ขอสอบถามหน่อยครับ ตอนนี้มีลูก 2 คน สอนมาแบบ biligual ที่บ้านทั้งคู่
ลูกชายคนโตอายุ 5 ขวบ อนุบาล 2 กำลังจะขึ้น 3
ลูกสาวคนเล็กอายุจะ 3 ขวบยังไม่ได้เข้าอนุบาลครับ (เธอเคยประสบอุบัติเหตุหนักเคยลงใน pantip ตอนนี้โอเคแล้วครับ)
ส่วนตัวผมใช้ log in มาหลายชื่อ ณภัทร ครูภาษาอังกฤษเป็น log in ที่ตั้งใจไว้ว่าตัวเองจะทำงานเป็นครูสอนอังกฤษ
แต่สุดท้ายคิดว่าตัวเองไม่ได้ใจรักในการเป็นครู เลยกำลังขอเปลี่ยนชื่อเป็นเน็ดคุงเหมือนเดิมอยู่ครับ (ซึ่งเอามาตั้งชื่อลูกชายคนโตด้วย)
แต่ project ที่เคยลงใน pantip ที่จะลง youtube แล้วสอนในสไตล์ให้คนไม่เก่งได้ที่โหล่ในห้อง
แต่เก่งภาษาอังกฤษได้ยังไงอันนี้ทำแน่นอนครับ (ผมคือคนนั้น) แต่ติดว่าตอนนี้กำลังย้ายบ้าน ผมไม่มีสมาธิ
ก็เลยพักไว้ก่อน แล้วก็ต้องคิดด้วยว่าจะสื่อสารยังไงให้คนเข้าใจครับ
ที่ต้องเท้าความขนาดนี้เพราะจะได้รู้ว่าผมไม่ได้มีอะไรปิดบังให้ชาว pantip ต้อง
search ดูชื่อย้อนดูประวัติให้มากมายครับ
ปัจจุบันยอมรับว่าเลี้ยงลูกมาแบบ full time ตั้งแต่เขาเกิดครับ ดังนั้น
ตังเก็บก็ร่อยหลอ ต้องขายสมบัติเก่ากิน ซึ่งที่จริงก็เคยตั้งกิจการเล็กๆ ระหว่างนั้น
ด้วยแต่ล้มเหลว หมดเงินหมดทองไปมากมาย ทำให้ project เลี้ยงลูกแบบเต็มเวลา
ข้อดีคือ ผมได้เลี้ยงลูกแบบภาษาอังกฤษเต็มที่ ได้ให้เวลาอยู่กับลูกเต็มที่ ซึ่งก็ทำให้
ภาษาผมพัฒนาขึ้นมาก เพราะปกติผมไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษพูดกับใคร ไม่ได้มีเพื่อน
หรือคนรู้จักเป็นฝรั่ง แต่ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบที่ทำให้มีคลังศัพท์ในสมองเยอะมาก
ประมาณว่า Toefl หรือ Toeic กลายเป็นง่ายไปเลย ต้องขอบคุณ อ.สงวน วงศ์สุชาต
อาจารย์ภาษาอังกฤษรุ่นปรมาจารย์ที่คนรุ่นเก่าๆ จะรู้จักเป็นอย่างดี ที่ทำให้คนไม่รู้ศัพท์
ไม่รู้แกรมม่า สอบตกอังกฤษตลอดเก่งขึ้นมาได้ เพราะ อ.แท้ๆ แต่คนเรียนก็ต้องตั้งใจไป
ทุกวัน เพื่อนผมที่สมัครเรียนพร้อมๆ กัน แล้วก็เป็นเด็กเก่งที่เรียนบดินทรด้วยกันด้วย ไปแค่
ไม่ถึง 10 ครั้งก็เลิกไปหมด เหลือผมที่เป็นเด็กอยู่ห้องบ๊วยที่อุตสาหะไปทุกวัน เพราะช่วงนั้นรู้สึก
หมดอาลัยตายอยากในชีวิตการเรียน แต่เป็นคนชอบจดตามที่ครูพูด (แต่กลับบ้านอ่านการ์ตูนเล่นเกม)
อะไรที่ครูพูดคือเราชอบจดการสอนแบบซ้ำไปซ้ำมาของสงวน จึงทำให้เด็กชอบจดดะแบบผมพลิก
จากหน้ามือเป็นหลังมือ
แต่สุดท้ายคนที่เรียนเต็มห้อง เพราะพ่อแม่อาจจะบอกให้มาเรียนเพราะความดังในอดีต ก็เหลือเพียงแค่
3-4 คนในห้อง ซึ่งมาจากการสอนปัจจุบันที่เน้นความสนุกสนาน กับคนนิยมเรียนกับเจ้าของภาษา
ผมจึงคิดว่าอีกหน่อยโรงเรียนก็คงต้องปิดตัวไปตามยุคสมัย แต่สิ่งที่ผมได้มา ผมก็อยากจะ
เอามาสอนต่อไป ในสไตล์ที่ถ้าจดตามไปเรื่อยๆ คือถึงแม้คุณจะไม่เก่งแต่ในที่สุดคุณก็จะเก่งได้
และเนื่องจากมันต้องจดทุกๆ วัน การลงใน youtube ก็เหมาะสมดี เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
แบบผม ที่ต้องนั่งรถจากบดินทร ลาดพร้าว 112 ไปที่เรียนที่แถวโรงแรมมารวยตรง ม.เกษตร ทุกวันหลัง
เลิกเรียน ตัวผมเอง ผมไม่คิดสอนพิเศษอีกแล้ว (ซึ่งก็ทำให้อารมณ์ชั่ววูบใส่ชื่อ ณภัทร ครูสอนอังกฤษ ในชื่อ pantip)
