
สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก ที่ จขกท. เขียนเลยนะคะ ปกติจะแค่เข้ามาอ่านทั่วไปเฉยๆ ครั้งนี้เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ จขกท. ไปพบเจอ หรือเห็นมา ให้คนอื่นๆที่สนใจได้อ่านกัน
ก็อย่างที่บอกนะคะ หัวเรื่องก็บอกอยู่แล้วว่า หนาวนี้ ที่ภูกระดึง เมื่อ วันที่ 16 -18 ธันวาคม ที่ผ่านมานั้น จขกท. ได้มีโอกาสไปเที่ยวภูกระดึงมา แล้วก็บังเอิ๊ญญญญ (เสียงสูง) ว่าเป็นช่วงที่กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศบอกพอดีว่า อากาศจะลดลงจากปกติ ก็เลยถือเป็นโชคดีไป ที่เราจะได้สัมผัสอากาศหนาวๆของประเทศไทยกันบ้าง
เข้าเรื่องกันเลยแล้วกันนะคะ จขกท. เริ่มออกเดินทาง คืนวันที่ 15 เพื่อไปภูกระดึงโดย การนั่งรถทัวร์ จากกรุงเทพหมอชิต ไปลงจุดจอดผานกเค้า จังหวัดเลย ส่วนขากลับ ก็ขึ้นจากจุดเดิมคือ จุดจอดผานกเค้า มาลงที่ กรุงเทพหมอชิตของเราเหมือนเดิม จขกท. จองตั๋วรถผ่านช่องทางออนไลน์ ตอนไปนั่งของบริษัท แอร์เมืองเลย ส่วนขากลับ นั่งของซันบัสทัวร์ เราจองไปกลับพร้อมกันเลยทีเดียว สะดวกดี ขาไป จขกท. ไปขึ้นรถที่หมอชิต เราก็เอาเอกสารที่ทำการจองออนไลน์ไปยื่นที่เคาน์เตอร์จองตั๋วเพื่อขึ้นตั๋วจริง สายอีสาน จะอยู่ที่ชั้น 3 ของสถานีขนส่งนะคะ จากนั้นก็ไปรอรถ ที่ชานชาลา ตามเลขที่ตั๋ว และรถจะออกเวลาประมาณ 22.35 น. ถึง จุดจอดผานกเค้า 6.05 น. ตามเวลาโดยประมาณ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รถทัวร์ ของบริษัทแอร์เมืองเลย เป็นรถ vip 32 ที่นั่ง

หลับไปหลับมา และแล้วเราก็มาถึง จุดจอดผานกเค้า เรามาถึง 05.30 น. มาถึงก่อนเวลาซะอีก ลงรถหน้าร้านเจ๊กิม แลนด์มาร์คของจุดจอดรถผานกเค้าอันลือเลื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ร้านเจ๊กิม จุดลงรถ และจุดขึ้นรถของเรา
นี่ไม่ได้โฆษณาร้านแต่อย่างใด แต่ทุกคนที่ลงผานกเค้า ก็ต้องมาลงหน้าร้านเจ๊กิมนี่แหละ ที่นี่ เค้าสามารถให้นักเดินทางทุกคน อาบน้ำ เข้าห้องน้ำ ทำกิจวัตรส่วนตัว เพื่อเตรียมตัวเดินขึ้นภูกระดึงได้โดยไม่คิดค่าบริการใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องสนองนโยบายทางร้านซักหน่อย เราแวะล้างหน้า แปรงฟัน รวมทั้งกินมื้อเช้าที่นี่เลย
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เราจะต้องนั่งรถสองแถวสีแดง เพื่อเข้าอุทยาน รถ 1 คน สามารถนั่งได้ 10 คน คนละ 30 บาท แต่ถ้าเหมาก็คันละ 300 บาทถ้วนเลยจ้า แต่ จขกท. ไม่รีบ รอคนเต็มก็ได้ค่า จริงๆก็ประหยัดนิดนึง 55555 นั่งรถสองได้มาประมาณ 10 นาทีก็ถึงทางเข้าอุทยาน ค่าเข้าอุทยาน ราคา คนละ 40 บาท เตรียมเงินไว้ให้พร้อมเลยนะคะ เพราะจะได้เข้าไปเร็วๆ ยิ่งเตรียมพอดียิ่งดีค่ะ ประหยัดเวลาเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องนับยากค่ะ

