แค่อยากมาแชร์เรื่องราวในอดีตที่เจอมากับตัวมาเล่าให้ฟังครับ
ใกล้เข้ามาแล้วสินะ เทศกาลแห่งความสุขของใครหลายๆคน แต่เป็นเทศกาล "จี้ปม" สำหรับเรา เพราะเมื่อถึงเทศกาลปีใหม่เมื่อไหร่ ก็คงจะหนีไม่พ้นกิจกรรม "การจับของขวัญ" ซึ่งตัวเรานั้นไม่เคยจับของขวัญมานานหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะทำงานที่ไหนก็ตาม นั่นก็เป็นเพราะว่าเราเคยมีอดีตฝังใจที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับการจับของขวัญหลายครั้ง ก็ลองคิดดูสิว่า ถ้าเธอเคยเข้าร่วมการจับของขวัญ แล้วคนที่จับได้ของเธอนั้นไม่เอา เธอจะรู้สึกยังไง...
เหตุการณ์ฝังใจครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2550 ตอนนั้นเราอายุ 15 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 วันนั้นเพื่อนๆทุกคนก็จัดงานปีใหม่และเล่นจับของขวัญกันในห้อง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมวัยรุ่นยุคนั้นถึงได้มีกระแสซื้อ "น้ำอัดลมขวดใหญ่" มาจับของขวัญกัน คือสมมุติว่าคนในห้องมี 30 คน ก็ซื้อโค้กมาจับของขวัญกันแล้ว 27 คน ซึ่งวิธีห่อก็ง่ายมาก แค่ซื้อริบบิ้นมาผูกเป็นโบตรงคอขวด แล้วก็เอามาจับเลย ไม่มีการห่อกระดาษห่อของขวัญให้ต้องลุ้นอะไรทั้งนั้น และสมัยนั้นมีการตั้งงบจับของขวัญกันแค่ 20 บาท ของขวัญของเราก็คือการซื้อขนมห่อละ 5 บาท 4 ห่อ เอามาใส่กล่องกระดาษและห่อกระดาษห่อของขวัญอย่างสวยงาม แต่เมื่อเอาของขวัญไปหาเพื่อนๆที่โรงเรียน เพื่อนผู้ชายคนนึงเมื่อเห็นของขวัญของเราปุ๊บมันก็พูดว่า "เอ็งใส่อะไรมาจับของขวัญเนี่ย ถ้า Gu จับได้ของเอ็ง Gu ไม่เอานะ" แล้วเพื่อนๆทุกคนก็เห็นด้วยกับมันเกือบทั้งห้อง ตอนนั้นเรารู้สึกทั้งตกใจและเสียใจมาก แล้วมีเพื่อนผู้ชายอีกคนถือกล่องกระดาษห่อของขวัญกล่องเล็กๆ (เล็กมากๆเท่ากล่องสบู่ลักซ์) เดินเข้ามา เพื่อนๆในห้องกำลังจะพูดเหมือนกันกับที่พูดกับเรา ไอ้นั่นเลยรีบออกตัวเลยว่า "ข้าใส่ตังค์ร้อยนึง" (บ้านมันรวยไง) เพื่อนๆก็เลยดี๊ด๊ากันใหญ่ รีบดึงมันเข้าไปในวง ส่วนเราอ่ะเหรอ... น้ำตาไหล ร้องไห้วิ่งกลับบ้านทันทีจ้า
นับตั้งแต่นั้นมาเราก็ห่างหายจากการจับของขวัญมาตลอดๆทุกปีเลย ไม่ใช่ว่าเข็ดหรืออะไรหรอก แค่ทุกๆปีเราไม่ค่อยได้ไปไหน บางปีก็ว่างงาน หรือส่วนมากก็นอนอยู่บ้าน จนมาปีถึงปี 2555 คือปีที่เราทำงานอยู่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพ วันนั้นที่แผนกจัดงานจับของขวัญกัน ในแผนกเรามีคนอยู่ 4 คน ตั้งงบไว้ที่ 100 บาท จากนั้นก็มีเพื่อนร่วมงานแผนกต่างๆมาขอแจมด้วย รวมๆแล้วก็เกือบ 10 คน เมื่อถึงเวลาจับของขวัญ เราจับได้ของพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่คนละแผนก ส่วนคนที่จับได้ของเราก็คือ "หัวหน้าแผนกของเราเอง" หลังจากจับของขวัญกันเสร็จทุกคนก็แกะห่อของขวัญกันอย่างสนุกสนานและมีความสุข ตัดภาพมาที่หัวหน้าของเรา หลังจากที่แกแกะห่อของขวัญของเราแล้ว แกก็นิ่งไปพักนึง จนในที่สุดแกก็พูดขึ้นมาว่า "ติ๊ก... พี่ขอคืนอันนี้ให้ติ๊กนะ พี่ไม่ได้รังเกียจนะ แต่ที่บ้านพี่มีเยอะแล้ว......" อันนั้นที่แกว่าก็คือโคมไฟลายคิตตี้ เราซื้อมา 120 บาท ตอนนั้นเราก็ได้แค่ยิ้ม ไม่ได้ถามเหตุผลด้วยว่าทำไม แต่ในใจมันจุกแปลกๆเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ...
