1...จุดเริ่มต้น
2017年12月7日
你好 :: nihao :: สวัสดีครับ ทุกๆ คนย่อมมีครั้งแรกเป็นของตัวเอง(รู้นะว่าคิดอะไร) เดินทางครั้งแรกไงงงง!
บทความนี้ถือได้ว่าเป็นบทความแรกในชีวิตของผม ที่จะมารีวิวเกี่ยวกับการเดินทางของผมในจีนตลอดทั้ง 4 วัน
เมื่อพูดถึงคำว่า “ครั้งแรก” ผมว่ามันเป็นคำที่ฟังดูง่ายๆ แต่การที่จะทำมันให้สำเร็จนั้นมันยากเหลือเกิน นั่นก็เพราะมีคำอีกคำหนึ่ง คือคำว่า “ไม่เคย” เป็นตัวฉุดรั้งเราอยู่ ส่วนอีกคำหนึ่งก็คือ “กลัว” นั่นเป็นเพราะต่างคนต่างก็มี Comfort zone เป็นของตัวเอง ซึ่งก็เหมือนครั้งแรกของผม มันก็มีความยากเช่นเดียวกัน นั่นเป็นเพราะผมไม่เคยได้ออกไปไหนไกลๆ เลยซักครั้ง ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลย ในประเทศก็ไปอยู่ไม่กี่จังหวัด
การออกเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกนั้น มันมีจุดเริ่มต้นอยู่ว่า ผมไปรับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมาร่วมกิจกรรมรับน้องขึ้นดอยที่เชียงใหม่ แล้วอยู่ๆ เพื่อนผมก็พูดว่า อยากไปจีน (คิดไงของมันนะ) อยากรู้ว่าที่นั่นเป็นยังไง เค้าอยู่ยังไง สังคมเป็นยังไง ซึ่งมันตรงกับความคิดของผมมากๆ ที่อยากจะไปเปิดโลกในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์แห่งนี้ ประเทศที่มีแต่คนตราหน้าว่าสกปรก สังคมแย่ แล้วมันก็ยังเป็นประเทศที่บรรพบุรุษของพวกผมเคยอาศัยอยู่ ก่อนที่จะแบกเสื่อผืนหมอนใบข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งรกรากยังประเทศไทย ทำให้เราได้เกิดและมีชีวิตจนถึงทุกวันนี้

สาธารณรัฐประชาชนจีน…
นี่เป็นชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศที่ใหญ่ที่สุดในย่านเอเชียตะวันออก จีนเรียกตัวเองว่า จงกั๋ว แปลว่าประเทศที่อยู่ตรงกลาง เพราะทุกๆ คนก็ย่อมคิดว่าแผ่นดินที่เราอยู่คือจุดศูนย์กลางของโลกทั้งนั้นแหละ จีนก็เหมือนกัน จึงตั้งชื่อประเทศตัวเองแบบนั้น จีนเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก เคยปกครองด้วยระบอบจักรพรรดิ กษัตริย์ สาธารณรัฐประชาธิปไตย จนมาเป็นจีนระบอบคอมมิวนิตส์ในปัจจุบัน ผมเอาชนะความกลัว และความไม่เคย ด้วยการตัดสินใจจองตั๋ว เชียงใหม่-ดอนเมือง-เซินเจิ้น ไปเลย ไม่ไปก็ไม่ได้ละ เพราะตั๋วถูกจองไปแล้ว ฮ่าๆ ที่สำคัญคือเราไม่วางแผนกันเลย ไอ้ที่วางแผนได้ก็วางไปแบบมึนๆ หายนะเกิดแน่ๆ (อย่าทำแบบนี้นะครับ จะไปไหนควรวางแผนให้รอบคอบซะก่อน) การตัดสินใจที่แน่วแน่แล้ววางแผนได้มึนๆ ขนาดนั้น มันจึงทำให้เกิด “ครั้งแรก”
ประเทศจีนถือได้ว่าเป็นประเทศแรกที่ผมออกมาจากแผ่นดินไทย มีหลายคนถามว่า แน่ใจเหรอที่จะให้จีนเป็นประเทศแรกใน passport ไปก็ยาก วีซ่าก็ต้องขอ ยิ่งการสื่อสารนี่ลำบากมากเลย เพราะเค้าไม่พูดภาษาอังกฤษกัน ผมเลยตอบเค้าไปว่า “ผมจะลอง”
