บทที่ 6
ฟิลม์ติดรถสีทึบเข้ากับสีดำขลับของรถยนต์คันงามที่จอดหน้ารั้วของอาณาเขตกว้างในเวลาบ่ายที่แสงแดดทอดลงท่ามกลางท้องฟ้าไร้เมฆ
ใครที่อยู่ด้านนอกไม่สามารถมองเห็นผู้ที่อยู่ข้างในรถแต่อรดีเห็นหมดทุกคน…ทุกตน ทุกสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นอยากให้เธอเห็นหรือไม่ก็ตาม
สรรพสิ่งสรรพสัตว์…ต่างโน้มตัวลงทำความเคารพผู้ที่อยู่ในรถ
จะมีแค่สิ่งเดียว…ควันดำสูงใหญ่ที่กล้าจ้องตาแดงเขม็งอย่างไม่เกรงกลัวแม้ว่ารถสีดำเข้ามาจอดภายในบริเวณบ้านแล้ว
มือของผู้ทำหน้าที่ขับรถกุมพวงมาลัยแน่นสีหน้าตึงดุดัน ต่างจากหญิงสาวที่นั่งอยู่ตอนหลัง รอยยิ้มบางๆ ปรากฏมุมปากที่ได้รูปสวย
“เขาอนุญาตให้ข้ามาแต่กับเจ้า เขายังไม่รู้เรื่อง เจ้าจึงกล้ากระทำตนโอหังเช่นนี้”
เสียงหวีดร้องคล้ายคำเยาะเย้ยมาจากกลุ่มควันหากภายในรถไม่มีผู้ใดสะทกสะท้าน ต่างจากสรรพสิ่ง…สรรพสัตว์หลายตนที่อยู่ด้านที่นอกพลางหมอบตัวลงอย่างหวาดกลัว
“มันเข้ามาทำร้ายคนในบ้านพระเจ้าค่ะ”เสียงลั่นจากที่ใดสักแห่งฟ้อง
“ความชั่วของมันชักชวนความชั่วร้ายตนอื่นเข้ามาพระเจ้าค่ะ” อีกเสียงครางสายตาของหญิงชราในชุดห่มขาว ผมขาวเต็มศีรษะ มองไปทางเงาดำที่เริ่มก่อตัวหลังควันใหญ่
“ข้ารู้!”หญิงสาวที่นั่งหลังรถไม่ได้เอ่ยเป็นคำพูด ริมฝีปากสวยไม่ขยับ ใบหน้ายังคงนิ่งสนิท ดวงตาแวววาวด้วยความโกรธร่างระหงก้าวลงจากรถช้าๆ มองไปรอบๆ ก่อนจะแผดเสียงที่มีแค่เหล่าสรรพสิ่งได้ยิน“ด้วยอำนาจ บารมี และบุญกุศลของท้าวปรนิมมิตวสวัตตีผู้เป็นจอมเทพ ปกครองและครองทิพยสมบัติอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุดข้าขอตัดสินส่งพวกเจ้าไปยังภูมินรกเพื่อชดใช้กรรมที่เจ้าได้ก่อ อย่าได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป”
พลันบริเวณหน้าบ้านเก่าแก่ก็ปรากฏเป็นสีเพลิงควันแดงผสมควันดำลอยลิ่วเข้ามาราวพายุร้าย นำแรงลมซัดกลุ่มเงาดำที่ร้องโหยหวนไปจนหมดสิ้นเหลือเพียงควันดำสูงใหญ่ที่ยังคงยืนจ้องตาแดงเขม็งอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใดแม้แต่เสียงของอิสตรีผิวพรรณเปล่งปลั่งเนียนละเอียดที่แผดกล้า
