บทความนี้เขียนดีจนต้องนำมาโพสต์ให้อ่านกันค่ะ...👇👇👇👇👇👇👌👌👌👌👌👌
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560 “นิด้าโพล” เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ผลงานที่ประทับใจและไม่ประทับใจในรอบปีที่ผ่านมาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”
ปรากฏว่า ผลงานที่ประทับใจที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 ร้อยละ 75.68 ระบุว่า การให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด
อันดับ 2 ร้อยละ 64.80 ระบุว่า การทวงคืนผืนป่าและการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน
และอันดับ 3 ร้อยละ 62.56 ระบุว่า การจัดระเบียบสังคม เช่น การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยบนพื้นที่ทางเท้า การจัดระเบียบรถตู้สาธารณะวินจักรยานยนต์รับจ้าง การจัดระเบียบชายหาด ตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่สาธารณะ
1. สำหรับโครงการให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด เป็นโครงการที่เริ่มดำเนินการโดยรัฐบาล คสช.
เรียกว่า เป็นผลงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เต็มตัว
ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงสนับสนุน และชื่นชมรัฐบาลที่ทำโครงการนี้
นับเป็นการส่งเสริมให้เด็กแรกเกิด อันเป็นช่วงวัยที่มีพัฒนาการสำคัญที่สุดของชีวิต ทั้งด้านสมอง ร่างกาย จิตวิญญาณ เพื่อได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพจากครอบครัว มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย และยังเป็นการช่วยเหลือครอบครัวของผู้มีรายได้น้อย ด้วยการมอบเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 400 บาทต่อเดือนระยะแรก และเพิ่มขึ้นเป็น 600 บาทต่อเดือนในปัจจุบัน
โดยช่วยเหลือต่อเนื่องไปจนกว่าเด็กจะอายุครบ 3 ปี
ในช่วงปีงบประมาณ 2559 (1 ต.ค. 2558 - 30 ก.ย. 2559) และปีงบประมาณ 2560 (1 ต.ค. 2559 - 30 ก.ย. 2560) รัฐบาลได้มอบเงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปแล้ว 394,803 ราย และได้มีการเปิดลงทะเบียนเด็กที่คาดว่าจะเกิดในปีงบประมาณ 2561 อย่างต่อเนื่องต่อไป
2. คุณสมบัติของครอบครัวที่จะได้รับเงินอุดหนุน คือ มีรายได้ต่ำกว่า 3,000 บาทต่อคนต่อเดือน
เป็นโครงการช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่มีเงินรั่วไหล เนื่องจากจ่ายตรงเข้าไปให้คุณแม่ของเด็ก
เงินงบประมาณทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป ก็จะเข้าไปสู่คนยากจนที่มีภาระต้องเลี้ยงดูเด็กเล็ก
การช่วยเฉพาะครอบครัวที่ยากจน ก็เพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ควรจะได้รับโอกาสขั้นต้นของชีวิตในการมีพัฒนาการที่เหมาะสม แม้จะเกิดในครอบครัวยากจนก็ไม่ควรจะเป็นอุปสรรค เพื่อชีวิตระยะต่อๆ ไป จะได้สามารถขวนขวาย เติบโต หาความรู้ ทำงาน สร้างอนาคตที่ดีแก่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติต่อไปได้
3. ขอสนับสนุนให้รัฐบาล คสช.เดินหน้า พัฒนาโครงการต่อไปให้เต็มรูปแบบ เพื่อคุณภาพที่ดีขึ้น
ไม่ต้องไปรอรัฐบาลนักการเมืองที่ไหน
ในรายงานข้อเสนอแนะการปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่เคยมีการนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีไว้นั้น ในวาระปฏิรูปที่ 29 : สวัสดิการสังคม ศึกษาโดยคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรีผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส ชุดที่มีนายอําพล จินดาวัฒนะ เป็นประธาน ระบุเนื้อหาสาระสะท้อนความสำคัญของการเลี้ยงดูเด็กในชั้นปฐมวัย
