ผิดหวังกับความรักมาทั้งชีวิต

เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องราวความรักของเราเอง   ความรักที่ไม่เคยสมหวังกับใครเขาสักที
ครั้งแรกที่เริ่มรักใครสักคน คือ ตอนเราอยู่ม.2 (ก็ประมาณ 9-10 ปีมาแล้ว) เขาเป็นเพื่อนในห้องก็เห็นกันอยู่ทุกวัน ไม่รู้เหมือนกันว่าแอบชอบตอนไหน
แล้วก็เป็นตามสเต็บ เพื่อนสนิทเริ่มรู้และจับได้  แต่เพื่อนเราก็ดีคือเอาใจช่วยและเก็บเป็นความลับให้
ในที่สุดก็มีเพื่อนแนะนำให้บอกเขาไปเลย  แต่เราไม่กล้า  จึงเลือกที่จะเขียนจดหมายแล้วฝากเพื่อนไปให้อีกต่อหนึ่ง  เขียนประมาณ 4-5 ฉบับ  
ฉบับละอาทิตย์  เขียนว่าแอบชอบเขา เขียนว่ารู้ดีว่าเขารักคนอื่น  เขียนเพื่อที่ต้องการให้เขารู้ว่ามีคนแอบรัก มีคนแอบชอบอยู่  
และทุกครั้งเขาก็มักจะถามว่าใครส่งให้มา  เขาไม่เคยคิดสงสัยเราเลย  เพราะทุกคนที่โรงเรียนรู้ดีว่าเราเป็นเด็กเรียนเด็กเรียบร้อย (แต่เด็กเรียนจะแอบรักใครไม่ได้หรือไง)  แต่สุดท้ายมันก็จบลงด้วยความเจ็บปวด  คือตอนที่เราเขียนจดหมายฉบับสุดท้าย  วันนั้นโรงเรียนมีทัศนศึกษา
เราให้เพื่อนฝากจดหมายไปให้เช่นเคย  แต่นอกจากเขาจะไม่เปิดอ่านแล้ว  เขายังโยนมันทิ้งออกนอกหน้าต่างรถไปอีก  
ตอนนั้นเราอยากลงจากรถไปเก็บมันมา  แต่ทำไม่ได้ เพราะถ้าลงไปเก็บเขาจะรู้ทันทีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาคือเราที่เป็นคนเขียน  
ทัศนศึกษาครั้งนั้นเราไม่มีความสุขเลย และเพื่อนของเขาก็มาเล่าให้ฟังอีกว่าจดหมายทุกฉบับที่เราเขียนเขาฉีกทิ้งทั้งหมดเลย  
มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บมากๆ  ความรู้สึกที่ตั้งใจเขียนไปบอกเขามันสูญเปล่า  เพื่อนของเราคอยปลอบเราตลอดว่าไม่เป็นไร  เขาแค่ไม่รักเรา
เรายังจำคำพูดของเพื่อเราได้เป็นอย่างดี  "ปล่อยมันไปเถอะ เธอกับมันไม่สมกันเลยสักนิด"  ใช่ ถ้าใครรู้ว่าเป็นเราที่แอบชอบเขาก็คงคิดเหมือนกันว่าเราไม่เหมาะสมกับเขาสักนิด  เพราะเราเป็นเด็กเรียน (เรียนได้ที่1ของชั้น)  แต่เขาเป็นเด็กเกเรา ไม่ตั้งใจเรียน แถมยังติด ร ติด 0 อีก  
คงจะจริงละมั้งที่เขาบอกว่าผู้หญิงอ่ะชอบคนเลว
      หลังจากที่เวลาผ่านไปเกือบปี  จากการอกหักครั้งแรก  เราก็เริ่มคิดที่จะเปลี่ยนตัวเอง  เปลี่ยนจากชอบผู้ชายเป็นชอบผู้หญิงแทน  เราไม่ได้เป็นทอม
แต่เป็นเลสเบี้ยน คือเป็นผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน  ตอน ม.3 เราเห็นน้องม.1อยู่คนหนึ่ง เธอเป็นเด็กแว่น  แต่เป็นผู้หญิงใส่แว่นที่น่ารักมาก  ตอนนั้นรู้สึกเลยว่า อยากจีบผู้หญิงสักคน  เลยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อน  แต่มีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่งมันเป็นคนค่อนข้างห้าวๆ ใกล้เคียงกับคำว่าทอมมาก มันชื่อ ปอ (นามสมมติ) ปอบอกเราว่าผู้หญิคนนั้นไม่เหมาะกับเราหรอก  แต่พอคุยกันไปคุยกันมาปรากฏว่าปอจะขอจีบเด็กแว่นคนนั้นแทน  เราก็คิดในใจนะว่า อ้าวบอกไม่เหมาะกับเราแต่จริงๆแล้วต้องการจีบเองใช่ไหม  แต่ตัวเราเองเคยสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า จะไม่ยุ่งกับคนที่เพื่อนชอบ ไม่ว่าเขาจะเป็นแฟนกัน หรือแค่คนที่เพื่อนแอบชอบ  เราจึงบอกให้ปอไปจีบน้องแว่นได้เลย (ขอแทนว่า น้องแว่นนะคะ) เราไม่เป็นไร  แต่ปอก็ปลอบใจเราว่าจะหาผู้หญิงคนใหม่ให้  
ในวันต่อมาขณะที่รอเข้าแถวหน้าเสาธงปอก็ชี้ให้ดูเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็นเพื่อนกับน้องแว่น  ตอนที่ปอชี้ให้เราดู  ครั้งแรกที่สบตาน้องเขาเราเข้าใจในทันทีว่า รักแรกพบสบตา มันเป็นยังไง ทุกวันนี้เรายังจำภาพวินาทีแรกที่เราสบตากับน้องเขาได้อยู่เลย  มันเป็นความรู้สึกที่แบบว่าเหมือนโลกทั้งใบมีแค่เราสองคนยืนอยู่ตรงนั้น มันเป็นความรู้สึกชอบและถูกชะตาแค่เพียงเห็นหน้าและมองตาเท่านั้น เราทนเสียงของใจไม่ได้จึงรีบเดินไปถามชื่อน้องเขาทันที
แต่ว่าชื่อเล่นน้องเขาเหมือนชื่อน้องสาวเรา เราเลยถามชื่อจริง แล้วชื่อดันเหมือนคนที่เคยมีเรื่องกับเพื่อนเราอีก  เราเลยดูนามสกุลที่ป้ายชื่อบนเสื้อน้องเขา แล้วเอาคำหน้าสุดของนามสกุลมาแล้วบอกน้องว่า "ต่อไปนี้พี่เรียกน้องว่า พลาย นะ" พูดเองเออเองเสร็จก็เดินหนีไปเข้าแถวตัวเองทันที  ตั้งแต่วันนั้นทุกๆกลางวันก็ไปอยู่คุยกับกลุ่มน้องพลายตลอด บอกเขาด้วยซ้ำว่าที่มาคุยเนี้ยจีบอยู่น่ะ  น้องพลายก็ไม่ได้พูดอะไรแค่ยิ้มแล้วก็ทำท่าทางอายๆ  ตอนนั้นมองหน้าน้องแล้วคิดอย่างเดียวว่า น่ารักมาก  คุยๆกับน้องเขาทุกวัน  คิดถึงน้องมากยิ่งช่วงเสาร์อาทิตย์  คุยกันเรื่อยๆจนมีอยู่วันหนึ่งไม่รู้น้องคิดอะไรอยู่ๆ
ก็มาหอมแก้มเรา  ตอนนั้นรู้แค่ว่าดีใจมากๆ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด  ทีนี้พอช่วงสอบปลายภาคคะแนนออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร เนื่องจากเราเรียนดีมาตลอด  ครูที่สนิทกันก็มาถามทำไมช่วงนี้ไม่ตั้งใจเรียนเลย คะแนนก็ตก  เราเครียดนะ  แต่พอเจอหน้าน้องพลายก็แบบทิ้งทุกอย่างหมดเลย  ตอนนั้นก็คิดนะที่เขาบอกว่าเวลามีแฟนหรือมีความรักมักทำให้การเรียนแย่ลง  แต่เราก็ไม่สนเพราะมันเป็นช่วงที่มีความสุขไง เลยอยากจะเก็บไว้นานๆ  
ตอนปิดเทอมเราไม่ได้คุยกับน้องพลายเลย  เนื่องจากตอนนั้นเรายังไม่มีโทรศัพท์มือถือ  น้องพลายเองก็ไม่มีเหมือนกัน  ช่วงเวลาปิดเทอมจึงทำได้แค่คิดถึงน้องเขาเท่านั้น  แล้วพอเปิดเทอมทุกอย่างก็เปลี่ยนไป  เราเจอน้องพลายน้อยลง  ไม่ค่อยได้นั่งคุยกันเหมือนก่อน  และอยู่มาวันหนึ่งในตอนเช้าก่อนเข้าแถว  น้องพลายเดินมาบอกเราว่าพี่ๆหนูมีอะไรจะคุยด้วย  