ผมเริ่มต้นการเดินทางจากท่าอากาศยานเชียงใหม่ไปดอนเมืองในเวลาเช้าตรู่ เพื่อไปพบกับเพื่อนที่นัดกันไว้ดิบดี เพื่อนผมคนนี้ชื่อบาสครับ เป็นคนซื่อๆ แต่ปากจัดมากกกกก เป็นเพื่อนที่ผมสนิทมาตั้งแต่อนุบาล นึกถึงตอนเด็กๆตีต่อยกันบ่อยมาก ก็ยังงงมาจนถึงตอนนี้ว่าดีกันเพราะอะไร
ณ Future Park Rangsit
แน่ใจใช่มั้ย มันไม่ง่ายเลยนะ ผมถามบาสด้วยภาษาบ้านเกิด
จองต๋วมาขนาดนี้แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด บาสตอบกลับมา
เราสองคนกำลังจะเดินทางไปยังเมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างนั่งรอใน Gate ก็มีคนจีนเดินมาคุยด้วย พวกผมมองหน้ากันแล้วอึ้ง นี่ขนาดอยู่ในไทยนะเนี่ย ยังรัวภาษาจีนใส่กุแบบนี้ ฮ่าๆ

เมื่อถึงเวลาประมาณ หกโมงเย็น พนักงานก็เรียกเราขึ้นเครื่อง ในเครื่องมีแต่คนจีนครับ แต่ผมได้นั่งติดกับคนอเมริกัน

โคตรสปอยเมืองที่จะไปให้ฟังเต็มที่ แทบจะไม่เหลืออะไรให้เผชิญเองเลย (เหรอ!!)... ส่วนบาสนั่งติดกับพี่คนไทยครับ
"หนู่วเชี่ยเหมินเซียนเชิงเหมิน..." เสียงประกาศดังขึ้น นั่นแปลว่าเท้าทั้งสองข้างของเราใกล้จะเหยียบแผ่นดินท่านเหมาแล้ว ผมเริ่มตื่นตาตื่นใจ มองจากด้านบนเห็นไฟเป็นเส้นยาวๆ พอเครื่องแตะแผ่นดินจีนเท่านั้นแหล่ะ เริ่มคิดว่าต่อจากนี้มันไม่ง่ายแล้ว ก็เล่นมาแบบไม่ง้อทัวร์แบบนี้ทำให้ความตื่นเต้นเกิดขึ้นได้ในทุกๆ วินาที เพราะต่อจากนี้คือการเดินทางครับไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว แล้วพวกเราก็ผ่าน ต.ม. เข้ามาอย่างราบรื่น “Welcome to China!” เจ้าหน้าที่ ต.ม. พูดกับเราแบบนั้น
จีนครั้งแรก Shenzhen-Guilin <December 2017>
2017年12月7日
你好 :: nihao :: สวัสดีครับ ทุกๆ คนย่อมมีครั้งแรกเป็นของตัวเอง(รู้นะว่าคิดอะไร) เดินทางครั้งแรกไงงงง!
บทความนี้ถือได้ว่าเป็นบทความแรกในชีวิตของผม ที่จะมารีวิวเกี่ยวกับการเดินทางของผมในจีนตลอดทั้ง 4 วัน
เมื่อพูดถึงคำว่า “ครั้งแรก” ผมว่ามันเป็นคำที่ฟังดูง่ายๆ แต่การที่จะทำมันให้สำเร็จนั้นมันยากเหลือเกิน นั่นก็เพราะมีคำอีกคำหนึ่ง คือคำว่า “ไม่เคย” เป็นตัวฉุดรั้งเราอยู่ ส่วนอีกคำหนึ่งก็คือ “กลัว” นั่นเป็นเพราะต่างคนต่างก็มี Comfort zone เป็นของตัวเอง ซึ่งก็เหมือนครั้งแรกของผม มันก็มีความยากเช่นเดียวกัน นั่นเป็นเพราะผมไม่เคยได้ออกไปไหนไกลๆ เลยซักครั้ง ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลย ในประเทศก็ไปอยู่ไม่กี่จังหวัด
การออกเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกนั้น มันมีจุดเริ่มต้นอยู่ว่า ผมไปรับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมาร่วมกิจกรรมรับน้องขึ้นดอยที่เชียงใหม่ แล้วอยู่ๆ เพื่อนผมก็พูดว่า อยากไปจีน (คิดไงของมันนะ) อยากรู้ว่าที่นั่นเป็นยังไง เค้าอยู่ยังไง สังคมเป็นยังไง ซึ่งมันตรงกับความคิดของผมมากๆ ที่อยากจะไปเปิดโลกในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์แห่งนี้ ประเทศที่มีแต่คนตราหน้าว่าสกปรก สังคมแย่ แล้วมันก็ยังเป็นประเทศที่บรรพบุรุษของพวกผมเคยอาศัยอยู่ ก่อนที่จะแบกเสื่อผืนหมอนใบข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งรกรากยังประเทศไทย ทำให้เราได้เกิดและมีชีวิตจนถึงทุกวันนี้
