ทฤษฎีเกมเผยให้เห็นว่าเหตุการณ์ร้ายแรงถูกเบี่ยงเบนไปได้อย่างไร



ทะเลสาบ Lanier ที่จอร์เจียนั้นถือเป็นบ่อน้ำสำคัญสำหรับคนที่อยู่ในชานเมืองและกับคนที่อาศัยอยู่ในหัวเมืองในแอตแลนตา เมื่อระดับน้ำในทะเลสายลดน้อยลงในปริมาณที่ต่ำ ก็จะมีผู้คนทำการกักตุนน้ำมากขึ้นและรายงานข่าวต่างๆก็เผยภาพให้เห็นถึงบ่อทะเลสาบที่เป็นโคลน เรื่องนี้มีผลกระทบต่อบางประเทศ การกักเก็บน้ำถือเป็นการกระทำที่เอาเปรียบ มีการกักเก็บน้ำจนเคยชินและสุดท้ายการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำก็ทำให้วิกฤตการณ์ถูกเบี่ยงเบนออกไป แต่เมื่อผ่านพ้นวิกฤตแล้ว ระดับน้ำก็จะกลับมาเหมือนเดิมจนกระทั่งเกิดความขาดแคลนน้ำในครั้งต่อไป

แรงบันดาลใจนี้ก็เป็นกรณีตัวอย่างที่ทางด้านนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจียได้ทำการพัฒนาทฤษฎีไปจนถึงทำการศึกษาพฤติกรรมและผลกระทบที่เกิดขึ้นทางสิ่งแวดล้อม หลักการก็คือพวกเขาได้ทำการรวบรวมทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวกับพฤติกรรมกลยุทธ์ที่ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองและกลับคืนสู่สภาพเดิม โดยพวกเขาได้เรียกว่าเป็น “เหตุการณ์ร้ายแรงส่วนรวมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้” โดยงานวิจัยก็ได้มีการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ในนิตยสาร Proceedings Of The National Academy Of Sciences

จากการศึกษาถึงผลกระทบพฤติกรรมที่ทำให้มีการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองนั้น ก็มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน ที่มาที่ไปของตัวอย่างก็มาจากมีชาวนากลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งได้ทำการแชร์ทุ่งนาระหว่างกัน โดยชาวนาแต่ละคนกำลังคิดอยู่ว่าจะทำการเลี้ยงต้นหญ้าหรือปล่อยให้ฝูงสัตว์กินหญ้าทั้งหมดดี เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้คู่แข่งได้เปรียบ ชาวนาแต่ละคนตัดสินใจว่าจะพยายามกอบโกยผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดจากการปล่อยให้ฝูงแกะทำการเล็มต้นหญ้าให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือฝูงแกะเล็มหญ้ามากเกินไปและสร้างความเสียหายต่อทุ่งนา ความขัดแย้งกันจึงเกิดขึ้น ผลประโยชน์ที่อยู่ในมือของชาวนาแต่ละคนในระยะยาวก็ร่อยหรอลงไปเต็มทีหากพวกเขายังจับมือเดินหน้ากันต่อไปและยังปล่อยให้ฝูงแกะเล็มหญ้าแบบนี้ต่อไป

แต่ละคนก็ได้แสดงพฤติกรรมในการตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวเอง ซึ่งทำให้พวกเขาสร้างความเลวร้ายที่ตามมาจนกลายเป็น “เหตุการณ์ร้ายแรงต่อส่วนร่วม” แนวคิดนี้ก็มีการนำไปใช้เมื่อประมาณเกือบ 50 ปีก่อนโดยนักนิเวศวิทยาอย่าง Garrett Hardin (ซึ่งเป็นคนที่มองว่า “เหตุการณ์ร้ายแรง” ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้) อย่างไรก็ตามที่มาที่ไปของตัวอย่างนี้ก็ไม่ได้รวมไปถึงระบบกลไกที่ปลุกเร้าให้มีการร่วมมือกันในการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง

“การกระทำของพวกเราทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปและในทางกลับกันการเปลี่ยนแปลงทางด้านสิ่งแวดล้อมก็มีอิทธิพลที่ช่วยปลุกเร้าการกระทำของพวกเราในอนาคต” กล่าวโดย Joshua Weitz ซึ่งเป็นหัวหน้าวิจัยและเป็นอาจารย์ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชีววิทยาในจอร์เจียและเป็นผู้อำนวยการของสถาบัน Interdisciplinary Graduate Program  “ทฤษฎีในรายงานของพวกเราก็มีจุดมุ่งหมายในเรื่องของการร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกันจนก่อให้เกิดวิวัฒนาการการกระทำแบบร่วมมือกันและสิ่งแวดล้อม”

