พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
คุณสมบัติสำคัญของ "เงินตรา" คือ มีปริมาณจำกัด และเพิ่มได้ตามปริมาณธุรกรรมพื้นฐาน
ทำให้มีค่าเสถียรในระยะเวลาที่นานพอสมควร ไม่แกว่งหวือหวามาก นี่คือเหตุผลที่ธนาคารกลางทุกประเทศมีหน้าที่ควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและเสถียร
กฎของทุนนิยมคือ ต้องมีการลงทุนผลิตที่ผ่านตลาดจึงจะเกิดมูลค่าและกำไร ถ้าสิ่งใดไม่มีการผลิตและกระบวนตลาดรองรับ หรือมีปริมาณรองรับน้อยมาก ทำให้ค่าไม่เสถียร ก็จะนำไปสู่การเก็งกำไรเพราะสิ่งนั้นก่อให้เกิด "กำไร" ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการปกติทางตลาด ซื้อมาเก็บไว้สักพัก แล้วขายไปก็เกิด "กำไร" ได้
ถ้า "ความเชือ" ของคนยิ่งทับถมทวีคูณ ก็กลายเป็น "ฟองสบู่"
ในกรณี bitcoin มีธุรกรรมจริงในตลาดรองรับน้อยมาก ปริมาณธุรกรรมจริง (ใช้ซื้อขายสินค้า) บน bitcoin ในอนาคตก็มีแนวโน้มไม่เพิ่มขึ้นอย่างสำคัญ แล้วยังจะถูกจำกัดด้วยกฎหมาย ธนาคารกลางและรัฐบาล "มูลค่า" ของ bitcoin จึงขึ้นอยู่กับ "ความเชื่อ" ของคนและธุรกรรมจริงที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย ทำให้มูลค่าของ bitcoin ไม่เสถียรอย่างมาก กลายเป็น "สินค้าเก็งกำไร" อีกตัวหนึ่งบนความเชื่ออมตะว่า "มูลค่า" จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆๆ ไม่มีวันตกลงมา
บางคนเอา bitcoin ไปเทียบกับ "ทองคำ" แต่ทองคำยังมีค่าพื้นฐานของตัวเองในตลาดคือ ปย.ทางบริโภคและอุตสาหกรรม บทเรียนจากทองคำคือ มีปริมาณจำกัด ไม่เพิ่มขึ้นตามธุรกรรมจริงในตลาด มูลค่าไม่เสถียร นั่นแหละทำให้ทุกวันนี้จึงไม่มีใครใช้ทองคำเป็น "เงินตรา" อีกต่อไป!
bitcoin ก็คงอยู่กับ "เก็งกำไร" ไปได้อีกนานมาก แต่จะมาแทน "เงินตรา" น่ะเหรอ?
ในปวศ. มีการเก็งกำไรใดที่ "มูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีวันตกลงมา" บ้าง?
