เยาวชนญี่ปุ่น คิดยังไง กับนักบินกามิกาเซ่ ใน WW2!!!
3 พฤศจิกายน 2017

โอซามุ ยามาดะ ผู้รอดชีวิตจากภารกิจกามิกาเซ และเหล่าเพื่อนทหารของเขา
ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตในการขับเครื่องบินพุ่งชนเป้าหมายของศัตรูระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ฉายภาพความกล้าหาญของเหล่านักบินกามิกาเซ

เคอิจิ คุวาฮารา มีอายุ 17 ปี และจำได้ว่า "เขารู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง" เมื่อรู้ว่าต้องเข้าร่วมหน่วยกามิกาเซ

จักรพรรดิฮิโรฮิโตะในปี 1942
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นักบินชาวญี่ปุ่นหลายพันนายอาสาเข้าร่วมภารกิจ
กามิกาเซเพื่อองค์จักรพรรดิของญี่ปุ่น ด้วยการขับเครื่องบินพุ่งชนเป้าหมายของศัตรู
ผ่านไป 70 ปี มาริโกะ โออิ ผู้สื่อข่าวบีบีซี ได้พูดคุยกับเยาวชนของญี่ปุ่นเกี่ยวกับมุมมอง
ที่มีต่อกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการเคารพนับถือว่าเป็นวีรบุรุษเหล่านี้
ไม่มีเหตุผล, กล้าหาญ, งี่เง่า คือ คำตอบที่ผู้สื่อข่าวบีบีซีได้จากการพูดคุยกับ
เยาวชนญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว 3 คน เมื่อพวกเขาถูกถามเกี่ยวกับมุมองที่มีต่อนักบินกามิกาเซ
"กล้าหาญ?" ชุนเปอิ แสดงความสงสัยต่อคำตอบของโช
น้องชายของเขา และพูดว่า "ฉันไม่รู้เลยว่านายจะขวาจัดขนาดนี้"
เป็นเรื่องยากที่จะระบุจำนวนที่ถูกต้อง แต่เชื่อว่ามีนักบินชาวญี่ปุ่น 3,000-4,000 นาย
ขับเครื่องบินพุ่งชนเป้าหมายของศัตรู และมีเพียง 10% ของภารกิจเหล่านี้
ที่คาดว่าประสบความสำเร็จ โดยสามารถจมเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรได้ราว 50 ลำ
หลายสิบปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความเห็นที่มีต่อเหล่านักบินกามิกาเซยังคงมีหลากหลาย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"ระหว่างที่ฝ่ายสัมพันธมิตรบุกญี่ปุ่น 7 ปี ปฏิบัติการกามิกาเซที่โด่งดังเป็นหนึ่งในสิ่งแรกๆ
ที่พวกเขามุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จ" ศาสตราจารย์ เอ็มจี เชฟต์ทอลล์ จากมหาวิทยาลัยชิซุโอกะอธิบาย
กลยุทธ์ในการฆ่าตัวตายนี้ถูกหาว่าเป็น "ความบ้าคลั่ง"
"แต่เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรออกไปเมื่อปี 1952 กลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวา
ก็ปรากฏชัดมากขึ้น และก็พยายามที่จะเล่าเรื่องนี้ใหม่" เขากล่าว
"แม้ว่าในทศวรรษ 1970 และ 1980 ประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คิดว่ากามิกาเซเป็นเรื่องที่น่าอับอาย เป็นอาชญากรรมที่รัฐกระทำต่อสมาชิกครอบครัวของผู้ร่วมภารกิจกามิกาเซ แต่ในทศวรรษ 1990 กลุ่มชาตินิยมได้เริ่มโยนหินถามทาง เพื่อดูว่าพวกเขาจะทำให้เหล่านักบินกามิกาเซถูกเรียกว่าวีรบุรุษได้หรือไม่ เมื่อไม่มีกระแสต่อต้านมากนัก พวกเขาก็เริ่มพยายามมากขึ้น ๆ" เขากล่าวเพิ่มเติม
คุณจะต่อสู้เพื่อประเทศของคุณหรือไม่?