“ด้วยอำนาจบารมี และบุญกุศลของท้าวปรนิมมิตวสวัตตีผู้เป็นจอมเทพ ปกครองและครองทิพยสมบัติอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุดข้าขอสั่งห้ามเจ้าทำอันตรายคนหรือสรรพสิ่งใดในบ้านหลังนี้ โดยที่ข้าหรือ…เขายังอยู่ที่นี่”
นี่คือสิ่งที่อรดีสามารถ…สั่งได้
อำนาจเท่านี้ก็มากมายยิ่งนัก
แต่อำนาจใดจะเท่ากับอำนาจของ…เขา เว้นแต่อำนาจและบารมีของท้าวปรนิมมิตวสวัตตีผู้เป็นจอมเทพเท่านั้น
“คุณอรดี”ภวัตทักดังลั่นก่อนจะเดินเข้ามาถึงร่างของหญิงสาวที่ยังยืนอยู่ข้างรถยนต์สีดำ
เขาเดินเข้ามาโดยไม่สามารถรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนหน้า
เหตุการณ์ที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเห็นหรือสามารถรับรู้ได้
แม้แต่ผู้ที่มีวิชาอาคมก็มิอาจเห็น
และผู้ที่มากบุญกุศลและบารมีก็ไม่ได้เห็น
คนอย่างภวัตไม่มีทั้งวิชาไม่มีบุญกุศลหรือบารมี มีแต่ความโลภ มีแต่ตัณหาที่ล้นหัวใจ เขาจึงเห็นในสิ่งที่อรดีอยากให้เห็นเท่านั้นนั่นคือตัวเธอ และรถยนต์สีดำ พร้อมคนขับที่โค้งคำนับเมื่อหญิงสาวก้าวนำผู้เป็น…เจ้าของบ้านไป
สิ่งที่มนุษย์เช่นภวัตไม่เห็นแต่สุนัขตัวน้อยกลับรับรู้ได้ มันเห่าดัง เพียงแต่ไม่ได้กระโชกเหมือนเช่นทุกครั้งที่มีคนแปลกหน้าล่วงล้ำเข้ามา
“เงียบ!”เสียงทรงอำนาจดังมาจากชานบ้านไม้สักที่ทรุดโทรมตามกาลเวลา
เสียงนี้ไม่เพียงทำให้เจ้าหมายน้อยนิ่งเงียบแต่พลอยทำให้หญิงสาวหยุดกึก เงยหน้ามอง
“เชิญ” นี่คือการต้อนรับที่มีมารยาที่สุดที่เขามีให้
ตุลย์นำแขกผู้มาเยือนและอาของเขาเข้าไปในบ้านสู่ห้องรับแขกขนาดกะทัดรัด มีหน้าต่างบานไม้ที่เปิดไว้รับแสงสว่างที่สาดส่องช่องหน้าต่างมีกระจกใสปิดแน่น เก็บความเย็นจากเครื่องระบายอากาศที่ถูกเปิด
ชุดรับแขกทำจากไม้สักแกะสลักเป็นรูปลวดลายประณีตที่นั่งบุด้วยเบาะหนานุ่ม มีหมอนเอาไว้ให้พิง
บนไม้นั่งยาวมีผู้หญิงวัยเลยกลางคนนั่งอยู่ร่างที่เคยท้วมมีน้ำมีนวล บัดนี้บอบบางจะซูบซีดอย่างเห็นได้ชัด
หญิงสาวผู้มาเยือนพนมมือไหว้แล้วนั่งบนเก้าอี้ว่างตรงข้ามเมื่อถูกเชื้อเชิญสายตาของเธอจับอยู่ที่ชายหนุ่มดวงตาเรียวคมสีอำพันเข้มที่มองเธออย่างไม่ไว้วางใจ
ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง!