ตอนนั้นมันเหมือนมีลางสังหรณ์แปลกจึงบอกปัดไปว่าตอนนี้ยังไม่ว่างเดี๋ยวค่อยบอกนะ  เขาว่ากันว่าลางสังหรณ์ของผู้หญิงมักแม่นยำเสมอ  แล้วก็เป็นจริงช่วงพักกลางวันเราลงจากตึกเรียนเพื่อไปกินข้าว  ระหว่างทางก็พบกับน้องพลายและเพื่อนๆของน้อง  ตอนนั้นเราได้ยินเพื่อนของน้องซุบซิบกับน้องว่าบอกๆพี่เขาไปเถอะ บอกไปเลย  พอเราได้ยินก็เริ่มรู้สึกว่าใจไม่ดี  มันต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ  และเมื่อเดินไปถึงกลุ่มของน้อง น้องก็ลุกขึ้นมาพูดกับเราว่า  “พี่ค่ะ  คือหนูมีแฟนแล้วนะคะ”  ราวกับเหมือนทุกอย่างบนโลกนี้พังทลายลง  ความรู้สึกคอนนั้นคือเหมือนโลกหยุดหมุนอยู่กับที่  เราหูอื้อไปชั่วขณะ ไม่ได้ยินสิ่งที่น้องพูดต่อจากนั้น  เราพยายามทรงตัวที่จะไม่ให้ตัวเองล้มลงไป  แล้วฝืนตัวเองพูดไปว่า “เรายังคงเป็นพี่น้องกันได้ใช่ไหม” น้องพลายพยักหน้าตอบรับ  เราพาร่างกายตัวเองเดินไปได้สักพักก็เหมือนจะล้มลงดีที่เพื่อนๆมาช่วยพยุงไว้  จำได้ว่าอาหารกลางวันมื้อนั้นเป็นอะไรที่ไม่อร่อยเลย  เราเสียใจ  แต่ไม่กล้าร้องไห้  เพราะยังอยู่ที่โรงเรียนและไม่อยากให้เพื่อนๆเป็นห่วง  แต่พอกลับบ้านอยู่คนเดียว  มองโหลดาวที่เราพับค้างไว้  ดาวที่เราตั้งใจจะพับให้น้องเขาเมื่อถึงวันวาเลนไทน์  แต่มันไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว  เราร้องไห้จนกระทั่งเผลอหลับไป   วันต่อมาในช่วงพักกลางวัน  เราก็เห็นน้องเขานั่งคุยอยู่กับแฟน  คนรอบข้างอาจจะมองว่าน่ารัก  แต่สำหรับเรามันเป็นอะไรที่เจ็บปวดที่สุด  ช่วงเวลานั้นเราคิดอย่างเดียวว่า  ทำไมละ  ถ้าไม่รักเราแล้วจะมาหลอกให้เรารู้สึกดีด้วยทำไม  ทั้งมาคอยคุย ทั้งจับมือ  ทั้งหอมแก้ม  พูดจาหวานๆ  ทำแบบนั้นเพื่ออะไร  เราโกรธนะที่เหมือนโดนหลอกมาตลอด  แต่ทุกครั้งที่เจอหน้องเขาเราก็ยังยิ้มให้เสมอ  เพราะเราเป็นคนขอเองว่าจะเป็นพี่น้องกัน เราก็ต้องทำให้ได้  เรากลับมากลายเป็นเด็กบ้าเรียนอีกครั้ง  พยายามไม่สนใจเรื่องอื่น  สนใจแต่เรื่องเรียน  เรียน  แล้วก็เรื่องเรียน  ว่างๆก็จะไปช่วยงานครูที่ฝ่ายวิชาการ  พยายามทำตัวให้ไม่ว่าง  เพื่อที่จะได้ไม่มีเวลาเสียใจ  การกระทำนั้นส่งผลให้เราจบม.3มาด้วยเกรดที่ดีมากๆ  พ่อและแม่ต่างก็ดีใจกับเรา  แต่ในวันสอบวันสุดท้ายเราเอาโหลที่มีดาวพับไว้อยู่เต็มเอาไปให้น้องพลาย  แล้วบอกว่าเป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้า (น้องเกิดกลางๆเดือนมีนาคม)  เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ตัดสินใจให้ไป  คิดไว้แค่ว่าตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้ก็ต้องให้  อย่างน้อยก็ตอบแทนที่น้องเขาทำให้เราได้รู้สึกของช่วงเวลาดีๆ  ที่อาจจะมีแค่เราที่คิดไปเองฝ่ายเดียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่