เพราะ
1) การสอนของผมไม่เหมาะกับการสอนพิเศษทั่วไป ที่เรียนสัปดาห์ล่ะครั้ง คือศัพท์มันเยอะมาก
2) ผมไม่ได้เป็นคนชอบการสอนหนังสือเท่าไหร่ สกิลผมจริงๆ คือวาดรูปการ์ตูนแนว comic ญี่ปุ่น
(ซึ่งตั้งเว็บชื่อ nedkun ไว้ด้วยแต่ลืมต่ออายุ domain ก็เลยเพิ่งต่อไปเมื่อวันก่อนจะ search เจออีกทีน่าจะอีกเดือนนึงครับ)
ปัจจุบัน ปัญหาภาษาอังกฤษสำหรับในไทยถือว่าเป็นปัญหาโลกแตก ผมฟังจากรายการ อ.วีระ ธีรภัทร แกก็พูดว่า
ภาษาอังกฤษของเด็กสมัยนี้แย่กว่าสมัยแกมากๆ ทั้งๆ ที่สมัยนี้ช่องทางให้เข้าถึงเยอะมาก โรงเรียนสอนก็มีมากมาย
ฝรั่งเจ้าของภาษาก็มาสอนเยอะ รัฐบาล กระทรวงศึกษาก็ตื่นตัว คนก็ใช้อินเตอร์เน็ตเยอะ แต่ทำไมภาษาอังกฤษสำหรับ
ประเทศไทยถึงไม่ได้พัฒนาสักที
เข้ามาสอบถามหาข้อมูลแต่กลับอารัมภบทนอกเรื่องไปยาวเลยครับ
เพียงแต่ผมก็ลงใน pantip มาหลายครั้งแล้ว ถูกตั้งคำถามมาก็เยอะ ผมจึงอยากพูดอธิบายความ
ให้เคลียร์ๆ ไปเลย จะได้รู้ที่มาที่ไปด้วยว่า ไปๆ มาๆ ทำไมผมมาเลี้ยงลูกแบบ bilingual แล้วไม่ได้
ไปทำงานทำการ ซึ่งผมเชื่อว่ามันดีกับเด็กมากๆ ที่พ่อแม่สามารถให้เวลาลูกแบบเต็มเวลาได้
ถัดมาคือ ข้อเสีย คือคุณจะต้องเสียโอกาสไปทำงานได้เงินเข้าบ้านเป็นหมื่นๆ
ถ้าอยากได้ภาษาจริงๆ น่าจะเอาเวลาไปทำงานแล้วเอาเงินส่งลูกเรียนอินเตอร์ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ?
ที่จริงแล้วนั้น ผมก็ไม่ได้อยากให้ลูกได้ภาษาอังกฤษมากมายขนาดนั้นครับ แต่ที่ผมต้องการคือเวลา
ที่สามารถให้ลูกได้เต็มที่ในวัยก่อนเข้าเรียน ตั้งแต่เกิดถึง 3 หรือ 4 ขวบครับ ส่วนการพูดกับลูก
เป็นภาษาอังกฤษคือสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำ เพราะเรามีความรู้ และเด็กก็สามารถเป็น bilingual ได้ถ้า
พ่อหรือแม่คุยกับเขาเป็นภาษาอังกฤษล้วนครับ ถ้าเรามีความรู้ แต่เราไม่ใช้มัน ก็เป็นอะไรที่น่าเสียดาย
และเสียโอกาสมากๆ ครับ
ขออธิบายต่อในสถานการณ์ปัจจุบันครับ
สำหรับการมีลูกสองคน บางครั้งพ่อหรือแม่คนเดียวก็มีเวลาให้กับทั้งสองคนได้ไม่เต็มที่ครับ
ผมมีลูกสองคนเพราะผมอยากให้ลูกชายมีเพื่อนเล่น เหตุผลมีเท่านั้นเองครับซึ่งก็ได้ผลตามนั้นจริงๆ
แต่ว่า ผมฝึกลูกชายมาตั้งแต่ต้น พูดภาษาอังกฤษล้วนๆ ศัพท์ toefl นี้ผมให้แบบจัดเต็มครับ
คือพูดเนียนๆ ไป ตามธรรมชาติ ไม่ต้องมาคิดว่ามันเป็นศัพท์สูงศัพท์ต่ำอะไร ผลก็คือเด็กก็ใช้ตามพ่อครับ
การออกเสียง จุดที่ต้อง accent เรื่องนี้ผมเป๊ะครับ อ.สงวน แกสอนตรงนี้ด้วย แต่ว่าไม่ได้เน้นอะไร มี
ผมที่ชอบจดดะไปหมด จดเก็บไว้ทั้งหมด มันก็ถ่ายทอดเข้าหัวมาด้วย ดังนั้นผมจึงมั่นใจใน project
สอนลูกแบบ bilingual มากๆ แต่ถามว่า ลูกชายเขาจะพูดได้เหมือนเด็กอินเตอร์ เด็กฝรั่งตามธรรมาชาติไหม
ผมว่าเขาต้องไปปรับตัวอีกครับ ต้องไปใช้ชีวิตกับเด็กฝรั่งจริงๆ ซึ่งก็คงไม่ต้องปรับหนักหนาสาหัสอะไร
เพราะในหัวเขามีหมดแล้ว เหลือแต่การใช้งานตามธรรมชาติ ซึ่งตัวพ่อมันก็คงไม่ได้ธรรมชาติอยู่แล้ว
เพราะชีวิตนี้ไม่เคยมีญาติ มีเพื่อนเป็นฝรั่งครับ ในหัวก็คงมีแต่หนัง sountrack ซับไทย ที่อยู่ในหัว