“มีอะไรก็รีบๆคุย” น้ำเสียงกระแทก ไม่ปิดบังความไม่สบอารมณ์
“ตุลย์…” จงกลแตะเบาๆที่ต้นแขนของลูกเพื่อปราม
“มันเสียเวลานี่”เสียงยังแข็ง เจ้าตัวยังไม่เก็บอารมณ์เช่นเดิม ไม่สนการห้ามของผู้เป็นแม่“คนที่เข้ามาเพื่อแย่งของๆ คนอื่น ไม่ต้องพูดดีด้วยหรอก”
“ที่เขาพูดกันว่าคุณตุลย์ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมนี่ก็คงจริง”ผู้มาเยือนยิ้มอ่อนๆ สายตาที่มองเขาอ่อนโยนไม่ต่างจากรอยยิ้ม
“ไม่สนคนที่มีความคิดไม่ดีปรารถนาไม่ดีต่างหาก”
“ดิฉันมีความปรารถนาดีให้เทวนิรมิตเสมอที่เข้ามาก็เพื่อช่วยเหลือ” อรดีมองมารดาของเขาที่ยกน้ำเปล่าขึ้นมาจิบ
“ช่วยเหลือ หรือทำลายหรือฮุบ”
“ตุลย์!”เสียงของผู้เป็นแม่และอาของเขาประสานขึ้นพร้อมกัน
เพียงแต่ว่าผู้ที่โดนค่อนขอดมิได้ถือสาเธอหันตัวไปรับแก้วน้ำจากแม่บ้านที่ยกมา นิ้วเรียวแตะเบาๆ ที่ขอบแก้วเร็วและแนบเนียนโดยไม่มีใครสังเกตได้ แก้วนั้นถูกยื่นให้จงกลซึ่งรับไปดื่มแต่โดยดี
“เพื่อแสดงถึงความจริงใจของดิฉันดิฉันจึงขอเสนอกับคุณจงกลและคุณภวัตว่าให้แก้ไขข้อตกลงสัญญาผู้ถือหุ้นเรื่องอนุโลมยืดเวลาจากหกสิบเป็นร้อยยี่สิบวันเพื่อให้โอกาสคุณตุลย์สามารถซื้อหุ้นส่วนที่เป็นของคุณณัฐมน…ถ้าทำได้”
“มันไม่ดีหรอกคุ๊ณ”ภวัตรีบค้าน
“ดีสิคะต่อไปเราต้องทำงานด้วยกัน เริ่มต้นไม่ดี การทำงานมันก็จะไม่สะดวกใจ”
“ไม่ได้ร่วมหรอกถ้าผมหาเงินมาได้ก่อน”
“คุณยังไม่ได้บอกคุณตุลย์หรือคะ”ดวงหน้าสงบเยือกเย็นหันไปทางอาของคู่กรณี
“ยังแต่ก็คิดว่าน่าจะรู้แล้วเพราะทางทนายได้ส่งเอกสารไป”
“รู้อะไร”คิ้วขมวดตึง
“คณะกรรมการมีมติแต่งตั้งดิฉันและทีมเข้ามาบริหารเทวนิรมิต”
“ไม่อนุมัติ!”