ไม่นาน เราก็มาถึง ที่ทำการอุทยาน ถ้าใครยังไม่ได้จองเต็นท์ผ่านทางออนไลน์มา ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ เรามาจองที่นี่ได้เลย แต่การจองเต็นท์ของอุทยานนั้น คือ
1. เราจะต้องจองพื้นที่กางเต็นท์ก่อน
2. นำใบเสร็จจากการจองพื้นที่กางเต็นท์มาจองเต็นอีกที่นึง 1 เต็นท์ สามารถนอนได้ 3 คน แค่นี้ก็เรียบร้อยค่ะ
มี่ที่นอนคืนนี้แล้ว สบายจายยยย แต่ถ้าไม่จองของอุทยาน เต็นท์ของเอกชนก็มีนะ แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ ระหว่างจองเต็นท์ จขกท. เพื่อนๆ ของ จขกท. ก็แบ่งกันไปจ้างลูกหาบ ลูกหาบที่นี่ คิด กิโลกรัม ละ 30 บาท ถ้ามากับเพื่อนหลายคน แนะนำให้แบ่งกันไปนะ 1 คนจองเต็นท์ 1 คนจ้างลูกหาบ เพราะถ้าจ้างลูกหาบก็ต้องรอตามคิวนะคะ กระเป๋าสัมภาระเราก็จะขึ้นไปช้าตามคิว บวกกับระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ แล้วก็ไม่ง่ายเลย ลูกหาบเค้าก็ต้องแวะพักเหมือนกัน เพราะฉะนั้นบางคนถึงที่พัก แต่สัมภาระยังไม่มาก็ต้องรอกันซักพักเลยละคะ แต่ถ้ารีบ และไหวก็แบกเองได้นะไม่ว่ากันจ้า



จขกท. และผองเพื่อน เริ่มเดินทาง 8 โมงตรงแป๊ะ ระยะทางที่เดินขึ้นภู ก็ 5.5 กิโล ผ่านตั้งแต่ปางกกค่า ไปจนถึง หลังแปค่ะ ฟังดูเหมือนง่าย แต่จะตายตั้งแต่ซำแรกละคะ ซำแฮกนี่ แฮกสมชื่อจริงๆ มาเที่ยวที่นี่ไม่ต้องกลัวอดนะคะ มีของให้กินตลอดทาง แรงตกเมื่อไหร่ กินเลยค่ะ อย่าปล่อยให้ตัวเองหิวนะ เป็นลมขึ้นมา จะเป็นภาระของเพื่อนฝูงเอา 55555

นี่แค่น้ำจิ้ม ช่วงพีคนี่ ขอบอกเลยว่าพีคมากกกกก ยิ่งช่วงซำแคร่ไปหลังแป ยิ่งใกล้ถึง ยิ่งเจ้มจ้นนน บอกเลยนะคะ เพื่อน จขกท. เสียน้ำตาเพราะซำนี้มาแล้ว มาเดินที่นี่ จะร้องเพลงของพี่เบิร์ด บ่อยเป็นพิเศษ ท่อนที่ว่า กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง เพลงนี้นี่แหละ เหมาะที่สุดแล้ว เดินมา 5 ชั่วโมงกว่าๆ และแล้วๆๆๆๆ ถึงแล้ว หลังแป แป แป แป มาเป็นเอคโค่อ่ะเนอะ ก็คนมันดีใจ ปลื้มปริ่มน้ำตาจะไหล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ป้ายผู้พิชิต ป้ายยอดฮิต ที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา
หลังจากมาถึงหลังแปแล้ว เราก็ต้องเดิน (เดินอีกแล้ว) ต่ออีก 3.5 กิโล เพื่อไปวังกวาง ที่วังกวางนั่นและจะเป็นที่พักของเรา

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เดินง่ายๆ เดินชิลๆ แค่ 3 โลกว่า บนพื้นทรายสีขาว
ในที่สุด สุด สุด สุด ก็มาถึงจนได้ ขอบคุณขา 2 ข้างที่พามาจนถึง