เอามาใช้เท่าที่จำๆ ได้
ส่วนคนที่สอง ลูกสาวนั้น แกได้ใช้เวลากับแม่ไปเต็มๆ ครับ ซึ่งก็หมายความว่า ลูกสาวน่าจะ
ตามหลังพี่ชายเยอะมากๆ อยู่ คือผมดูจากเวลาผมอ่านนิทานภาษาอังกฤษยากๆ
เป็นวรรณกรรมระดับมัธยมหรือมหาวิทยาลัยลูกชายผมดูรู้เรื่องหมด ใจจดใจจ่อ ติดตามได้เข้าใจ
แต่พอมาเป็นคนเล็ก ตอนนี้อ่านหนังสือนิทานวัยอนุบาลทั่วๆ ไป ยังดูไม่ค่อยสนใจ ไม่จดจ่อเลย
แต่เวลาผมพูดกับเขาทั่วไปในชีวิตประจำวันก็ดูเหมือนเขาเข้าใจรู้เรื่องนะครับ มีตอบเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น
ดังนั้นโดยสรุป ผมอยากให้ทั้งสองคนนี้ ได้ไปสัมผัสชีวิตกับฝรั่งจริงๆ จัง โดยที่มี
พ่อหรือแม่ดูแลด้วย พูดมาถึงตรงนี้ ทำไมถึงไม่คิดส่งลูกเข้าอินเตอร์ไปเลยล่ะ? ผมก็ยังรู้สึกว่า
โรงเรียนอินเตอร์ดีๆ มันแพงจนเอี้อมไม่ถึงเลยครับ ตามที่ผมเท้าความไป ถึงผมจะเก่งภาษาอังกฤษขึ้นมา
โดยเรียกได้ว่ามหัศจรรย์เลย แต่วิชาอื่นๆ ผมก็ยังบ๊วยนะครับ ดังนั้นเกรดที่จบออกมาจาก ม.ศรีนครินทรวิโรฒ
เอก เศรษฐศาสตร์ของผมจึงเรียกได้ว่า ห่วยติดดินอยู่ดี ดังนั้นคนแบบผมทำงานจริงๆ เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ได้
สูงเท่าฟ้าเหมือนเพื่อนๆ ที่จบเกรดดีๆ วุฒิสวยๆ แน่นอนครับ ปัจจุบันผมเลือกเรียนที่ สองภาษาลาดพร้าว
เป็น bilingual school ครับ
ที่ผมเลือกโรงเรียนนี้เพราะเป็นความชอบส่วนตัวจริงๆ คือรู้สึกว่า โรงเรียนมีความใกล้ชิดกับ
โรงพยาบาลลาดพร้าว ที่เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน ดังนั้นการบริหารจัดการจึงไม่เหมือนโรงเรียน
ซึ่งผมชอบครับ เพราะส่วนตัวมีความอคติกับโรงเรียนแบบที่เป็นโรงเรียนจริงๆ เพราะคนไม่เรียนไม่เก่ง
อะไรๆ ในชีวิตในรั้วโรงเรียนก็พาลห่วยไปหมดครับ แล้วผมเก่งอังกฤษจากโรงเรียนพิเศษ ในขณะที่
โรงเรียนผม (บดินทร) ถ้าอยู่แค่ตรงนั้นผมไม่มีวันเก่งจากที่นั้นได้ ซึ่งตรงกันข้ามนะครับ ถ้าคุณเป็นเด็ก
เก่งอยู่แล้ว ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเก่งๆๆ มากขึ้นไปอีก ระบบการศึกษาไทยจึงแย่ที่ตรงนี้ ตรงที่
"คุณต้องเป็นเด็กเก่งหัวดี คุณถึงจะเก่งไปถึงสุดยอดได้ในระบบการศึกษาไทย"
แต่เท่าที่ผมดูข่าวจากเมืองนอก ประเทศที่ระบบการศึกษาดี คือนักเรียนทุกๆ คนไม่ว่าจะเก่งหรือไม่
จะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ให้เก่งขึ้นมาได้แบบทั่วถึง ไม่มีการที่ว่าเด็กคนไหนจะถูกทิ้งขว้างจนต้อง
หมดอนาคตครับ เช่น ถ้าปรากฎว่า คุณไม่เข้าใจเลขตรงนี้ คุณครูก็จะเข้ามาประกบคุณ พร้อมกับมีวิธีการ
สอนให้เข้าใจแบบสร้างสรรค์ จนคุณสามารถเข้าใจได้ในอีกวิธีซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากเด็กคนอื่นๆ แต่
สุดท้ายก็ได้ความรู้เท่าๆ กัน ซึ่งผมดูคลิปอันหนึ่งจากการสอนของฟินแลนด์ใน youtube ครับ
ผมของการเรียนในโรงเรียน bilingual ที่จริง ก็ไม่ได้อะไรมากในเรื่องภาษาครับ แม้ว่า teacher จะเป็น
ครู native เพราะว่าเพื่อนๆ ทั้งหมดก็เป็นเด็กไทย ดังนั้น ลูกชายผมเก่งภาษาไทยขึ้นมากครับ (555)
ดังนั้นผมจึงหวังเรื่องพัฒนาการทั่วๆ ไป มากกว่าเนื่องจากเป็นโรงเรียนของโรงพยาบาลลาดพร้าว ก็น่าจะ