“แต่ฉันและแม่แกจะมีมติยินยอมแกไม่ต้องยอมก็ช่าง เสียงข้างมากก็ชนะอยู่แล้ว”
“เทวนิรมิตไม่เคยมีมืออาชีพที่ผ่านมาก็ได้คุณเตชน์และคุณณัฐมนช่วยกันบริหารจัดการ ในเวลานี้และเพื่ออนาคตมันก็ดีต่อเทวนิรมิตและผู้ถือหุ้นที่จะมีคนมาช่วยบริหาร”เสียงของอีดีราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
“มืออาชีพหรือมือฉก”ปากที่ได้รูปสวยของชายหนุ่มไม่พอใจ
“ถ้าเป็นมือฉกจริงดิฉันคงไม่ให้เวลาคุณในการหาเงินมาซื้อหุ้น ดิฉันแสดงความจริงใจกับคุณต่างหาก”
คำพูดของหญิงสาวทำให้อีกฝ่ายคิดในหัวของตุลย์แล่นเร็ว ถ้าเกี่ยวกับงานความคิดของเขามักอยู่ไม่นิ่ง โอกาสความเสี่ยง ส่วนได้ส่วนเสีย ผลประโยชน์ และอีกสารพัดแง่มุม
“สัญญาบริหารปีต่อปีหากคุณสามารถหาเงินมาซื้อหุ้นที่เป็นของคุณณัฐมนได้ดิฉันก็ไม่มีเวลาจะก่อความเสียหายให้เทวนิรมิต เพราะในสัญญาการว่าจ้าง เปิดให้เทวนิรมิตสามารถเลิกจ้างดิฉันได้ตลอดเวลาไม่มีเงื่อนไข หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้น”
“ขอฟรีไม่มีในโลก”
“มันไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่มีการแลกเปลี่ยนค่ะดิฉันขอแค่ให้คุณอนุมัติให้ดิฉันเข้ามาบริหารเครือเทวนิรมิต” การบอกง่ายไม่ต่างจากคำ…ขอ
“กรรมการคนอื่นยอมผมคงไม่ต้องลงเสียงหรอก” ทว่าคู่กรณียังไม่ยอม…ง่ายๆ
“มันเป็นการเสริมสร้างกำลังใจในการทำงานและเพื่อที่ทุกคนในเทวนิรมิตจะยอมรับการเข้ามาทำงานของดิฉันและทีมดังนั้นเรื่องนี้ ดิฉันจึงเห็นว่าคุณสมควรอนุมติ เพื่อให้มติกรรมการเป็นเอกฉันท์ไปในทิศทางเดียวกัน”
อรดีมองคนที่นิ่งกอดอกจ้องเธอเขม็ง
การกอดอก…ปิดกั้น
การมอง…พิจารณา
อีกนานกว่าเขาจะเอ่ย“ขอดูเอกสารทั้งหมดก่อน”
(ต่อ)
เปลวพิศวาส (บทที่ 6) โดย มานัส
ฟิลม์ติดรถสีทึบเข้ากับสีดำขลับของรถยนต์คันงามที่จอดหน้ารั้วของอาณาเขตกว้างในเวลาบ่ายที่แสงแดดทอดลงท่ามกลางท้องฟ้าไร้เมฆ
ใครที่อยู่ด้านนอกไม่สามารถมองเห็นผู้ที่อยู่ข้างในรถแต่อรดีเห็นหมดทุกคน…ทุกตน ทุกสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นอยากให้เธอเห็นหรือไม่ก็ตาม
สรรพสิ่งสรรพสัตว์…ต่างโน้มตัวลงทำความเคารพผู้ที่อยู่ในรถ
จะมีแค่สิ่งเดียว…ควันดำสูงใหญ่ที่กล้าจ้องตาแดงเขม็งอย่างไม่เกรงกลัวแม้ว่ารถสีดำเข้ามาจอดภายในบริเวณบ้านแล้ว
มือของผู้ทำหน้าที่ขับรถกุมพวงมาลัยแน่นสีหน้าตึงดุดัน ต่างจากหญิงสาวที่นั่งอยู่ตอนหลัง รอยยิ้มบางๆ ปรากฏมุมปากที่ได้รูปสวย
“เขาอนุญาตให้ข้ามาแต่กับเจ้า เขายังไม่รู้เรื่อง เจ้าจึงกล้ากระทำตนโอหังเช่นนี้”