ยังมีหลายกรณีตัวอย่างด้วยกันที่ชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ร้ายแรงต่อส่วนรวม ตัวอย่างนึงก็คือการยับยั้งการใช้ยาปฎิชีวนะในจุลินทรีย์ ยาปฎิชีวนะเป็นยาที่มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบใช้กันและมักจะชอบใช้ยาปฎิชีวนะต่อการทำเกษตรกรรมในการป้องกันศัตรูพืช ส่วนใหญ่ยาปฎิชีวนะมีการแพร่กระจายจนส่งผลต่อการมีผู้คนเจ็บไข้ได้ป่วยมากขึ้นจากโรคต่างๆที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยเหตุนี้แต่ละคนมักจะพยายามตักตวงผลประโยชน์ตัวเองให้มากที่สุดโดยที่ไม่คำนึงถึงผลผลิตสินค้าการเกษตรที่ด้อยลงจากการใช้ยาปฎิชีวนะ

กรณีตัวอย่างอื่นๆเกี่ยวกับการยับยั้งการตัดสินใจของแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการไม่ยอมฉีดวัคซีนป้องกันโรคของเด็กเล็กอย่างเช่นโรคหัด,โรคคางทูม,และโรคหัดเยอรมันนั้น สิ่งที่สำคัญมากเลยก็คือไม่มีการออกมายอมรับในงานวิจัยผิดๆที่มีความเชื่อมโยงระหว่างโรคออทิสซึมกับการฉีดวัคซีนที่ทำให้ทางพ่อแม่หลายคนไม่ตัดสินใจยอมฉีดวัคซีนให้กับลูกๆ จนถึงตอนนี้ประชากรมีภาวะภูมิคุ้มกันน้อยลง จากนั้นก็มีเชื้อโรคก็มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ผู้คนถึงขั้นเสียชีวิตได้จากการที่มีโรคระบาดแพร่เข้ามาเป็นบางช่วงหรือลุกลามอย่างรวดเร็ว

“แต่ละคนมีการแสดงออกถึงการปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง พยายามที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสำหรับสำหรับพวกเขาเพียงลำพัง โดยตอนจบนั้นจะดูแย่มากหากพวกเขาให้ความร่วมมือกัน” Weitz กล่าว “ตัวอย่างเช่นการประเมินว่าแต่ละคนจะทำการฉีดวัคซีนบ่อยมากเกินไปนั้น จะยิ่งทำให้เชื้อร้ายน่ากลัวมากขึ้น เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่เห็นว่าเชื้อร้ายจะต้องกลับมาหากมีการฉีดวัคซีนใหม่”

งานวิจัยได้เสนอการใช้เกมรูปแบบใหม่พร้อมกับทรัพยากรธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา,ทุ่งหญ้า,ยาปฎิชีวนะ,หรือการใช้วัคซีนที่ทำให้แต่ละคนเริ่มคำนึงถึงผลประโยชน์ตัวเอง สภาพแวดล้อมกับวิวัฒนาการการให้ความร่วมมือกันก็สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ที่ออกมาได้

“ผู้คนจะมีการใช้น้ำมากขึ้นก็ต่อเมื่อน้ำประปาเมื่อเหลืออยู่ไม่มาก ซึ่งต่างไปจากตอนที่ระดับน้ำมีเหลือเฟือ” Weitz กล่าว “เมื่อสิ่งต่างๆดูเลวร้ายมากขึ้นและสินค้าต่างๆเริ่มเหลือน้อยลง ก็อาจจะมีการให้ความร่วมมือกันเมื่ออยู่ในปัจจัยแวดล้อมที่ดี”

ไม่เหมือนกับกรณีตัวอย่างก่อนหน้านี้ที่แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ร้ายแรง ทางด้าน Weitz กับคณะก็ได้รายงานว่า เหตุการณ์ร้ายแรงสามารถเกิดขึ้นซ้ำๆได้อีกครั้ง รายงานอย่างเป็นทางการนั้น นักวิจัยหลายคนได้ทำการประยุกต์รูปแบบทฤษฎีเกมต่างๆที่มีแนวโน้มที่ผู้คนให้ความร่วมมือกันและตามเงื่อนไขปัจจัยแวดล้อม

เช่นกันงานวิจัยก็เผยให้เห็นถึงทฤษฎีที่ใช้ในการทดสอบเหตุการณ์ร้ายแรงที่ถูกเบี่ยงเบนไปโดยมีการประยุกต์ใช้ในทางคณิตศาสตร์ ตัวอย่างเช่นการวิเคราะห์ของ Weitz กับคณะนั้นก็พบว่า เหตุการณ์ร้ายแรงที่ถูกเบี่ยงเบนไปนั้น มีความเป็นไปได้เมื่อผู้คนให้ความร่วมมือกันแม้ว่าสภาพแวดล้อมจะขาดซึ่งทรัพยากรและยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง

“บทเรียนอื่นๆนั้นก็มีเรื่องของสภาพแวดล้อมในอุดมคติ” กล่าวโดย Weitz โดยเขากล่าวต่อไปว่า “กลุ่มคนที่เกาะกลุ่มเล็กๆก็สามารถทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมและเงื่อนไขปัจจัยสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า”


ผู้แปล : Mr.lawrence10

ที่มา : sciencedaily.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่