มีหมอที่เป็นผู้บริหารลงมาดูตรงนี้ให้ด้วยอีกทีนึงครับ ส่วนโรงเรียนอินเตอร์นั้น คงได้แต่ฝัน เพราะระดับนั้น
พ่อแม่ต้องเป็นลูกจ้างระดับคลาส A ไม่ก็เป็นเจ้าของกิจการรวยๆ ถึงจะไปอยู่อินเตอร์ดีๆ ได้
แต่โดยลึกๆ ผมชอบแนวสังคมเด็กไทยๆ ครับ โดยเฉพาะถ้าเป็น family ดีๆ คือเด็กไทยๆ จะน่ารัก
มากๆ ส่วนเรื่องระบบการศึกษาจากกระทรวงที่ว่ากันว่าห่วย ว่ากันว่าถูกจัดอันดับอยู่กลางๆ ไปท้ายๆ ของโลก
อันนี้ผมก็ต้องลงมาดูอย่างใกล้ชิดครับ กับหาเสริมเอา ผมให้ลูกชายเรียน CMA ลูกคิดสองมือ จะได้ดู
ทัดเทียมกับเด็กสิงคโปร์นิดนึงครับ เขาว่าๆ ที่นี่ดี (ไม่อธิบายล่ะครับ เดี๋ยวยาว) แล้วก็มีเด็กอินเตอร์กับเด็ก
สิงคโปร์มาเรียนด้วยครับ แต่ผมบอกเลยว่า อนาคตจะไปได้สักแค่ไหนไม่รู้ เพราะก็เหมือนโรงเรียน อ.สงวน
นั่นแหล่ะ ที่วิธีการเรียนไม่ตอบโจทย์ นักเรียนผู้ปกครองโรงเรียนทั่วๆ ไป ที่เป็นสายหลัก คือมันไม่ได้เรียนให้
เก่งเลข แต่มันเรียนแค่เหมือนกับฝึกกายบริหารสมองสองซีกเฉยๆ ผมพูดแค่นี้ก็แล้วกันครับ ดังนั้นถ้าไปเรียน
ที่อื่นที่เป็นติวเลขจริงๆ ก็คงจะเก่งเลขได้จริงๆ ในขณะที่ CMA เรียนเป็นปีๆ คุณอาจจะได้แค่บวก ลบ คูณ หาร
เท่านั้นเองเลย แต่เขาว่ากันว่า เด็กสงคโปร์ มาเลย์ ไต้หวัน ต้องเรียนตัวนี้เพื่อการพัฒนาศักยภาพของสมองครับ
แต่ก็อีก ผมดูรายจ่ายแล้ว ซึ่งก็ไม่ถูก แถมยังอาจจะเหมือนเสียเวลาด้วยซ้ำด้วยครับ ดังนั้น CMA จึงมี
คนมาเรียนไม่มาก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพวกเฉพาะกลุ่มจริงๆ ครับ
กลับมาสู้คำถามจริงๆ ถ้ารำคาญที่ต้องอ่านยืดยาวขนาดนี้ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
ปีหน้าผมกะว่าจะยังไม่ให้ลูกสาวเข้าเรียนที่สองภาษาลาดพร้าวตามพี่ชายครับ เพราะว่า
ผมอยากจะใช้เวลาอยู่กับลูกจริงๆ จังๆ เขาจะได้เป็น bilingual เหมือนกับพี่ชายครับ ส่วนคุณแม่เธอผมให้
เธอไปทำงาน ซึ่งจะเริ่มหางานหลังปีใหม่นี่แล้วครับ ดังนั้นผมก็จะมีเวลาให้ลูกสาวเต็มๆ บวกกับรับส่งลูกชาย
ไป 1 ปี ผมเชื่อว่าคงจะพลิกเกมกลับมาง่ายๆ ครับ เพราะจากที่ผมสัมผัสโดยตรง กับตามตำราที่เขาว่าไว้
เด็กผู้หญิงหัวจะไวเรื่องภาษา อันนี้ก็จริงครับ เพราะผมมีเวลาให้ลูกสาวน้อยมาก เธอติดแม่ แต่เธอก็จัดว่าฟังผม
รู้เรื่องโอเคเลย 1 ปีข้างหน้า ไม่แน่ เธออาจจะพลิกกลับมาชนะพี่ชายได้ก็เป็นได้
แต่ในปีถัดไปที่ลูกสาวจะเข้าโรงเรียน ผมมีแผนอยากจะให้ลูกได้ไปเรียนซัมเมอร์ในอเมริกาช่วง
ปิดเทอมยาวของแต่ละปีครับ โดยต้องมีพ่อหรือแม่ไปอยู่ด้วย หางานพิเศษเป็นเด็กเสิร์พในร้านอาหารไทย
แบบที่เขาว่าๆ กัน ถ้าผู้ใหญ่ไปหนึ่ง เด็กไปสองได้ก็ยิ่งดี หรือจะไปได้แค่ผู้ใหญ่หนึ่ง เด็กหนึ่งก็ได้ครับ
ให้พี่น้องผลัดกันไปคนล่ะปี ผมคิดเองเล่นๆ แบบไม่มีความรู้คือ เราจะสามารถทำงานพิเศษ cover ตรง
ค่าเรียน ค่ากินอยู่ ค่าเครื่องบิน ได้มากหน่อยก็ยิ่งดี แต่มันจะมีเรื่องกฏหมายห้าม visa ท่องเที่ยวทำงานอะไรพวกนั้น
ซึ่งถ้ามันเป็นสิ่งต้องห้ามจริงๆ ล่ะก็ฝันสลายแน่ๆ แต่ไอเดียนี้มันพอจะเป็นไปได้รึไม่ครับ ผมอยากได้ข้อมูล
ดีๆ ของท่านๆ (มีต่อ)