เสียงหวีดร้องคล้ายคำเยาะเย้ยมาจากกลุ่มควันหากภายในรถไม่มีผู้ใดสะทกสะท้าน ต่างจากสรรพสิ่ง…สรรพสัตว์หลายตนที่อยู่ด้านที่นอกพลางหมอบตัวลงอย่างหวาดกลัว
“มันเข้ามาทำร้ายคนในบ้านพระเจ้าค่ะ”เสียงลั่นจากที่ใดสักแห่งฟ้อง
“ความชั่วของมันชักชวนความชั่วร้ายตนอื่นเข้ามาพระเจ้าค่ะ” อีกเสียงครางสายตาของหญิงชราในชุดห่มขาว ผมขาวเต็มศีรษะ มองไปทางเงาดำที่เริ่มก่อตัวหลังควันใหญ่
“ข้ารู้!”หญิงสาวที่นั่งหลังรถไม่ได้เอ่ยเป็นคำพูด ริมฝีปากสวยไม่ขยับ ใบหน้ายังคงนิ่งสนิท ดวงตาแวววาวด้วยความโกรธร่างระหงก้าวลงจากรถช้าๆ มองไปรอบๆ ก่อนจะแผดเสียงที่มีแค่เหล่าสรรพสิ่งได้ยิน“ด้วยอำนาจ บารมี และบุญกุศลของท้าวปรนิมมิตวสวัตตีผู้เป็นจอมเทพ ปกครองและครองทิพยสมบัติอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุดข้าขอตัดสินส่งพวกเจ้าไปยังภูมินรกเพื่อชดใช้กรรมที่เจ้าได้ก่อ อย่าได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป”
พลันบริเวณหน้าบ้านเก่าแก่ก็ปรากฏเป็นสีเพลิงควันแดงผสมควันดำลอยลิ่วเข้ามาราวพายุร้าย นำแรงลมซัดกลุ่มเงาดำที่ร้องโหยหวนไปจนหมดสิ้นเหลือเพียงควันดำสูงใหญ่ที่ยังคงยืนจ้องตาแดงเขม็งอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใดแม้แต่เสียงของอิสตรีผิวพรรณเปล่งปลั่งเนียนละเอียดที่แผดกล้า
“ด้วยอำนาจบารมี และบุญกุศลของท้าวปรนิมมิตวสวัตตีผู้เป็นจอมเทพ ปกครองและครองทิพยสมบัติอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุดข้าขอสั่งห้ามเจ้าทำอันตรายคนหรือสรรพสิ่งใดในบ้านหลังนี้ โดยที่ข้าหรือ…เขายังอยู่ที่นี่”
นี่คือสิ่งที่อรดีสามารถ…สั่งได้
อำนาจเท่านี้ก็มากมายยิ่งนัก
แต่อำนาจใดจะเท่ากับอำนาจของ…เขา เว้นแต่อำนาจและบารมีของท้าวปรนิมมิตวสวัตตีผู้เป็นจอมเทพเท่านั้น
“คุณอรดี”ภวัตทักดังลั่นก่อนจะเดินเข้ามาถึงร่างของหญิงสาวที่ยังยืนอยู่ข้างรถยนต์สีดำ
เขาเดินเข้ามาโดยไม่สามารถรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนหน้า
เหตุการณ์ที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเห็นหรือสามารถรับรู้ได้
แม้แต่ผู้ที่มีวิชาอาคมก็มิอาจเห็น
และผู้ที่มากบุญกุศลและบารมีก็ไม่ได้เห็น
คนอย่างภวัตไม่มีทั้งวิชาไม่มีบุญกุศลหรือบารมี มีแต่ความโลภ มีแต่ตัณหาที่ล้นหัวใจ เขาจึงเห็นในสิ่งที่อรดีอยากให้เห็นเท่านั้นนั่นคือตัวเธอ และรถยนต์สีดำ พร้อมคนขับที่โค้งคำนับเมื่อหญิงสาวก้าวนำผู้เป็น…เจ้าของบ้านไป
สิ่งที่มนุษย์เช่นภวัตไม่เห็นแต่สุนัขตัวน้อยกลับรับรู้ได้ มันเห่าดัง เพียงแต่ไม่ได้กระโชกเหมือนเช่นทุกครั้งที่มีคนแปลกหน้าล่วงล้ำเข้ามา
“เงียบ!”เสียงทรงอำนาจดังมาจากชานบ้านไม้สักที่ทรุดโทรมตามกาลเวลา
เสียงนี้ไม่เพียงทำให้เจ้าหมายน้อยนิ่งเงียบแต่พลอยทำให้หญิงสาวหยุดกึก เงยหน้ามอง
“เชิญ” นี่คือการต้อนรับที่มีมารยาที่สุดที่เขามีให้
ตุลย์นำแขกผู้มาเยือนและอาของเขาเข้าไปในบ้านสู่ห้องรับแขกขนาดกะทัดรัด มีหน้าต่างบานไม้ที่เปิดไว้รับแสงสว่างที่สาดส่องช่องหน้าต่างมีกระจกใสปิดแน่น เก็บความเย็นจากเครื่องระบายอากาศที่ถูกเปิด
ชุดรับแขกทำจากไม้สักแกะสลักเป็นรูปลวดลายประณีตที่นั่งบุด้วยเบาะหนานุ่ม มีหมอนเอาไว้ให้พิง
บนไม้นั่งยาวมีผู้หญิงวัยเลยกลางคนนั่งอยู่ร่างที่เคยท้วมมีน้ำมีนวล บัดนี้บอบบางจะซูบซีดอย่างเห็นได้ชัด
หญิงสาวผู้มาเยือนพนมมือไหว้แล้วนั่งบนเก้าอี้ว่างตรงข้ามเมื่อถูกเชื้อเชิญสายตาของเธอจับอยู่ที่ชายหนุ่มดวงตาเรียวคมสีอำพันเข้มที่มองเธออย่างไม่ไว้วางใจ
ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง!
“มีอะไรก็รีบๆคุย” น้ำเสียงกระแทก ไม่ปิดบังความไม่สบอารมณ์
“ตุลย์…” จงกลแตะเบาๆที่ต้นแขนของลูกเพื่อปราม
“มันเสียเวลานี่”เสียงยังแข็ง เจ้าตัวยังไม่เก็บอารมณ์เช่นเดิม ไม่สนการห้ามของผู้เป็นแม่“คนที่เข้ามาเพื่อแย่งของๆ คนอื่น ไม่ต้องพูดดีด้วยหรอก”
“ที่เขาพูดกันว่าคุณตุลย์ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมนี่ก็คงจริง”ผู้มาเยือนยิ้มอ่อนๆ สายตาที่มองเขาอ่อนโยนไม่ต่างจากรอยยิ้ม
“ไม่สนคนที่มีความคิดไม่ดีปรารถนาไม่ดีต่างหาก”
“ดิฉันมีความปรารถนาดีให้เทวนิรมิตเสมอที่เข้ามาก็เพื่อช่วยเหลือ” อรดีมองมารดาของเขาที่ยกน้ำเปล่าขึ้นมาจิบ
“ช่วยเหลือ หรือทำลายหรือฮุบ”
“ตุลย์!”เสียงของผู้เป็นแม่และอาของเขาประสานขึ้นพร้อมกัน
เพียงแต่ว่าผู้ที่โดนค่อนขอดมิได้ถือสาเธอหันตัวไปรับแก้วน้ำจากแม่บ้านที่ยกมา นิ้วเรียวแตะเบาๆ ที่ขอบแก้วเร็วและแนบเนียนโดยไม่มีใครสังเกตได้ แก้วนั้นถูกยื่นให้จงกลซึ่งรับไปดื่มแต่โดยดี
“เพื่อแสดงถึงความจริงใจของดิฉันดิฉันจึงขอเสนอกับคุณจงกลและคุณภวัตว่าให้แก้ไขข้อตกลงสัญญาผู้ถือหุ้นเรื่องอนุโลมยืดเวลาจากหกสิบเป็นร้อยยี่สิบวันเพื่อให้โอกาสคุณตุลย์สามารถซื้อหุ้นส่วนที่เป็นของคุณณัฐมน…ถ้าทำได้”
“มันไม่ดีหรอกคุ๊ณ”ภวัตรีบค้าน
“ดีสิคะต่อไปเราต้องทำงานด้วยกัน เริ่มต้นไม่ดี การทำงานมันก็จะไม่สะดวกใจ”
“ไม่ได้ร่วมหรอกถ้าผมหาเงินมาได้ก่อน”
“คุณยังไม่ได้บอกคุณตุลย์หรือคะ”ดวงหน้าสงบเยือกเย็นหันไปทางอาของคู่กรณี
“ยังแต่ก็คิดว่าน่าจะรู้แล้วเพราะทางทนายได้ส่งเอกสารไป”
“รู้อะไร”คิ้วขมวดตึง
“คณะกรรมการมีมติแต่งตั้งดิฉันและทีมเข้ามาบริหารเทวนิรมิต”
“ไม่อนุมัติ!”