https://www.facebook.com/pichitlk/posts/1595354110532401
เอามาฝากเฉพาะคอการเมืองก็พอนะครับ ไม่แทกห้องอื่น
ต่อไปหนังฮ่องกง อาจมีเรื่อง เจ้าพ่อ bitcoin ออกมาตามเทรน
เหมือนที่เคยมีเรื่องเจ้าพ่อตลาดหุ้น หรือมีเรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นจำนวนมาก
คนอื่นก็ให้อ่านเพื่อประกอบเป็นข้อมูลและควรศึกษาเพิ่มเติม
อย่างเสี่ยเกียนที่มีเงินเย็นเป็นถุงเป็นถัง อยากรวยเร็วแบบพรวดๆ
ต้องนี่เลย bitcoin ทองเทิงล้าสมัยแล้ว รับรองไม่มีติดดอย พุ่งทะลุฟ้าแน่ๆ
จากร้อยล้าน แค่ปีเดียวเผลอเสี่ยเกียนอาจเป็นเศรษฐีหมื่นล้านก็ได้นะฮ้า
ยุค 4.0 คนจนเล่นหวย คนรวยเล่น bitcoin เอาแนวคิดของ ดร.พิชิต นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่มีต่อ Bitcoin มาฝาก
คุณสมบัติสำคัญของ "เงินตรา" คือ มีปริมาณจำกัด และเพิ่มได้ตามปริมาณธุรกรรมพื้นฐาน
ทำให้มีค่าเสถียรในระยะเวลาที่นานพอสมควร ไม่แกว่งหวือหวามาก นี่คือเหตุผลที่ธนาคารกลางทุกประเทศมีหน้าที่ควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและเสถียร
กฎของทุนนิยมคือ ต้องมีการลงทุนผลิตที่ผ่านตลาดจึงจะเกิดมูลค่าและกำไร ถ้าสิ่งใดไม่มีการผลิตและกระบวนตลาดรองรับ หรือมีปริมาณรองรับน้อยมาก ทำให้ค่าไม่เสถียร ก็จะนำไปสู่การเก็งกำไรเพราะสิ่งนั้นก่อให้เกิด "กำไร" ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการปกติทางตลาด ซื้อมาเก็บไว้สักพัก แล้วขายไปก็เกิด "กำไร" ได้
ถ้า "ความเชือ" ของคนยิ่งทับถมทวีคูณ ก็กลายเป็น "ฟองสบู่"
ในกรณี bitcoin มีธุรกรรมจริงในตลาดรองรับน้อยมาก ปริมาณธุรกรรมจริง (ใช้ซื้อขายสินค้า) บน bitcoin ในอนาคตก็มีแนวโน้มไม่เพิ่มขึ้นอย่างสำคัญ แล้วยังจะถูกจำกัดด้วยกฎหมาย ธนาคารกลางและรัฐบาล "มูลค่า" ของ bitcoin จึงขึ้นอยู่กับ "ความเชื่อ" ของคนและธุรกรรมจริงที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย ทำให้มูลค่าของ bitcoin ไม่เสถียรอย่างมาก กลายเป็น "สินค้าเก็งกำไร" อีกตัวหนึ่งบนความเชื่ออมตะว่า "มูลค่า" จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆๆ ไม่มีวันตกลงมา
บางคนเอา bitcoin ไปเทียบกับ "ทองคำ" แต่ทองคำยังมีค่าพื้นฐานของตัวเองในตลาดคือ ปย.ทางบริโภคและอุตสาหกรรม บทเรียนจากทองคำคือ มีปริมาณจำกัด ไม่เพิ่มขึ้นตามธุรกรรมจริงในตลาด มูลค่าไม่เสถียร นั่นแหละทำให้ทุกวันนี้จึงไม่มีใครใช้ทองคำเป็น "เงินตรา" อีกต่อไป!
bitcoin ก็คงอยู่กับ "เก็งกำไร" ไปได้อีกนานมาก แต่จะมาแทน "เงินตรา" น่ะเหรอ?
ในปวศ. มีการเก็งกำไรใดที่ "มูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีวันตกลงมา" บ้าง?
https://www.facebook.com/pichitlk/posts/1595354110532401
เอามาฝากเฉพาะคอการเมืองก็พอนะครับ ไม่แทกห้องอื่น
ต่อไปหนังฮ่องกง อาจมีเรื่อง เจ้าพ่อ bitcoin ออกมาตามเทรน
เหมือนที่เคยมีเรื่องเจ้าพ่อตลาดหุ้น หรือมีเรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นจำนวนมาก
คนอื่นก็ให้อ่านเพื่อประกอบเป็นข้อมูลและควรศึกษาเพิ่มเติม
อย่างเสี่ยเกียนที่มีเงินเย็นเป็นถุงเป็นถัง อยากรวยเร็วแบบพรวดๆ
ต้องนี่เลย bitcoin ทองเทิงล้าสมัยแล้ว รับรองไม่มีติดดอย พุ่งทะลุฟ้าแน่ๆ
จากร้อยล้าน แค่ปีเดียวเผลอเสี่ยเกียนอาจเป็นเศรษฐีหมื่นล้านก็ได้นะฮ้า