อยากให้ลูกกับแม่ไปอยู่อเมริกาช่วงซัมเมอร์ครับ แต่ฐานะไม่ได้รวยต้องทำยังไงบ้างครับ
ลูกชายคนโตอายุ 5 ขวบ อนุบาล 2 กำลังจะขึ้น 3
ลูกสาวคนเล็กอายุจะ 3 ขวบยังไม่ได้เข้าอนุบาลครับ (เธอเคยประสบอุบัติเหตุหนักเคยลงใน pantip ตอนนี้โอเคแล้วครับ)
ส่วนตัวผมใช้ log in มาหลายชื่อ ณภัทร ครูภาษาอังกฤษเป็น log in ที่ตั้งใจไว้ว่าตัวเองจะทำงานเป็นครูสอนอังกฤษ
แต่สุดท้ายคิดว่าตัวเองไม่ได้ใจรักในการเป็นครู เลยกำลังขอเปลี่ยนชื่อเป็นเน็ดคุงเหมือนเดิมอยู่ครับ (ซึ่งเอามาตั้งชื่อลูกชายคนโตด้วย)
แต่ project ที่เคยลงใน pantip ที่จะลง youtube แล้วสอนในสไตล์ให้คนไม่เก่งได้ที่โหล่ในห้อง
แต่เก่งภาษาอังกฤษได้ยังไงอันนี้ทำแน่นอนครับ (ผมคือคนนั้น) แต่ติดว่าตอนนี้กำลังย้ายบ้าน ผมไม่มีสมาธิ
ก็เลยพักไว้ก่อน แล้วก็ต้องคิดด้วยว่าจะสื่อสารยังไงให้คนเข้าใจครับ
ที่ต้องเท้าความขนาดนี้เพราะจะได้รู้ว่าผมไม่ได้มีอะไรปิดบังให้ชาว pantip ต้อง
search ดูชื่อย้อนดูประวัติให้มากมายครับ
ปัจจุบันยอมรับว่าเลี้ยงลูกมาแบบ full time ตั้งแต่เขาเกิดครับ ดังนั้น
ตังเก็บก็ร่อยหลอ ต้องขายสมบัติเก่ากิน ซึ่งที่จริงก็เคยตั้งกิจการเล็กๆ ระหว่างนั้น
ด้วยแต่ล้มเหลว หมดเงินหมดทองไปมากมาย ทำให้ project เลี้ยงลูกแบบเต็มเวลา
ข้อดีคือ ผมได้เลี้ยงลูกแบบภาษาอังกฤษเต็มที่ ได้ให้เวลาอยู่กับลูกเต็มที่ ซึ่งก็ทำให้
ภาษาผมพัฒนาขึ้นมาก เพราะปกติผมไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษพูดกับใคร ไม่ได้มีเพื่อน
หรือคนรู้จักเป็นฝรั่ง แต่ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบที่ทำให้มีคลังศัพท์ในสมองเยอะมาก
ประมาณว่า Toefl หรือ Toeic กลายเป็นง่ายไปเลย ต้องขอบคุณ อ.สงวน วงศ์สุชาต
อาจารย์ภาษาอังกฤษรุ่นปรมาจารย์ที่คนรุ่นเก่าๆ จะรู้จักเป็นอย่างดี ที่ทำให้คนไม่รู้ศัพท์
ไม่รู้แกรมม่า สอบตกอังกฤษตลอดเก่งขึ้นมาได้ เพราะ อ.แท้ๆ แต่คนเรียนก็ต้องตั้งใจไป
ทุกวัน เพื่อนผมที่สมัครเรียนพร้อมๆ กัน แล้วก็เป็นเด็กเก่งที่เรียนบดินทรด้วยกันด้วย ไปแค่
ไม่ถึง 10 ครั้งก็เลิกไปหมด เหลือผมที่เป็นเด็กอยู่ห้องบ๊วยที่อุตสาหะไปทุกวัน เพราะช่วงนั้นรู้สึก
หมดอาลัยตายอยากในชีวิตการเรียน แต่เป็นคนชอบจดตามที่ครูพูด (แต่กลับบ้านอ่านการ์ตูนเล่นเกม)
อะไรที่ครูพูดคือเราชอบจดการสอนแบบซ้ำไปซ้ำมาของสงวน จึงทำให้เด็กชอบจดดะแบบผมพลิก
จากหน้ามือเป็นหลังมือ
แต่สุดท้ายคนที่เรียนเต็มห้อง เพราะพ่อแม่อาจจะบอกให้มาเรียนเพราะความดังในอดีต ก็เหลือเพียงแค่
3-4 คนในห้อง ซึ่งมาจากการสอนปัจจุบันที่เน้นความสนุกสนาน กับคนนิยมเรียนกับเจ้าของภาษา
ผมจึงคิดว่าอีกหน่อยโรงเรียนก็คงต้องปิดตัวไปตามยุคสมัย แต่สิ่งที่ผมได้มา ผมก็อยากจะ
เอามาสอนต่อไป ในสไตล์ที่ถ้าจดตามไปเรื่อยๆ คือถึงแม้คุณจะไม่เก่งแต่ในที่สุดคุณก็จะเก่งได้
และเนื่องจากมันต้องจดทุกๆ วัน การลงใน youtube ก็เหมาะสมดี เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
แบบผม ที่ต้องนั่งรถจากบดินทร ลาดพร้าว 112 ไปที่เรียนที่แถวโรงแรมมารวยตรง ม.เกษตร ทุกวันหลัง