“แต่ฉันและแม่แกจะมีมติยินยอมแกไม่ต้องยอมก็ช่าง เสียงข้างมากก็ชนะอยู่แล้ว”
“เทวนิรมิตไม่เคยมีมืออาชีพที่ผ่านมาก็ได้คุณเตชน์และคุณณัฐมนช่วยกันบริหารจัดการ ในเวลานี้และเพื่ออนาคตมันก็ดีต่อเทวนิรมิตและผู้ถือหุ้นที่จะมีคนมาช่วยบริหาร”เสียงของอีดีราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
“มืออาชีพหรือมือฉก”ปากที่ได้รูปสวยของชายหนุ่มไม่พอใจ
“ถ้าเป็นมือฉกจริงดิฉันคงไม่ให้เวลาคุณในการหาเงินมาซื้อหุ้น ดิฉันแสดงความจริงใจกับคุณต่างหาก”
คำพูดของหญิงสาวทำให้อีกฝ่ายคิดในหัวของตุลย์แล่นเร็ว ถ้าเกี่ยวกับงานความคิดของเขามักอยู่ไม่นิ่ง โอกาสความเสี่ยง ส่วนได้ส่วนเสีย ผลประโยชน์ และอีกสารพัดแง่มุม
“สัญญาบริหารปีต่อปีหากคุณสามารถหาเงินมาซื้อหุ้นที่เป็นของคุณณัฐมนได้ดิฉันก็ไม่มีเวลาจะก่อความเสียหายให้เทวนิรมิต เพราะในสัญญาการว่าจ้าง เปิดให้เทวนิรมิตสามารถเลิกจ้างดิฉันได้ตลอดเวลาไม่มีเงื่อนไข หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้น”
“ขอฟรีไม่มีในโลก”
“มันไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่มีการแลกเปลี่ยนค่ะดิฉันขอแค่ให้คุณอนุมัติให้ดิฉันเข้ามาบริหารเครือเทวนิรมิต” การบอกง่ายไม่ต่างจากคำ…ขอ
“กรรมการคนอื่นยอมผมคงไม่ต้องลงเสียงหรอก” ทว่าคู่กรณียังไม่ยอม…ง่ายๆ
“มันเป็นการเสริมสร้างกำลังใจในการทำงานและเพื่อที่ทุกคนในเทวนิรมิตจะยอมรับการเข้ามาทำงานของดิฉันและทีมดังนั้นเรื่องนี้ ดิฉันจึงเห็นว่าคุณสมควรอนุมติ เพื่อให้มติกรรมการเป็นเอกฉันท์ไปในทิศทางเดียวกัน”
อรดีมองคนที่นิ่งกอดอกจ้องเธอเขม็ง
การกอดอก…ปิดกั้น
การมอง…พิจารณา
อีกนานกว่าเขาจะเอ่ย“ขอดูเอกสารทั้งหมดก่อน”
(ต่อ)