การสำรวจในหลายประเทศเมื่อปี 2015 โดย วิน/แกลลัพ
พบว่า 11% ของชาวญี่ปุ่นพร้อมจะต่อสู้เพื่อชาติ เมื่อเทียบกับ
ปากีสถาน: 89%
อินเดีย: 75%
ตุรกี: 73%
จีน: 71%
รัสเซีย: 59%
สหรัฐฯ: 44%
สหราชอาณาจักร: 27%
ญี่ปุ่น: 11%
ในศวรรษที่ 21 มีภาพยนตร์หลายเรื่องอย่างเช่น For Those We Love
และ The Eternal Zero เล่าเรื่องราวของนักบินกามิกาเซในลักษณะของวีรบุรุษ
แต่แม้แต่ โช วัยรุ่นที่มองว่าพวกเขาคือวีรบุรุษผู้กล้าหาญ ก็ยังยอมรับว่า
มุมมองของเขาได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ และระบุว่าถ้าญี่ปุ่นทำสงครามพรุ่งนี้ เขาคงไม่พร้อมที่จะตายเพื่อชาติ
โชบอกว่า "เพราะว่าผมไม่อาจทำได้ ผมว่าพวกเขากล้าหาญและองอาจมาก"
ตามการสำรวจของ วิน/แกลลัพ อินเตอร์เนชั่นแนล มีชาวญี่ปุ่นเพียง 11% ที่เต็มใจสู้รบเพื่อประเทศชาติ ทำให้ญี่ปุ่นอยู่ท้ายสุดของตาราง
ผลการสำรวจนี้ไม่ได้น่าแปลกใจนัก เพราะชาวญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามเติบโตมาภายใต้รัฐธรรมนูญที่ใฝ่สันติ ซึ่งห้ามญี่ปุ่นมีทหารของตัวเอง
'ผมไม่อยากตาย'
จริงหรือไม่ที่นักบินกามิกาเซทุกนายซึ่งส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 17-24 ปี เต็มใจที่จะตายเพื่อชาติ?
เมื่อผู้สื่อข่าวบีบีซีได้พูดคุยกับผู้รอดชีวิต 2 คนจากปฏิบัติการกามิกาเซ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในวัยกว่า 90 ปี คำตอบดูเหมือนว่า ไม่ใช่
"ผมว่า 60-70% ของพวกเรากระตือรือร้นที่จะสละชีวิตตัวเองเพื่อองค์จักรพรรดิ
แต่ที่เหลือคงสงสัยว่า ทำไมพวกเขาต้องทำเช่นนั้นด้วย" โอซามุ ยามาดะ วัย 94 ปี
กล่าวที่บ้านของเขาในเมืองนาโงยา โดยเขารอดชีวิตเพราะก่อนที่จะได้ปฏิบัติภารกิจกามิกาเซ สงครามก็ยุติลงก่อน
"ตอนนั้นผมโสด ไม่มีอะไรมาฉุดรั้ง ก็เลยมีความคิดที่ออกมาจากใจอย่างแท้จริงว่า
ผมต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องญี่ปุ่น แต่ใครที่มีครอบครัว พวกเขาคงคิดไม่เหมือนกัน" เขากล่าว
เคอิจิ คุวาฮารา วัย 91 ปี เป็นหนึ่งในผู้ที่ยังห่วงครอบครัวของตัวเองอยู่ในขณะนั้น
เขาเล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า เขาถูกบอกให้เข้าร่วมหน่วยกามิกาเซ
"ผมรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง" เขามีอายุเพียง 17 ปีในขณะนั้น "ผมกลัว ผมไม่อยากตาย"
"ผมเสียพ่อในปีก่อนหน้านั้น และเหลือเพียงแม่และพี่สาวทำงานจุนเจือครอบครัว
ผมส่งเงินเดือนให้พวกเขา ผมคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมตาย ครอบครัวผมจะกินอยู่อย่างไร"
เมื่อเครื่องยนต์ของเขาขัดข้อง และจำต้องบินกลับ เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
แต่ในเอกสารระบุว่า นายคุวาฮาราเต็มใจเข้าร่วมภารกิจ "ผมถูกบังคับหรือผมเต็มใจ
เป็นคำถามที่ยากจะตอบ ถ้าคุณไม่เข้าใจแก่นแท้ของทหาร" เขากล่าว
ศาสตราจารย์ เชฟต์ทอลล์ กล่าวว่า นักบินเหล่านี้ถูกขอให้ยกมือขึ้นขณะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่
ถ้าพวกเขาไม่ต้องการอาสาเข้าร่วมภารกิจ ท่ามกลางความกดดันในหมู่เพื่อน ก็แทบไม่มีใครปฏิเสธการเข้าร่วมภารกิจนี้
นักบินกามิกาเซมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ผู้ก่อการร้ายในยุคสมัยใหม่
ซึ่งปฏิบัติภารกิจฆ่าตัวตาย แต่นายคุวาฮาระบอกว่า นั่นไม่ถูกต้อง
"ผมคิดว่าสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง" นายคุวาฮาระ กล่าว "การทำกามิกาเซเกิดขึ้นเฉพาะ
ในยามสงครามเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่เรียกว่ารัฐอิสลามก่อเหตุโจมตีอย่างไม่อาจคาดเดาได้"
นายยามาดะ คิดว่า คำว่า กามิกาเซ ซึ่งแปลว่า "สายลมศักดิ์สิทธิ์" ในภาษาญี่ปุ่น
มีการเข้าใจผิดและถูกนำไปใช้ในภาษาอังกฤษอย่างไม่เหมาะสม
ปราศจากความเข้าใจในบริบททางประวัติศาสตร์และสิ่งที่ญี่ปุ่นเผชิญอยู่ในขณะนั้น
"ผมรู้สึกเจ็บปวด เพราะว่ากามิกาเซคือช่วงวัยรุ่นของผม มันคือสิ่งที่บริสุทธิ์
มันคือสิ่งที่ไม่มีอะไรเจือปนจริง ๆ มันคือสิ่งที่มีค่าสูงส่งอย่างมาก แต่ตอนนี้มันถูกพูดถึงว่า พวกเราถูกโน้มน้าวให้เข้าร่วม"
หลังจากสงคราม นายคุวาฮาระ ซึ่งเคยเข้าร่วมภารกิจอย่างไม่เต็มใจนัก
กล่าวว่า เขารู้สึกได้รับการปลดปล่อย และจำเป็นต้องคิดถึงเรื่องการฟื้นฟูประเทศ
แต่นายยามาดะใช้เวลาช่วงหนึ่งในการปรับตัว เขาเล่าว่า
"ผมสับสน รู้สึกไร้พลัง สูญเสียความเป็นตัวเอง ราวกับว่าวิญญาณได้หลุดออกจากร่าง"
"ในฐานะนักบินกามิกาเซ พวกเราทุกคนต่างพร้อมที่จะตาย พอผมได้ยินว่าเราแพ้แล้ว
ผมจึงรู้สึกเหมือนกับโลกนี้พังทลายลง" นายยามาดะเล่า
แต่เขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป เพราะชีวิตในยุคหลังสงครามของญี่ปุ่น
ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ต้องหางานทำ หาอาหารยังชีพ
ขณะที่บุคคลที่เขาเคยเต็มใจสละชีพให้คือ จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ
ก็ทรงมีบทบาทสำคัญในการทำให้เขาต้องเดินหน้าต่อไป
เพราะพระองค์เองก็ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างด้วยการจับมือกับชาวอเมริกัน
"องค์จักรพรรดิ พระองค์คือดวงใจของญี่ปุ่น ผมคิดว่า การปรากฏพระองค์ของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะช่วยทำให้ชาวญี่ปุ่นฟื้นตัวเองขึ้นมาได้จากสงคราม" เขากล่าว
สำหรับชาวญี่ปุ่นยุคหลังสงคราม ประสบการณ์ของเหล่าอดีตนักบินกามิกาเซเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดได้
"เมื่อฉันคิดถึงชีวิตของคุณตา ฉันก็รู้สึกว่าชีวิตฉันไม่ใช่ของฉันเพียงคนเดียว"
โยชิโกะ ฮาเซกาวา หลานสาวของนายยามาดา กล่าว
"ฉันจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นลูกหลานของเหล่าทหารที่เสียชีวิตระหว่างสงคราม"
ส่วนหลานชายของนายคุวาฮาระ ไม่รู้ว่าคุณปู่ของเขาต้องพบเจออะไรบ้างในการเป็นนักบินฝึกหัดอายุ 17 ปี"
"แต่สิ่งที่ผมต้องการสร้างก็คือ ประเทศญี่ปุ่นที่สงบสุข" เขายิ้ม สำหรับนายคุวาฮาราแล้ว
การที่หลานชายของเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ก็เป็นการพิสูจน์ว่า
ญี่ปุ่นได้ก้าวออกมาจากช่วงประวัติศาสตร์อันแสนเจ็บปวดนั้นแล้ว
http://www.bbc.com/thai/international-41862206
เยาวชนญี่ปุ่น คิดยังไง กับนักบินกามิกาเซ่ ใน WW2!!!