ระบุว่า พัฒนาการทางสมองโดยเฉพาะในช่วง 3 ขวบปีแรก มีความสําคัญมาก เนื่องจากมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการมาก หากให้ความสนใจ ให้โอกาสกับการเรียนรู้สร้างแรงจูงใจจากความสนใจขั้นพื้นฐาน ให้เด็กในช่วงวัย 0-3 ขวบนี้มีความสุขกับการเรียนรู้ เขาจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เราต้องการ และเป็นพื้นฐานที่อยู่ในสมองของเด็ก เมื่อเด็กเติบโตขึ้น เขาจะดึงเอาประสบการณ์ที่เรียนรู้ในสมัยเด็กมาใช้ประโยชน์ต่อไปได้
ช่วงเวลา 1,000 วันแรก ในชีวิตเด็ก นับตั้งแต่เป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดาจวบจนอายุครบ 3 ขวบ จึงเป็นช่วงเวลาที่สําคัญยิ่งยวดต่อสุขภาวะของเด็กในอนาคต การกระตุ้นการเรียนรู้ที่เหมาะสมตามวัยจะช่วยให้สมองพัฒนาได้เต็มศักยภาพ เปิดรับการเรียนรู้ได้ดีที่สุด เป็นช่วงจังหวะของการเรียนรู้ด้านพฤติกรรม การควบคุมอารมณ์การมองเห็น การได้ยิน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสําคัญที่ครอบครัวจะต้องเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่เหมาะสมให้ได้ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกิดทางเลือกที่เหมาะสมสําหรับทั้งแม่และทารก นอกจากนี้ การเข้าถึงโภชนาการที่ดีนับเป็นหัวใจสําคัญของการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันของเด็ก และความสามารถทางปัญญาที่จําเป็นยิ่งต่อกระบวนการเรียนรู้
ดังนั้น หากเด็กคนหนึ่งๆ ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและถูกต้องจะช่วยให้เด็กมีทักษะทางกายภาพ ความฉลาดทางสติปัญญา และความมั่นคงทางอารมณ์เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีประสบความสําเร็จในการศึกษาและอาชีพการงาน เป็นกําลังสําคัญของสังคมและเศรษฐกิจไทยในอนาคตต่อไป
กล่าวได้ว่า การลงทุนในช่วงชีวิตของเด็กเล็กนํามาสู่อัตราการคืนทุนที่สูงสุด เมื่อเทียบกับวัยอื่นๆ ทั้งหมด การพัฒนาเด็กในวัยนี้เป็นการลงทุนที่น้อยกว่าค่าใช้จ่ายในการตามแก้ไขปัญหาของสังคมที่เกิดขึ้น เพราะความไม่มีคุณภาพของประชากรในสังคม
ข้อมูลนี้ ตอกย้ำว่า การตัดสินใจขยายโครงการจนครอบคลุมอายุ 3 ปี เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด
ปริมาณเงินที่ใช้ เทียบกับผลที่ได้รับ น่าจะคุ้มค่า โดยมีหลักวิชาสนับสนุนหนักแน่น
ผลได้ทางเศรษฐกิจที่ตามมา คือ การช่วยลดภาระของครอบครัวเด็ก เติมกำลังซื้อเข้าไป เพราะเมื่อได้เงินเพิ่มมาอีกเป็นรายเดือน แม้จะไม่เพียงพอค่าเลี้ยงดูเด็กทั้งหมด แต่ก็ย่อมจะช่วยให้สามารถกันเงินรายได้ส่วนอื่นไปใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของครอบครัว กลายเป็นช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อช่วยคนยากจน อัตราหมุนของเงินก็จะรวดเร็ว
การพัฒนาโครงการ ควรเน้นไปที่การจัดสรรเงินที่เพียงพอ การเบิกจ่ายเงินให้ทันท่วงที ไม่ปล่อยให้มีการตกค้าง ล่าช้า และการเสริมความรู้เข้าไปที่กลุ่มคุณแม่ผู้มีรายได้น้อยที่เข้าโครงการ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก เสริมกิจกรรม เสริมคุณภาพการเลี้ยงดูเข้าไปสนับสนุนพัฒนาการของเด็ก
ส่วนจะขยายออกไปเป็นสิทธิสวัสดิการพื้นฐานแก่คนทั่วไป สำหรับคุณแม่ทุกคนเลยหรือไม่ ควรรอให้ฐานรายได้ของประเทศมีความมั่งคั่งกว่านี้ก่อน รอให้มีการจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดิน ฯลฯ ซึ่งคาดว่าอย่างเร็วจะเริ่มปี 2562 จะได้ไม่เป็นภาระงบประมาณเกินไป (งบประมาณส่วนรวมยังต้องใช้ดูแลผู้สูงวัยด้วย)
หรือหากรัฐบาลพรรคการเมืองไหนสนใจจะนำไปทำนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ก็ย่อมสามารถกระทำได้ โดยแสดงที่มาของเงิน จำนวนของเงิน ว่าสามารถดำเนินการได้อย่างไร
เอาจริงๆ พรรคการเมืองไหนมีนโยบายเรื่องนี้ต่อยอดต่อไป จะเป็นอีกเสียงที่เปิดใจให้เลย
สารส้ม
http://www.naewna.com/politic/columnist/33274
นโยบายลุงตู่จะมีใคร นักการเมืองพรรคใดสนใจทำต่อไหมน๊าา....