สาธารณรัฐประชาชนจีน…
นี่เป็นชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศที่ใหญ่ที่สุดในย่านเอเชียตะวันออก จีนเรียกตัวเองว่า จงกั๋ว แปลว่าประเทศที่อยู่ตรงกลาง เพราะทุกๆ คนก็ย่อมคิดว่าแผ่นดินที่เราอยู่คือจุดศูนย์กลางของโลกทั้งนั้นแหละ จีนก็เหมือนกัน จึงตั้งชื่อประเทศตัวเองแบบนั้น จีนเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก เคยปกครองด้วยระบอบจักรพรรดิ กษัตริย์ สาธารณรัฐประชาธิปไตย จนมาเป็นจีนระบอบคอมมิวนิตส์ในปัจจุบัน ผมเอาชนะความกลัว และความไม่เคย ด้วยการตัดสินใจจองตั๋ว เชียงใหม่-ดอนเมือง-เซินเจิ้น ไปเลย ไม่ไปก็ไม่ได้ละ เพราะตั๋วถูกจองไปแล้ว ฮ่าๆ ที่สำคัญคือเราไม่วางแผนกันเลย ไอ้ที่วางแผนได้ก็วางไปแบบมึนๆ หายนะเกิดแน่ๆ (อย่าทำแบบนี้นะครับ จะไปไหนควรวางแผนให้รอบคอบซะก่อน) การตัดสินใจที่แน่วแน่แล้ววางแผนได้มึนๆ ขนาดนั้น มันจึงทำให้เกิด “ครั้งแรก”
ประเทศจีนถือได้ว่าเป็นประเทศแรกที่ผมออกมาจากแผ่นดินไทย มีหลายคนถามว่า แน่ใจเหรอที่จะให้จีนเป็นประเทศแรกใน passport ไปก็ยาก วีซ่าก็ต้องขอ ยิ่งการสื่อสารนี่ลำบากมากเลย เพราะเค้าไม่พูดภาษาอังกฤษกัน ผมเลยตอบเค้าไปว่า “ผมจะลอง”
ผมเริ่มต้นการเดินทางจากท่าอากาศยานเชียงใหม่ไปดอนเมืองในเวลาเช้าตรู่ เพื่อไปพบกับเพื่อนที่นัดกันไว้ดิบดี เพื่อนผมคนนี้ชื่อบาสครับ เป็นคนซื่อๆ แต่ปากจัดมากกกกก เป็นเพื่อนที่ผมสนิทมาตั้งแต่อนุบาล นึกถึงตอนเด็กๆตีต่อยกันบ่อยมาก ก็ยังงงมาจนถึงตอนนี้ว่าดีกันเพราะอะไร
ณ Future Park Rangsit
แน่ใจใช่มั้ย มันไม่ง่ายเลยนะ ผมถามบาสด้วยภาษาบ้านเกิด
จองต๋วมาขนาดนี้แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด บาสตอบกลับมา
เราสองคนกำลังจะเดินทางไปยังเมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างนั่งรอใน Gate ก็มีคนจีนเดินมาคุยด้วย พวกผมมองหน้ากันแล้วอึ้ง นี่ขนาดอยู่ในไทยนะเนี่ย ยังรัวภาษาจีนใส่กุแบบนี้ ฮ่าๆ
"หนู่วเชี่ยเหมินเซียนเชิงเหมิน..." เสียงประกาศดังขึ้น นั่นแปลว่าเท้าทั้งสองข้างของเราใกล้จะเหยียบแผ่นดินท่านเหมาแล้ว ผมเริ่มตื่นตาตื่นใจ มองจากด้านบนเห็นไฟเป็นเส้นยาวๆ พอเครื่องแตะแผ่นดินจีนเท่านั้นแหล่ะ เริ่มคิดว่าต่อจากนี้มันไม่ง่ายแล้ว ก็เล่นมาแบบไม่ง้อทัวร์แบบนี้ทำให้ความตื่นเต้นเกิดขึ้นได้ในทุกๆ วินาที เพราะต่อจากนี้คือการเดินทางครับไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว แล้วพวกเราก็ผ่าน ต.ม. เข้ามาอย่างราบรื่น “Welcome to China!” เจ้าหน้าที่ ต.ม. พูดกับเราแบบนั้น