3 พฤศจิกายน 2017
โอซามุ ยามาดะ ผู้รอดชีวิตจากภารกิจกามิกาเซ และเหล่าเพื่อนทหารของเขา
ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตในการขับเครื่องบินพุ่งชนเป้าหมายของศัตรูระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ฉายภาพความกล้าหาญของเหล่านักบินกามิกาเซ
เคอิจิ คุวาฮารา มีอายุ 17 ปี และจำได้ว่า "เขารู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง" เมื่อรู้ว่าต้องเข้าร่วมหน่วยกามิกาเซ
จักรพรรดิฮิโรฮิโตะในปี 1942
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นักบินชาวญี่ปุ่นหลายพันนายอาสาเข้าร่วมภารกิจ
กามิกาเซเพื่อองค์จักรพรรดิของญี่ปุ่น ด้วยการขับเครื่องบินพุ่งชนเป้าหมายของศัตรู
ผ่านไป 70 ปี มาริโกะ โออิ ผู้สื่อข่าวบีบีซี ได้พูดคุยกับเยาวชนของญี่ปุ่นเกี่ยวกับมุมมอง
ที่มีต่อกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการเคารพนับถือว่าเป็นวีรบุรุษเหล่านี้
ไม่มีเหตุผล, กล้าหาญ, งี่เง่า คือ คำตอบที่ผู้สื่อข่าวบีบีซีได้จากการพูดคุยกับ
เยาวชนญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว 3 คน เมื่อพวกเขาถูกถามเกี่ยวกับมุมองที่มีต่อนักบินกามิกาเซ
"กล้าหาญ?" ชุนเปอิ แสดงความสงสัยต่อคำตอบของโช
น้องชายของเขา และพูดว่า "ฉันไม่รู้เลยว่านายจะขวาจัดขนาดนี้"
เป็นเรื่องยากที่จะระบุจำนวนที่ถูกต้อง แต่เชื่อว่ามีนักบินชาวญี่ปุ่น 3,000-4,000 นาย
ขับเครื่องบินพุ่งชนเป้าหมายของศัตรู และมีเพียง 10% ของภารกิจเหล่านี้
ที่คาดว่าประสบความสำเร็จ โดยสามารถจมเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรได้ราว 50 ลำ
หลายสิบปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความเห็นที่มีต่อเหล่านักบินกามิกาเซยังคงมีหลากหลาย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"ระหว่างที่ฝ่ายสัมพันธมิตรบุกญี่ปุ่น 7 ปี ปฏิบัติการกามิกาเซที่โด่งดังเป็นหนึ่งในสิ่งแรกๆ
ที่พวกเขามุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จ" ศาสตราจารย์ เอ็มจี เชฟต์ทอลล์ จากมหาวิทยาลัยชิซุโอกะอธิบาย
กลยุทธ์ในการฆ่าตัวตายนี้ถูกหาว่าเป็น "ความบ้าคลั่ง"
"แต่เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรออกไปเมื่อปี 1952 กลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวา
ก็ปรากฏชัดมากขึ้น และก็พยายามที่จะเล่าเรื่องนี้ใหม่" เขากล่าว
"แม้ว่าในทศวรรษ 1970 และ 1980 ประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คิดว่ากามิกาเซเป็นเรื่องที่น่าอับอาย เป็นอาชญากรรมที่รัฐกระทำต่อสมาชิกครอบครัวของผู้ร่วมภารกิจกามิกาเซ แต่ในทศวรรษ 1990 กลุ่มชาตินิยมได้เริ่มโยนหินถามทาง เพื่อดูว่าพวกเขาจะทำให้เหล่านักบินกามิกาเซถูกเรียกว่าวีรบุรุษได้หรือไม่ เมื่อไม่มีกระแสต่อต้านมากนัก พวกเขาก็เริ่มพยายามมากขึ้น ๆ" เขากล่าวเพิ่มเติม
คุณจะต่อสู้เพื่อประเทศของคุณหรือไม่?