ถัดมา ปี 2556 ตอนนั้นเราทำงานอยู่เซเว่นในกรุงเทพ เมื่อใกล้จะถึงวันขึ้นปีใหม่ ตอนนั้นเราเพิ่งจะทำงานได้แค่ไม่กี่เดือนเอง หลังเงินเดือนออกไม่กี่วัน ตอนนั้นที่ทำงานก็จัดงานจับของขวัญขึ้นในคืนวันหนึ่ง โดยตั้งงบไว้ที่ 200 บาทขึ้นไป ตอนนั้นเราเข้าไปซื้อของในร้าน Gift Shop ในห้างแถวๆนั้น พอถึงเวลาจับของขวัญ เราจับได้ของน้องผู้ชายคนหนึ่ง เป็นตุ๊กตาหมูตัวใหญ่ (ยังเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้) ส่วนคนที่จับได้ของเราก็คือน้องผู้ชายอีกคนนึง ตอนนั้นหลังจากจับของขวัญกันเสร็จสรรพก็มีการถ่ายรูปหมู่และแยกย้ายกันไปทำงานต่อ เมื่อเราเข้าไปในร้าน ก็เห็นน้องคนนั้นถือกล่องของขวัญของเราอยู่ เมื่อน้องคนนั้นเห็นเรา ก็ทำหน้าตาไม่พอใจและพูดกับเราว่า "พี่ติ๊กใส่อะไรเนี่ย... แ-ง..." แล้วก็หันไปพูดกับเพื่อนว่า "แ-งซวย

จับได้ของพี่ติ๊ก" แล้วฮีก็เขย่าๆๆๆ ฟังเสียง แต่ไม่คิดที่จะแกะมันออกมาดูด้วยซ้ำ (ฮีคิดไปเองว่าต้องเป็นของราคาถูกแน่ๆ ในนั้นมันคือกระปุกออมสินรูปหมีใส่เสื้อผ้า อันละ 299 บาท ส่วนฮีใสแบรนด์ซุปไก่ เป็นแพ็คเล็กๆราคา 249 บาทส่วนตุ๊กตาหมูของน้องอีกคนนึงที่เราจับได้ ราคาตัวละ 199 บาท) ตอนนั้นลูกค้าที่อยู่ในเหตุการณ์ก็บอกฮีว่าทำไมไม่แกะดูก่อน แต่ฮีก็ไม่สนใจและยังไม่พอใจอยู่ สุดท้ายฮีก็ทิ้งของขวัญกล่องนั้นไว้ที่ทำงานโดยไม่คิดที่จะแกะมันออกมาดูด้วยซ้ำและไม่เอากลับบ้านด้วย สุดท้ายเราเลยต้องเอาของขวัญของตัวเองกลับบ้าน พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายจริงๆ... ในเมื่อมันเกิดขึ้นซ้ำๆหลายครั้งหลายครา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราจึงไม่เคยร่วมกิจกรรมจับของขวัญอีกเลย ไม่ว่าจะทำงานที่ไหนก็ตาม...
เพื่อนร่วมงานจับได้ของขวัญของเราแต่เค้าไม่เอา
ใกล้เข้ามาแล้วสินะ เทศกาลแห่งความสุขของใครหลายๆคน แต่เป็นเทศกาล "จี้ปม" สำหรับเรา เพราะเมื่อถึงเทศกาลปีใหม่เมื่อไหร่ ก็คงจะหนีไม่พ้นกิจกรรม "การจับของขวัญ" ซึ่งตัวเรานั้นไม่เคยจับของขวัญมานานหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะทำงานที่ไหนก็ตาม นั่นก็เป็นเพราะว่าเราเคยมีอดีตฝังใจที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับการจับของขวัญหลายครั้ง ก็ลองคิดดูสิว่า ถ้าเธอเคยเข้าร่วมการจับของขวัญ แล้วคนที่จับได้ของเธอนั้นไม่เอา เธอจะรู้สึกยังไง...
