้ารหัส) เพื่อความปลอดภัยของธุรกรรมก็ต้องมีการเข้ารหัสกันหน่อย โดยการเข้ารหัสข้อมูล Bitcoin นี้มีจุดประสงค์หลักก็คือ เพื่อให้ข้อมูลของธุรกรรมที่เกิดขึ้นไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้โดยง่ายและใช้ในการยืนยันตัวตนของผู้ทำธุรกรรม โดย สมการการเข้ารหัสที่ Bitcoin ใช้นั้นจะเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า one-way hash function ซึ่งมีคุณลักษณะที่ว่า เราไม่สามารถย้อนกระบวนการคำนวณได้ในเวลาอันสั้น
ตัว Source Code ของระบบ Bitcoin เองนั้นสามารถหาได้บน Internet ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ใช้งานบนโลก Internetแล้วว่า มีความปลอดภัยสูง นี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้ Bitcoin เกิดความมั่นใจในระบบของ Bitcoin
ด้วยคำถาม 6 ข้อด้านบนนี้ผมคิดว่าหลายๆคนที่อ่านน่าจะเข้าใจเจ้าตัว Bitcoin และเทคโนโลยี Blockchain มากขึ้นว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีหลักการทำงานพื้นฐานอย่างไร ถ้ามีอะไรสงสัยเพิ่มเติมก็หลังไมค์มาถามได้นะครับ แต่ผมขออนุญาตไม่ตอบคำถามในเชิงที่ว่า ซื้อเหรียญไหนดี? เหรียญไหนจะขึ้นพรุ่งนี้นะครับ