การสำรวจในหลายประเทศเมื่อปี 2015 โดย วิน/แกลลัพ
พบว่า 11% ของชาวญี่ปุ่นพร้อมจะต่อสู้เพื่อชาติ เมื่อเทียบกับ
ปากีสถาน: 89%
อินเดีย: 75%
ตุรกี: 73%
จีน: 71%
รัสเซีย: 59%
สหรัฐฯ: 44%
สหราชอาณาจักร: 27%
ญี่ปุ่น: 11%
ในศวรรษที่ 21 มีภาพยนตร์หลายเรื่องอย่างเช่น For Those We Love
และ The Eternal Zero เล่าเรื่องราวของนักบินกามิกาเซในลักษณะของวีรบุรุษ
แต่แม้แต่ โช วัยรุ่นที่มองว่าพวกเขาคือวีรบุรุษผู้กล้าหาญ ก็ยังยอมรับว่า
มุมมองของเขาได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ และระบุว่าถ้าญี่ปุ่นทำสงครามพรุ่งนี้ เขาคงไม่พร้อมที่จะตายเพื่อชาติ
โชบอกว่า "เพราะว่าผมไม่อาจทำได้ ผมว่าพวกเขากล้าหาญและองอาจมาก"
ตามการสำรวจของ วิน/แกลลัพ อินเตอร์เนชั่นแนล มีชาวญี่ปุ่นเพียง 11% ที่เต็มใจสู้รบเพื่อประเทศชาติ ทำให้ญี่ปุ่นอยู่ท้ายสุดของตาราง
ผลการสำรวจนี้ไม่ได้น่าแปลกใจนัก เพราะชาวญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามเติบโตมาภายใต้รัฐธรรมนูญที่ใฝ่สันติ ซึ่งห้ามญี่ปุ่นมีทหารของตัวเอง
'ผมไม่อยากตาย'
จริงหรือไม่ที่นักบินกามิกาเซทุกนายซึ่งส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 17-24 ปี เต็มใจที่จะตายเพื่อชาติ?
เมื่อผู้สื่อข่าวบีบีซีได้พูดคุยกับผู้รอดชีวิต 2 คนจากปฏิบัติการกามิกาเซ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในวัยกว่า 90 ปี คำตอบดูเหมือนว่า ไม่ใช่
"ผมว่า 60-70% ของพวกเรากระตือรือร้นที่จะสละชีวิตตัวเองเพื่อองค์จักรพรรดิ
แต่ที่เหลือคงสงสัยว่า ทำไมพวกเขาต้องทำเช่นนั้นด้วย" โอซามุ ยามาดะ วัย 94 ปี
กล่าวที่บ้านของเขาในเมืองนาโงยา โดยเขารอดชีวิตเพราะก่อนที่จะได้ปฏิบัติภารกิจกามิกาเซ สงครามก็ยุติลงก่อน
"ตอนนั้นผมโสด ไม่มีอะไรมาฉุดรั้ง ก็เลยมีความคิดที่ออกมาจากใจอย่างแท้จริงว่า
ผมต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องญี่ปุ่น แต่ใครที่มีครอบครัว พวกเขาคงคิดไม่เหมือนกัน" เขากล่าว
เคอิจิ คุวาฮารา วัย 91 ปี เป็นหนึ่งในผู้ที่ยังห่วงครอบครัวของตัวเองอยู่ในขณะนั้น
เขาเล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า เขาถูกบอกให้เข้าร่วมหน่วยกามิกาเซ
"ผมรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง" เขามีอายุเพียง 17 ปีในขณะนั้น "ผมกลัว ผมไม่อยากตาย"
"ผมเสียพ่อในปีก่อนหน้านั้น และเหลือเพียงแม่และพี่สาวทำงานจุนเจือครอบครัว
ผมส่งเงินเดือนให้พวกเขา ผมคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมตาย ครอบครัวผมจะกินอยู่อย่างไร"
เมื่อเครื่องยนต์ของเขาขัดข้อง และจำต้องบินกลับ เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
แต่ในเอกสารระบุว่า นายคุวาฮาราเต็มใจเข้าร่วมภารกิจ "ผมถูกบังคับหรือผมเต็มใจ
เป็นคำถามที่ยากจะตอบ ถ้าคุณไม่เข้าใจแก่นแท้ของทหาร" เขากล่าว
ศาสตราจารย์ เชฟต์ทอลล์ กล่าวว่า นักบินเหล่านี้ถูกขอให้ยกมือขึ้นขณะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่
ถ้าพวกเขาไม่ต้องการอาสาเข้าร่วมภารกิจ ท่ามกลางความกดดันในหมู่เพื่อน ก็แทบไม่มีใครปฏิเสธการเข้าร่วมภารกิจนี้
นักบินกามิกาเซมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ผู้ก่อการร้ายในยุคสมัยใหม่
ซึ่งปฏิบัติภารกิจฆ่าตัวตาย แต่นายคุวาฮาระบอกว่า นั่นไม่ถูกต้อง
"ผมคิดว่าสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง" นายคุวาฮาระ กล่าว "การทำกามิกาเซเกิดขึ้นเฉพาะ
ในยามสงครามเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่เรียกว่ารัฐอิสลามก่อเหตุโจมตีอย่างไม่อาจคาดเดาได้"
นายยามาดะ คิดว่า คำว่า กามิกาเซ ซึ่งแปลว่า "สายลมศักดิ์สิทธิ์" ในภาษาญี่ปุ่น
มีการเข้าใจผิดและถูกนำไปใช้ในภาษาอังกฤษอย่างไม่เหมาะสม
ปราศจากความเข้าใจในบริบททางประวัติศาสตร์และสิ่งที่ญี่ปุ่นเผชิญอยู่ในขณะนั้น
"ผมรู้สึกเจ็บปวด เพราะว่ากามิกาเซคือช่วงวัยรุ่นของผม มันคือสิ่งที่บริสุทธิ์
มันคือสิ่งที่ไม่มีอะไรเจือปนจริง ๆ มันคือสิ่งที่มีค่าสูงส่งอย่างมาก แต่ตอนนี้มันถูกพูดถึงว่า พวกเราถูกโน้มน้าวให้เข้าร่วม"
หลังจากสงคราม นายคุวาฮาระ ซึ่งเคยเข้าร่วมภารกิจอย่างไม่เต็มใจนัก
กล่าวว่า เขารู้สึกได้รับการปลดปล่อย และจำเป็นต้องคิดถึงเรื่องการฟื้นฟูประเทศ
แต่นายยามาดะใช้เวลาช่วงหนึ่งในการปรับตัว เขาเล่าว่า
"ผมสับสน รู้สึกไร้พลัง สูญเสียความเป็นตัวเอง ราวกับว่าวิญญาณได้หลุดออกจากร่าง"
"ในฐานะนักบินกามิกาเซ พวกเราทุกคนต่างพร้อมที่จะตาย พอผมได้ยินว่าเราแพ้แล้ว
ผมจึงรู้สึกเหมือนกับโลกนี้พังทลายลง" นายยามาดะเล่า
แต่เขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป เพราะชีวิตในยุคหลังสงครามของญี่ปุ่น
ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ต้องหางานทำ หาอาหารยังชีพ
ขณะที่บุคคลที่เขาเคยเต็มใจสละชีพให้คือ จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ
ก็ทรงมีบทบาทสำคัญในการทำให้เขาต้องเดินหน้าต่อไป
เพราะพระองค์เองก็ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างด้วยการจับมือกับชาวอเมริกัน
"องค์จักรพรรดิ พระองค์คือดวงใจของญี่ปุ่น ผมคิดว่า การปรากฏพระองค์ของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะช่วยทำให้ชาวญี่ปุ่นฟื้นตัวเองขึ้นมาได้จากสงคราม" เขากล่าว
สำหรับชาวญี่ปุ่นยุคหลังสงคราม ประสบการณ์ของเหล่าอดีตนักบินกามิกาเซเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดได้
"เมื่อฉันคิดถึงชีวิตของคุณตา ฉันก็รู้สึกว่าชีวิตฉันไม่ใช่ของฉันเพียงคนเดียว"
โยชิโกะ ฮาเซกาวา หลานสาวของนายยามาดา กล่าว
"ฉันจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นลูกหลานของเหล่าทหารที่เสียชีวิตระหว่างสงคราม"
ส่วนหลานชายของนายคุวาฮาระ ไม่รู้ว่าคุณปู่ของเขาต้องพบเจออะไรบ้างในการเป็นนักบินฝึกหัดอายุ 17 ปี"
"แต่สิ่งที่ผมต้องการสร้างก็คือ ประเทศญี่ปุ่นที่สงบสุข" เขายิ้ม สำหรับนายคุวาฮาราแล้ว
การที่หลานชายของเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ก็เป็นการพิสูจน์ว่า
ญี่ปุ่นได้ก้าวออกมาจากช่วงประวัติศาสตร์อันแสนเจ็บปวดนั้นแล้ว
http://www.bbc.com/thai/international-41862206