เลิกเรียน ตัวผมเอง ผมไม่คิดสอนพิเศษอีกแล้ว (ซึ่งก็ทำให้อารมณ์ชั่ววูบใส่ชื่อ ณภัทร ครูสอนอังกฤษ ในชื่อ pantip)
เพราะ
1) การสอนของผมไม่เหมาะกับการสอนพิเศษทั่วไป ที่เรียนสัปดาห์ล่ะครั้ง คือศัพท์มันเยอะมาก
2) ผมไม่ได้เป็นคนชอบการสอนหนังสือเท่าไหร่ สกิลผมจริงๆ คือวาดรูปการ์ตูนแนว comic ญี่ปุ่น
(ซึ่งตั้งเว็บชื่อ nedkun ไว้ด้วยแต่ลืมต่ออายุ domain ก็เลยเพิ่งต่อไปเมื่อวันก่อนจะ search เจออีกทีน่าจะอีกเดือนนึงครับ)
ปัจจุบัน ปัญหาภาษาอังกฤษสำหรับในไทยถือว่าเป็นปัญหาโลกแตก ผมฟังจากรายการ อ.วีระ ธีรภัทร แกก็พูดว่า
ภาษาอังกฤษของเด็กสมัยนี้แย่กว่าสมัยแกมากๆ ทั้งๆ ที่สมัยนี้ช่องทางให้เข้าถึงเยอะมาก โรงเรียนสอนก็มีมากมาย
ฝรั่งเจ้าของภาษาก็มาสอนเยอะ รัฐบาล กระทรวงศึกษาก็ตื่นตัว คนก็ใช้อินเตอร์เน็ตเยอะ แต่ทำไมภาษาอังกฤษสำหรับ
ประเทศไทยถึงไม่ได้พัฒนาสักที
เข้ามาสอบถามหาข้อมูลแต่กลับอารัมภบทนอกเรื่องไปยาวเลยครับ
เพียงแต่ผมก็ลงใน pantip มาหลายครั้งแล้ว ถูกตั้งคำถามมาก็เยอะ ผมจึงอยากพูดอธิบายความ
ให้เคลียร์ๆ ไปเลย จะได้รู้ที่มาที่ไปด้วยว่า ไปๆ มาๆ ทำไมผมมาเลี้ยงลูกแบบ bilingual แล้วไม่ได้
ไปทำงานทำการ ซึ่งผมเชื่อว่ามันดีกับเด็กมากๆ ที่พ่อแม่สามารถให้เวลาลูกแบบเต็มเวลาได้
ถัดมาคือ ข้อเสีย คือคุณจะต้องเสียโอกาสไปทำงานได้เงินเข้าบ้านเป็นหมื่นๆ
ถ้าอยากได้ภาษาจริงๆ น่าจะเอาเวลาไปทำงานแล้วเอาเงินส่งลูกเรียนอินเตอร์ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ?
ที่จริงแล้วนั้น ผมก็ไม่ได้อยากให้ลูกได้ภาษาอังกฤษมากมายขนาดนั้นครับ แต่ที่ผมต้องการคือเวลา
ที่สามารถให้ลูกได้เต็มที่ในวัยก่อนเข้าเรียน ตั้งแต่เกิดถึง 3 หรือ 4 ขวบครับ ส่วนการพูดกับลูก
เป็นภาษาอังกฤษคือสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำ เพราะเรามีความรู้ และเด็กก็สามารถเป็น bilingual ได้ถ้า
พ่อหรือแม่คุยกับเขาเป็นภาษาอังกฤษล้วนครับ ถ้าเรามีความรู้ แต่เราไม่ใช้มัน ก็เป็นอะไรที่น่าเสียดาย
และเสียโอกาสมากๆ ครับ
ขออธิบายต่อในสถานการณ์ปัจจุบันครับ
สำหรับการมีลูกสองคน บางครั้งพ่อหรือแม่คนเดียวก็มีเวลาให้กับทั้งสองคนได้ไม่เต็มที่ครับ
ผมมีลูกสองคนเพราะผมอยากให้ลูกชายมีเพื่อนเล่น เหตุผลมีเท่านั้นเองครับซึ่งก็ได้ผลตามนั้นจริงๆ
แต่ว่า ผมฝึกลูกชายมาตั้งแต่ต้น พูดภาษาอังกฤษล้วนๆ ศัพท์ toefl นี้ผมให้แบบจัดเต็มครับ
คือพูดเนียนๆ ไป ตามธรรมชาติ ไม่ต้องมาคิดว่ามันเป็นศัพท์สูงศัพท์ต่ำอะไร ผลก็คือเด็กก็ใช้ตามพ่อครับ
การออกเสียง จุดที่ต้อง accent เรื่องนี้ผมเป๊ะครับ อ.สงวน แกสอนตรงนี้ด้วย แต่ว่าไม่ได้เน้นอะไร มี
ผมที่ชอบจดดะไปหมด จดเก็บไว้ทั้งหมด มันก็ถ่ายทอดเข้าหัวมาด้วย ดังนั้นผมจึงมั่นใจใน project
สอนลูกแบบ bilingual มากๆ แต่ถามว่า ลูกชายเขาจะพูดได้เหมือนเด็กอินเตอร์ เด็กฝรั่งตามธรรมาชาติไหม
ผมว่าเขาต้องไปปรับตัวอีกครับ ต้องไปใช้ชีวิตกับเด็กฝรั่งจริงๆ ซึ่งก็คงไม่ต้องปรับหนักหนาสาหัสอะไร
เพราะในหัวเขามีหมดแล้ว เหลือแต่การใช้งานตามธรรมชาติ ซึ่งตัวพ่อมันก็คงไม่ได้ธรรมชาติอยู่แล้ว
เพราะชีวิตนี้ไม่เคยมีญาติ มีเพื่อนเป็นฝรั่งครับ ในหัวก็คงมีแต่หนัง sountrack ซับไทย ที่อยู่ในหัว