มาถึงก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อเข้าเต็นท์ ส่วนใครที่ไม่ได้นำถุงนอนมา หรือใครสนใจจะเช่าแผ่นปูรองนอน หมอน ผ้าห่ม หรือถุงนอนเพิ่มก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ได้เช่นกัน หลังจากพักเหนื่อย นอนยกขาสูง จนสบายอารมณ์ขึ้นแล้ว เย็นนี้เราก็จะเดินต่อ เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่ผาหมากดูก ช่วงที่ จขกท.มานี่อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ประมาณ 10 - 12 องศาได้ และฟ้าก็จะมือเร็วมากๆ เราต้องเดินทำเวลากันหน่อย เดี๋ยวจะไม่ทันพระอาทิตย์ตก


หลังจากกลับมาจากผาหมากดูก เราเจอเจ้าถิ่นด้วยนะเออ ตัวนี้คุ้นเคยกับคนมากกกกก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้กวางน้อยผู้พิทักษ์ เอ้ย ไม่ใช่ กวางเฉยๆ
สวัสดีเช้าวันใหม่ หลังจากพักเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว เรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง เช้านี้จขกท. และเพื่อนตื่นมาตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง เพราะเช้านี้เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ผานกแอ่น และจะมีเจ้าหน้าที่นำทาง เพื่อเดินไปตอนตี 5 เพราะฉะนั้นเราจึงต้องตื่นมาก่อนเพื่อล้างหน้า แปรงฟัน ให้เรียบร้อย เช้านี้อากาศลดลงลงมาก เหลือแค่ 7-8 องศาเท่านั้นเอง อากาศไม่ค่อยเป็นมิตรกับการล้างหน้าเท่าไหร่ แต่เสื้อกันหนาวที่ขนมานั้นไม่เสียเที่ยวแน่นอน อิอิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มาแล้ว แสงทองของวันใหม่
หลังจากเดินกลับจากผานกแอ่น ก็จะมีอีกหนึ่งทางที่สามารถให้เราเดินกลับที่พักได้ โดยจะผ่านทางลานวัดพระแก้ว ใครจะไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลอะไร ก็ตามสะดวกเลยค่ะ


ต่อมาเราก็เดินกลับที่พักมาเพื่อทานอาหารเช้า และทำธุระส่วนตัว เพราะวันนี้การเดินทางของเราช่างยาวไกลนัก จุดหมายของเราในวันนี้คือผาหล่มสัก ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักเราถึง 9 กิโล ไปกลับ ก็ 18 กิโล (เดินอีกแล้ว จะร้องไห้) เราตุนเสบียงใส่เป้ไว้จนเต็ม หิวไหนก็พักนั่น เราจะไม่ฝืนสังขารตัวเองเด็ดขาด!!!

ศึกษาแผนที่ให้เรียบร้อย วันนี้เราจะเริ่มเดินจากที่พัก นั่นก็คือจุดสีแดง ไปยังน้ำตกเพ็ญพบใหม่ > น้ำตกถ้ำใหญ่ > สระแก้ว > ผานาน้อย ผ่านมาทางผาเหยียบเมฆ ผาแดง และเดินต่อมาจนถึง ผาหล่มสัก ที่เราจะไปน้ำตกเพ็ญพบใหม่ และน้ำตกถ้ำใหญ่นั้นก็เพื่อจะไปตามล่าหาใบเมเปิลแดงในตำนานนั่นเอง ระหว่างทางเดิน 2 ข้างทางส่วนใหญ่ที่นี่จะบนป่าสนเขา เกือบทั้งหมด แปลกตาดีเหมือนกัน


เดินมาได้ซักพักใหญ่ๆ ก็ถึงสถานที่แรก น้ำตกเพ็ญพบใหม่ หน้านี้น้ำน้อย เราไม่ได้จะมาดูน้ำตก แต่เราจะมาหาใบเมเปิลแดง ท๊าด่าาาาาา เจอแว้วววว