เพราะดีต่อใจคุณแม่...ใช่เลยค่ะ...👌👌👌👌👌
🌟~มาลาริน~งานนี้ฝีมือรัฐบาลลุงตู่ล้วนๆ..ไม่ต้องพึ่งความคิดใคร..ได้ใจคุณแม่ค่ะ 💗💗💗 รัฐให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด
บทความนี้เขียนดีจนต้องนำมาโพสต์ให้อ่านกันค่ะ...👇👇👇👇👇👇👌👌👌👌👌👌
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560 “นิด้าโพล” เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ผลงานที่ประทับใจและไม่ประทับใจในรอบปีที่ผ่านมาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”
ปรากฏว่า ผลงานที่ประทับใจที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 ร้อยละ 75.68 ระบุว่า การให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด
อันดับ 2 ร้อยละ 64.80 ระบุว่า การทวงคืนผืนป่าและการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน
และอันดับ 3 ร้อยละ 62.56 ระบุว่า การจัดระเบียบสังคม เช่น การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยบนพื้นที่ทางเท้า การจัดระเบียบรถตู้สาธารณะวินจักรยานยนต์รับจ้าง การจัดระเบียบชายหาด ตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่สาธารณะ
1. สำหรับโครงการให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด เป็นโครงการที่เริ่มดำเนินการโดยรัฐบาล คสช.
เรียกว่า เป็นผลงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เต็มตัว
ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงสนับสนุน และชื่นชมรัฐบาลที่ทำโครงการนี้
นับเป็นการส่งเสริมให้เด็กแรกเกิด อันเป็นช่วงวัยที่มีพัฒนาการสำคัญที่สุดของชีวิต ทั้งด้านสมอง ร่างกาย จิตวิญญาณ เพื่อได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพจากครอบครัว มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย และยังเป็นการช่วยเหลือครอบครัวของผู้มีรายได้น้อย ด้วยการมอบเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 400 บาทต่อเดือนระยะแรก และเพิ่มขึ้นเป็น 600 บาทต่อเดือนในปัจจุบัน
โดยช่วยเหลือต่อเนื่องไปจนกว่าเด็กจะอายุครบ 3 ปี
ในช่วงปีงบประมาณ 2559 (1 ต.ค. 2558 - 30 ก.ย. 2559) และปีงบประมาณ 2560 (1 ต.ค. 2559 - 30 ก.ย. 2560) รัฐบาลได้มอบเงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปแล้ว 394,803 ราย และได้มีการเปิดลงทะเบียนเด็กที่คาดว่าจะเกิดในปีงบประมาณ 2561 อย่างต่อเนื่องต่อไป
2. คุณสมบัติของครอบครัวที่จะได้รับเงินอุดหนุน คือ มีรายได้ต่ำกว่า 3,000 บาทต่อคนต่อเดือน
เป็นโครงการช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่มีเงินรั่วไหล เนื่องจากจ่ายตรงเข้าไปให้คุณแม่ของเด็ก
เงินงบประมาณทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป ก็จะเข้าไปสู่คนยากจนที่มีภาระต้องเลี้ยงดูเด็กเล็ก
การช่วยเฉพาะครอบครัวที่ยากจน ก็เพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ควรจะได้รับโอกาสขั้นต้นของชีวิตในการมีพัฒนาการที่เหมาะสม แม้จะเกิดในครอบครัวยากจนก็ไม่ควรจะเป็นอุปสรรค เพื่อชีวิตระยะต่อๆ ไป จะได้สามารถขวนขวาย เติบโต หาความรู้ ทำงาน สร้างอนาคตที่ดีแก่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติต่อไปได้
3. ขอสนับสนุนให้รัฐบาล คสช.เดินหน้า พัฒนาโครงการต่อไปให้เต็มรูปแบบ เพื่อคุณภาพที่ดีขึ้น
ไม่ต้องไปรอรัฐบาลนักการเมืองที่ไหน
ในรายงานข้อเสนอแนะการปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่เคยมีการนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีไว้นั้น ในวาระปฏิรูปที่ 29 : สวัสดิการสังคม ศึกษาโดยคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรีผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส ชุดที่มีนายอําพล จินดาวัฒนะ เป็นประธาน ระบุเนื้อหาสาระสะท้อนความสำคัญของการเลี้ยงดูเด็กในชั้นปฐมวัย