เอามาใช้เท่าที่จำๆ ได้
ส่วนคนที่สอง ลูกสาวนั้น แกได้ใช้เวลากับแม่ไปเต็มๆ ครับ ซึ่งก็หมายความว่า ลูกสาวน่าจะ
ตามหลังพี่ชายเยอะมากๆ อยู่ คือผมดูจากเวลาผมอ่านนิทานภาษาอังกฤษยากๆ
เป็นวรรณกรรมระดับมัธยมหรือมหาวิทยาลัยลูกชายผมดูรู้เรื่องหมด ใจจดใจจ่อ ติดตามได้เข้าใจ
แต่พอมาเป็นคนเล็ก ตอนนี้อ่านหนังสือนิทานวัยอนุบาลทั่วๆ ไป ยังดูไม่ค่อยสนใจ ไม่จดจ่อเลย
แต่เวลาผมพูดกับเขาทั่วไปในชีวิตประจำวันก็ดูเหมือนเขาเข้าใจรู้เรื่องนะครับ มีตอบเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น
ดังนั้นโดยสรุป ผมอยากให้ทั้งสองคนนี้ ได้ไปสัมผัสชีวิตกับฝรั่งจริงๆ จัง โดยที่มี
พ่อหรือแม่ดูแลด้วย พูดมาถึงตรงนี้ ทำไมถึงไม่คิดส่งลูกเข้าอินเตอร์ไปเลยล่ะ? ผมก็ยังรู้สึกว่า
โรงเรียนอินเตอร์ดีๆ มันแพงจนเอี้อมไม่ถึงเลยครับ ตามที่ผมเท้าความไป ถึงผมจะเก่งภาษาอังกฤษขึ้นมา
โดยเรียกได้ว่ามหัศจรรย์เลย แต่วิชาอื่นๆ ผมก็ยังบ๊วยนะครับ ดังนั้นเกรดที่จบออกมาจาก ม.ศรีนครินทรวิโรฒ
เอก เศรษฐศาสตร์ของผมจึงเรียกได้ว่า ห่วยติดดินอยู่ดี ดังนั้นคนแบบผมทำงานจริงๆ เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ได้
สูงเท่าฟ้าเหมือนเพื่อนๆ ที่จบเกรดดีๆ วุฒิสวยๆ แน่นอนครับ ปัจจุบันผมเลือกเรียนที่ สองภาษาลาดพร้าว
เป็น bilingual school ครับ
ที่ผมเลือกโรงเรียนนี้เพราะเป็นความชอบส่วนตัวจริงๆ คือรู้สึกว่า โรงเรียนมีความใกล้ชิดกับ
โรงพยาบาลลาดพร้าว ที่เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน ดังนั้นการบริหารจัดการจึงไม่เหมือนโรงเรียน
ซึ่งผมชอบครับ เพราะส่วนตัวมีความอคติกับโรงเรียนแบบที่เป็นโรงเรียนจริงๆ เพราะคนไม่เรียนไม่เก่ง
อะไรๆ ในชีวิตในรั้วโรงเรียนก็พาลห่วยไปหมดครับ แล้วผมเก่งอังกฤษจากโรงเรียนพิเศษ ในขณะที่
โรงเรียนผม (บดินทร) ถ้าอยู่แค่ตรงนั้นผมไม่มีวันเก่งจากที่นั้นได้ ซึ่งตรงกันข้ามนะครับ ถ้าคุณเป็นเด็ก
เก่งอยู่แล้ว ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเก่งๆๆ มากขึ้นไปอีก ระบบการศึกษาไทยจึงแย่ที่ตรงนี้ ตรงที่
"คุณต้องเป็นเด็กเก่งหัวดี คุณถึงจะเก่งไปถึงสุดยอดได้ในระบบการศึกษาไทย"
แต่เท่าที่ผมดูข่าวจากเมืองนอก ประเทศที่ระบบการศึกษาดี คือนักเรียนทุกๆ คนไม่ว่าจะเก่งหรือไม่
จะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ให้เก่งขึ้นมาได้แบบทั่วถึง ไม่มีการที่ว่าเด็กคนไหนจะถูกทิ้งขว้างจนต้อง
หมดอนาคตครับ เช่น ถ้าปรากฎว่า คุณไม่เข้าใจเลขตรงนี้ คุณครูก็จะเข้ามาประกบคุณ พร้อมกับมีวิธีการ
สอนให้เข้าใจแบบสร้างสรรค์ จนคุณสามารถเข้าใจได้ในอีกวิธีซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากเด็กคนอื่นๆ แต่
สุดท้ายก็ได้ความรู้เท่าๆ กัน ซึ่งผมดูคลิปอันหนึ่งจากการสอนของฟินแลนด์ใน youtube ครับ
ผมของการเรียนในโรงเรียน bilingual ที่จริง ก็ไม่ได้อะไรมากในเรื่องภาษาครับ แม้ว่า teacher จะเป็น
ครู native เพราะว่าเพื่อนๆ ทั้งหมดก็เป็นเด็กไทย ดังนั้น ลูกชายผมเก่งภาษาไทยขึ้นมากครับ (555)
ดังนั้นผมจึงหวังเรื่องพัฒนาการทั่วๆ ไป มากกว่าเนื่องจากเป็นโรงเรียนของโรงพยาบาลลาดพร้าว ก็น่าจะ