เหตุการณ์ฝังใจครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2550 ตอนนั้นเราอายุ 15 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 วันนั้นเพื่อนๆทุกคนก็จัดงานปีใหม่และเล่นจับของขวัญกันในห้อง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมวัยรุ่นยุคนั้นถึงได้มีกระแสซื้อ "น้ำอัดลมขวดใหญ่" มาจับของขวัญกัน คือสมมุติว่าคนในห้องมี 30 คน ก็ซื้อโค้กมาจับของขวัญกันแล้ว 27 คน ซึ่งวิธีห่อก็ง่ายมาก แค่ซื้อริบบิ้นมาผูกเป็นโบตรงคอขวด แล้วก็เอามาจับเลย ไม่มีการห่อกระดาษห่อของขวัญให้ต้องลุ้นอะไรทั้งนั้น และสมัยนั้นมีการตั้งงบจับของขวัญกันแค่ 20 บาท ของขวัญของเราก็คือการซื้อขนมห่อละ 5 บาท 4 ห่อ เอามาใส่กล่องกระดาษและห่อกระดาษห่อของขวัญอย่างสวยงาม แต่เมื่อเอาของขวัญไปหาเพื่อนๆที่โรงเรียน เพื่อนผู้ชายคนนึงเมื่อเห็นของขวัญของเราปุ๊บมันก็พูดว่า "เอ็งใส่อะไรมาจับของขวัญเนี่ย ถ้า Gu จับได้ของเอ็ง Gu ไม่เอานะ" แล้วเพื่อนๆทุกคนก็เห็นด้วยกับมันเกือบทั้งห้อง ตอนนั้นเรารู้สึกทั้งตกใจและเสียใจมาก แล้วมีเพื่อนผู้ชายอีกคนถือกล่องกระดาษห่อของขวัญกล่องเล็กๆ (เล็กมากๆเท่ากล่องสบู่ลักซ์) เดินเข้ามา เพื่อนๆในห้องกำลังจะพูดเหมือนกันกับที่พูดกับเรา ไอ้นั่นเลยรีบออกตัวเลยว่า "ข้าใส่ตังค์ร้อยนึง" (บ้านมันรวยไง) เพื่อนๆก็เลยดี๊ด๊ากันใหญ่ รีบดึงมันเข้าไปในวง ส่วนเราอ่ะเหรอ... น้ำตาไหล ร้องไห้วิ่งกลับบ้านทันทีจ้า
นับตั้งแต่นั้นมาเราก็ห่างหายจากการจับของขวัญมาตลอดๆทุกปีเลย ไม่ใช่ว่าเข็ดหรืออะไรหรอก แค่ทุกๆปีเราไม่ค่อยได้ไปไหน บางปีก็ว่างงาน หรือส่วนมากก็นอนอยู่บ้าน จนมาปีถึงปี 2555 คือปีที่เราทำงานอยู่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพ วันนั้นที่แผนกจัดงานจับของขวัญกัน ในแผนกเรามีคนอยู่ 4 คน ตั้งงบไว้ที่ 100 บาท จากนั้นก็มีเพื่อนร่วมงานแผนกต่างๆมาขอแจมด้วย รวมๆแล้วก็เกือบ 10 คน เมื่อถึงเวลาจับของขวัญ เราจับได้ของพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่คนละแผนก ส่วนคนที่จับได้ของเราก็คือ "หัวหน้าแผนกของเราเอง" หลังจากจับของขวัญกันเสร็จทุกคนก็แกะห่อของขวัญกันอย่างสนุกสนานและมีความสุข ตัดภาพมาที่หัวหน้าของเรา หลังจากที่แกแกะห่อของขวัญของเราแล้ว แกก็นิ่งไปพักนึง จนในที่สุดแกก็พูดขึ้นมาว่า "ติ๊ก... พี่ขอคืนอันนี้ให้ติ๊กนะ พี่ไม่ได้รังเกียจนะ แต่ที่บ้านพี่มีเยอะแล้ว......" อันนั้นที่แกว่าก็คือโคมไฟลายคิตตี้ เราซื้อมา 120 บาท ตอนนั้นเราก็ได้แค่ยิ้ม ไม่ได้ถามเหตุผลด้วยว่าทำไม แต่ในใจมันจุกแปลกๆเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ...
ถัดมา ปี 2556 ตอนนั้นเราทำงานอยู่เซเว่นในกรุงเทพ เมื่อใกล้จะถึงวันขึ้นปีใหม่ ตอนนั้นเราเพิ่งจะทำงานได้แค่ไม่กี่เดือนเอง หลังเงินเดือนออกไม่กี่วัน ตอนนั้นที่ทำงานก็จัดงานจับของขวัญขึ้นในคืนวันหนึ่ง โดยตั้งงบไว้ที่ 200 บาทขึ้นไป ตอนนั้นเราเข้าไปซื้อของในร้าน Gift Shop ในห้างแถวๆนั้น พอถึงเวลาจับของขวัญ เราจับได้ของน้องผู้ชายคนหนึ่ง เป็นตุ๊กตาหมูตัวใหญ่ (ยังเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้) ส่วนคนที่จับได้ของเราก็คือน้องผู้ชายอีกคนนึง ตอนนั้นหลังจากจับของขวัญกันเสร็จสรรพก็มีการถ่ายรูปหมู่และแยกย้ายกันไปทำงานต่อ เมื่อเราเข้าไปในร้าน ก็เห็นน้องคนนั้นถือกล่องของขวัญของเราอยู่ เมื่อน้องคนนั้นเห็นเรา ก็ทำหน้าตาไม่พอใจและพูดกับเราว่า "พี่ติ๊กใส่อะไรเนี่ย... แ-ง..." แล้วก็หันไปพูดกับเพื่อนว่า "แ-งซวย