สวยมากกกกกกกก ใบเมเปิลที่จะเจอหลักๆ เลยก็คือที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่ และน้ำตกถ้ำใหญ่ 2 ที่นี้เดินลัดไปหากันได้ โดยเลาะทางน้ำตกเพ็ญพบ และโผนพบไป ชื่อน้ำตกอาจจะสับสนนิดหน่อย แต่ไปถึงที่นั่นก็จะรู้ว่าสับสนจริงๆ เอ้ยย ไม่ใช่ ไม่สับสนสิ เค้ามีป้ายบอกตลอดน่า สบายใจได้ ไม่หลงๆ

หลังจากเดินออกมาจากน้ำตกถ้ำใหญ่ เดินมาทางสระแก้ว เราก็จะมาโผล่ที่ผานาน้อย ใครหิวก็แวะกินข้าวเที่ยงได้เลย มาถึงที่นี่ก็เที่ยงๆบ่ายๆ พอดี แต่ถ้าไม่หิว ก็เดินต่อโลดดดด ซุ้มหน้ายังมี
[CR] หนาวนี้...ที่ "ภูกระดึง" ครั้งหนึ่งต้อง(ลอง)ไป
ก็อย่างที่บอกนะคะ หัวเรื่องก็บอกอยู่แล้วว่า หนาวนี้ ที่ภูกระดึง เมื่อ วันที่ 16 -18 ธันวาคม ที่ผ่านมานั้น จขกท. ได้มีโอกาสไปเที่ยวภูกระดึงมา แล้วก็บังเอิ๊ญญญญ (เสียงสูง) ว่าเป็นช่วงที่กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศบอกพอดีว่า อากาศจะลดลงจากปกติ ก็เลยถือเป็นโชคดีไป ที่เราจะได้สัมผัสอากาศหนาวๆของประเทศไทยกันบ้าง
เข้าเรื่องกันเลยแล้วกันนะคะ จขกท. เริ่มออกเดินทาง คืนวันที่ 15 เพื่อไปภูกระดึงโดย การนั่งรถทัวร์ จากกรุงเทพหมอชิต ไปลงจุดจอดผานกเค้า จังหวัดเลย ส่วนขากลับ ก็ขึ้นจากจุดเดิมคือ จุดจอดผานกเค้า มาลงที่ กรุงเทพหมอชิตของเราเหมือนเดิม จขกท. จองตั๋วรถผ่านช่องทางออนไลน์ ตอนไปนั่งของบริษัท แอร์เมืองเลย ส่วนขากลับ นั่งของซันบัสทัวร์ เราจองไปกลับพร้อมกันเลยทีเดียว สะดวกดี ขาไป จขกท. ไปขึ้นรถที่หมอชิต เราก็เอาเอกสารที่ทำการจองออนไลน์ไปยื่นที่เคาน์เตอร์จองตั๋วเพื่อขึ้นตั๋วจริง สายอีสาน จะอยู่ที่ชั้น 3 ของสถานีขนส่งนะคะ จากนั้นก็ไปรอรถ ที่ชานชาลา ตามเลขที่ตั๋ว และรถจะออกเวลาประมาณ 22.35 น. ถึง จุดจอดผานกเค้า 6.05 น. ตามเวลาโดยประมาณ
นี่ไม่ได้โฆษณาร้านแต่อย่างใด แต่ทุกคนที่ลงผานกเค้า ก็ต้องมาลงหน้าร้านเจ๊กิมนี่แหละ ที่นี่ เค้าสามารถให้นักเดินทางทุกคน อาบน้ำ เข้าห้องน้ำ ทำกิจวัตรส่วนตัว เพื่อเตรียมตัวเดินขึ้นภูกระดึงได้โดยไม่คิดค่าบริการใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องสนองนโยบายทางร้านซักหน่อย เราแวะล้างหน้า แปรงฟัน รวมทั้งกินมื้อเช้าที่นี่เลย
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เราจะต้องนั่งรถสองแถวสีแดง เพื่อเข้าอุทยาน รถ 1 คน สามารถนั่งได้ 10 คน คนละ 30 บาท แต่ถ้าเหมาก็คันละ 300 บาทถ้วนเลยจ้า แต่ จขกท. ไม่รีบ รอคนเต็มก็ได้ค่า จริงๆก็ประหยัดนิดนึง 55555 นั่งรถสองได้มาประมาณ 10 นาทีก็ถึงทางเข้าอุทยาน ค่าเข้าอุทยาน ราคา คนละ 40 บาท เตรียมเงินไว้ให้พร้อมเลยนะคะ เพราะจะได้เข้าไปเร็วๆ ยิ่งเตรียมพอดียิ่งดีค่ะ ประหยัดเวลาเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องนับยากค่ะ