ระบุว่า พัฒนาการทางสมองโดยเฉพาะในช่วง 3 ขวบปีแรก มีความสําคัญมาก เนื่องจากมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการมาก หากให้ความสนใจ ให้โอกาสกับการเรียนรู้สร้างแรงจูงใจจากความสนใจขั้นพื้นฐาน ให้เด็กในช่วงวัย 0-3 ขวบนี้มีความสุขกับการเรียนรู้ เขาจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เราต้องการ และเป็นพื้นฐานที่อยู่ในสมองของเด็ก เมื่อเด็กเติบโตขึ้น เขาจะดึงเอาประสบการณ์ที่เรียนรู้ในสมัยเด็กมาใช้ประโยชน์ต่อไปได้
ช่วงเวลา 1,000 วันแรก ในชีวิตเด็ก นับตั้งแต่เป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดาจวบจนอายุครบ 3 ขวบ จึงเป็นช่วงเวลาที่สําคัญยิ่งยวดต่อสุขภาวะของเด็กในอนาคต การกระตุ้นการเรียนรู้ที่เหมาะสมตามวัยจะช่วยให้สมองพัฒนาได้เต็มศักยภาพ เปิดรับการเรียนรู้ได้ดีที่สุด เป็นช่วงจังหวะของการเรียนรู้ด้านพฤติกรรม การควบคุมอารมณ์การมองเห็น การได้ยิน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสําคัญที่ครอบครัวจะต้องเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่เหมาะสมให้ได้ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกิดทางเลือกที่เหมาะสมสําหรับทั้งแม่และทารก นอกจากนี้ การเข้าถึงโภชนาการที่ดีนับเป็นหัวใจสําคัญของการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันของเด็ก และความสามารถทางปัญญาที่จําเป็นยิ่งต่อกระบวนการเรียนรู้
ดังนั้น หากเด็กคนหนึ่งๆ ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและถูกต้องจะช่วยให้เด็กมีทักษะทางกายภาพ ความฉลาดทางสติปัญญา และความมั่นคงทางอารมณ์เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีประสบความสําเร็จในการศึกษาและอาชีพการงาน เป็นกําลังสําคัญของสังคมและเศรษฐกิจไทยในอนาคตต่อไป
กล่าวได้ว่า การลงทุนในช่วงชีวิตของเด็กเล็กนํามาสู่อัตราการคืนทุนที่สูงสุด เมื่อเทียบกับวัยอื่นๆ ทั้งหมด การพัฒนาเด็กในวัยนี้เป็นการลงทุนที่น้อยกว่าค่าใช้จ่ายในการตามแก้ไขปัญหาของสังคมที่เกิดขึ้น เพราะความไม่มีคุณภาพของประชากรในสังคม
ข้อมูลนี้ ตอกย้ำว่า การตัดสินใจขยายโครงการจนครอบคลุมอายุ 3 ปี เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด
ปริมาณเงินที่ใช้ เทียบกับผลที่ได้รับ น่าจะคุ้มค่า โดยมีหลักวิชาสนับสนุนหนักแน่น
ผลได้ทางเศรษฐกิจที่ตามมา คือ การช่วยลดภาระของครอบครัวเด็ก เติมกำลังซื้อเข้าไป เพราะเมื่อได้เงินเพิ่มมาอีกเป็นรายเดือน แม้จะไม่เพียงพอค่าเลี้ยงดูเด็กทั้งหมด แต่ก็ย่อมจะช่วยให้สามารถกันเงินรายได้ส่วนอื่นไปใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของครอบครัว กลายเป็นช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อช่วยคนยากจน อัตราหมุนของเงินก็จะรวดเร็ว
การพัฒนาโครงการ ควรเน้นไปที่การจัดสรรเงินที่เพียงพอ การเบิกจ่ายเงินให้ทันท่วงที ไม่ปล่อยให้มีการตกค้าง ล่าช้า และการเสริมความรู้เข้าไปที่กลุ่มคุณแม่ผู้มีรายได้น้อยที่เข้าโครงการ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก เสริมกิจกรรม เสริมคุณภาพการเลี้ยงดูเข้าไปสนับสนุนพัฒนาการของเด็ก
ส่วนจะขยายออกไปเป็นสิทธิสวัสดิการพื้นฐานแก่คนทั่วไป สำหรับคุณแม่ทุกคนเลยหรือไม่ ควรรอให้ฐานรายได้ของประเทศมีความมั่งคั่งกว่านี้ก่อน รอให้มีการจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดิน ฯลฯ ซึ่งคาดว่าอย่างเร็วจะเริ่มปี 2562 จะได้ไม่เป็นภาระงบประมาณเกินไป (งบประมาณส่วนรวมยังต้องใช้ดูแลผู้สูงวัยด้วย)
หรือหากรัฐบาลพรรคการเมืองไหนสนใจจะนำไปทำนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ก็ย่อมสามารถกระทำได้ โดยแสดงที่มาของเงิน จำนวนของเงิน ว่าสามารถดำเนินการได้อย่างไร
เอาจริงๆ พรรคการเมืองไหนมีนโยบายเรื่องนี้ต่อยอดต่อไป จะเป็นอีกเสียงที่เปิดใจให้เลย
สารส้ม
http://www.naewna.com/politic/columnist/33274
นโยบายลุงตู่จะมีใคร นักการเมืองพรรคใดสนใจทำต่อไหมน๊าา....
เพราะดีต่อใจคุณแม่...ใช่เลยค่ะ...👌👌👌👌👌