มีหมอที่เป็นผู้บริหารลงมาดูตรงนี้ให้ด้วยอีกทีนึงครับ ส่วนโรงเรียนอินเตอร์นั้น คงได้แต่ฝัน เพราะระดับนั้น
พ่อแม่ต้องเป็นลูกจ้างระดับคลาส A ไม่ก็เป็นเจ้าของกิจการรวยๆ ถึงจะไปอยู่อินเตอร์ดีๆ ได้
แต่โดยลึกๆ ผมชอบแนวสังคมเด็กไทยๆ ครับ โดยเฉพาะถ้าเป็น family ดีๆ คือเด็กไทยๆ จะน่ารัก
มากๆ ส่วนเรื่องระบบการศึกษาจากกระทรวงที่ว่ากันว่าห่วย ว่ากันว่าถูกจัดอันดับอยู่กลางๆ ไปท้ายๆ ของโลก
อันนี้ผมก็ต้องลงมาดูอย่างใกล้ชิดครับ กับหาเสริมเอา ผมให้ลูกชายเรียน CMA ลูกคิดสองมือ จะได้ดู
ทัดเทียมกับเด็กสิงคโปร์นิดนึงครับ เขาว่าๆ ที่นี่ดี (ไม่อธิบายล่ะครับ เดี๋ยวยาว) แล้วก็มีเด็กอินเตอร์กับเด็ก
สิงคโปร์มาเรียนด้วยครับ แต่ผมบอกเลยว่า อนาคตจะไปได้สักแค่ไหนไม่รู้ เพราะก็เหมือนโรงเรียน อ.สงวน
นั่นแหล่ะ ที่วิธีการเรียนไม่ตอบโจทย์ นักเรียนผู้ปกครองโรงเรียนทั่วๆ ไป ที่เป็นสายหลัก คือมันไม่ได้เรียนให้
เก่งเลข แต่มันเรียนแค่เหมือนกับฝึกกายบริหารสมองสองซีกเฉยๆ ผมพูดแค่นี้ก็แล้วกันครับ ดังนั้นถ้าไปเรียน
ที่อื่นที่เป็นติวเลขจริงๆ ก็คงจะเก่งเลขได้จริงๆ ในขณะที่ CMA เรียนเป็นปีๆ คุณอาจจะได้แค่บวก ลบ คูณ หาร
เท่านั้นเองเลย แต่เขาว่ากันว่า เด็กสงคโปร์ มาเลย์ ไต้หวัน ต้องเรียนตัวนี้เพื่อการพัฒนาศักยภาพของสมองครับ
แต่ก็อีก ผมดูรายจ่ายแล้ว ซึ่งก็ไม่ถูก แถมยังอาจจะเหมือนเสียเวลาด้วยซ้ำด้วยครับ ดังนั้น CMA จึงมี
คนมาเรียนไม่มาก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพวกเฉพาะกลุ่มจริงๆ ครับ
กลับมาสู้คำถามจริงๆ ถ้ารำคาญที่ต้องอ่านยืดยาวขนาดนี้ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
ปีหน้าผมกะว่าจะยังไม่ให้ลูกสาวเข้าเรียนที่สองภาษาลาดพร้าวตามพี่ชายครับ เพราะว่า
ผมอยากจะใช้เวลาอยู่กับลูกจริงๆ จังๆ เขาจะได้เป็น bilingual เหมือนกับพี่ชายครับ ส่วนคุณแม่เธอผมให้
เธอไปทำงาน ซึ่งจะเริ่มหางานหลังปีใหม่นี่แล้วครับ ดังนั้นผมก็จะมีเวลาให้ลูกสาวเต็มๆ บวกกับรับส่งลูกชาย
ไป 1 ปี ผมเชื่อว่าคงจะพลิกเกมกลับมาง่ายๆ ครับ เพราะจากที่ผมสัมผัสโดยตรง กับตามตำราที่เขาว่าไว้
เด็กผู้หญิงหัวจะไวเรื่องภาษา อันนี้ก็จริงครับ เพราะผมมีเวลาให้ลูกสาวน้อยมาก เธอติดแม่ แต่เธอก็จัดว่าฟังผม
รู้เรื่องโอเคเลย 1 ปีข้างหน้า ไม่แน่ เธออาจจะพลิกกลับมาชนะพี่ชายได้ก็เป็นได้
แต่ในปีถัดไปที่ลูกสาวจะเข้าโรงเรียน ผมมีแผนอยากจะให้ลูกได้ไปเรียนซัมเมอร์ในอเมริกาช่วง
ปิดเทอมยาวของแต่ละปีครับ โดยต้องมีพ่อหรือแม่ไปอยู่ด้วย หางานพิเศษเป็นเด็กเสิร์พในร้านอาหารไทย
แบบที่เขาว่าๆ กัน ถ้าผู้ใหญ่ไปหนึ่ง เด็กไปสองได้ก็ยิ่งดี หรือจะไปได้แค่ผู้ใหญ่หนึ่ง เด็กหนึ่งก็ได้ครับ
ให้พี่น้องผลัดกันไปคนล่ะปี ผมคิดเองเล่นๆ แบบไม่มีความรู้คือ เราจะสามารถทำงานพิเศษ cover ตรง
ค่าเรียน ค่ากินอยู่ ค่าเครื่องบิน ได้มากหน่อยก็ยิ่งดี แต่มันจะมีเรื่องกฏหมายห้าม visa ท่องเที่ยวทำงานอะไรพวกนั้น
ซึ่งถ้ามันเป็นสิ่งต้องห้ามจริงๆ ล่ะก็ฝันสลายแน่ๆ แต่ไอเดียนี้มันพอจะเป็นไปได้รึไม่ครับ ผมอยากได้ข้อมูล
ดีๆ ของท่านๆ (มีต่อ)