1. เราจะต้องจองพื้นที่กางเต็นท์ก่อน
2. นำใบเสร็จจากการจองพื้นที่กางเต็นท์มาจองเต็นอีกที่นึง 1 เต็นท์ สามารถนอนได้ 3 คน แค่นี้ก็เรียบร้อยค่ะ
มี่ที่นอนคืนนี้แล้ว สบายจายยยย แต่ถ้าไม่จองของอุทยาน เต็นท์ของเอกชนก็มีนะ แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ ระหว่างจองเต็นท์ จขกท. เพื่อนๆ ของ จขกท. ก็แบ่งกันไปจ้างลูกหาบ ลูกหาบที่นี่ คิด กิโลกรัม ละ 30 บาท ถ้ามากับเพื่อนหลายคน แนะนำให้แบ่งกันไปนะ 1 คนจองเต็นท์ 1 คนจ้างลูกหาบ เพราะถ้าจ้างลูกหาบก็ต้องรอตามคิวนะคะ กระเป๋าสัมภาระเราก็จะขึ้นไปช้าตามคิว บวกกับระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ แล้วก็ไม่ง่ายเลย ลูกหาบเค้าก็ต้องแวะพักเหมือนกัน เพราะฉะนั้นบางคนถึงที่พัก แต่สัมภาระยังไม่มาก็ต้องรอกันซักพักเลยละคะ แต่ถ้ารีบ และไหวก็แบกเองได้นะไม่ว่ากันจ้า
นี่แค่น้ำจิ้ม ช่วงพีคนี่ ขอบอกเลยว่าพีคมากกกกก ยิ่งช่วงซำแคร่ไปหลังแป ยิ่งใกล้ถึง ยิ่งเจ้มจ้นนน บอกเลยนะคะ เพื่อน จขกท. เสียน้ำตาเพราะซำนี้มาแล้ว มาเดินที่นี่ จะร้องเพลงของพี่เบิร์ด บ่อยเป็นพิเศษ ท่อนที่ว่า กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง เพลงนี้นี่แหละ เหมาะที่สุดแล้ว เดินมา 5 ชั่วโมงกว่าๆ และแล้วๆๆๆๆ ถึงแล้ว หลังแป แป แป แป มาเป็นเอคโค่อ่ะเนอะ ก็คนมันดีใจ ปลื้มปริ่มน้ำตาจะไหล
หลังจากมาถึงหลังแปแล้ว เราก็ต้องเดิน (เดินอีกแล้ว) ต่ออีก 3.5 กิโล เพื่อไปวังกวาง ที่วังกวางนั่นและจะเป็นที่พักของเรา
ในที่สุด สุด สุด สุด ก็มาถึงจนได้ ขอบคุณขา 2 ข้างที่พามาจนถึง
สวัสดีเช้าวันใหม่ หลังจากพักเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว เรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง เช้านี้จขกท. และเพื่อนตื่นมาตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง เพราะเช้านี้เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ผานกแอ่น และจะมีเจ้าหน้าที่นำทาง เพื่อเดินไปตอนตี 5 เพราะฉะนั้นเราจึงต้องตื่นมาก่อนเพื่อล้างหน้า แปรงฟัน ให้เรียบร้อย เช้านี้อากาศลดลงลงมาก เหลือแค่ 7-8 องศาเท่านั้นเอง อากาศไม่ค่อยเป็นมิตรกับการล้างหน้าเท่าไหร่ แต่เสื้อกันหนาวที่ขนมานั้นไม่เสียเที่ยวแน่นอน อิอิ
หลังจากเดินกลับจากผานกแอ่น ก็จะมีอีกหนึ่งทางที่สามารถให้เราเดินกลับที่พักได้ โดยจะผ่านทางลานวัดพระแก้ว ใครจะไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลอะไร ก็ตามสะดวกเลยค่ะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น