ห่างเพื่อนเพราะคำว่า “กูรักว่ะ” (ช vs ช)

เขื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนคงเคยมีประสบการณ์แอบรักเพื่อนของตัวเอง บางคนชอบเพื่อนแล้วบอกความรู้สึกชอบเค้าหรือแอบรักเค้าออกไป อาจจะมีสมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง แต่สำหรับผมเองมันคงผิดหวัง คือเรื่องนี้มันเกิดมานานแล้วครับเลยอยากจะระบายหรือคุยกับเพื่อนๆในพันทิปได้ฟัง

        เรื่องราวของผมนั้นเริ่มจากสมัย ม.1 ซึ่งตอนนั้นยังวัยเอ๊าะๆ จำได้ว่าตอนนั้นเป็นวันแรกของการมาเรียน ม.1 ซึ่งเป็นคาบโฮมรูม เค้าจะให้เด็กใหม่เข้าพบ อ.ที่ปรึกษาประจำชั้นของตนเอง  ผมเองก็ เป็นคนเงียบๆ เพราะไม่ได้สนิทหรือรู้จักใครเลย แต่ห้องของผมยังมีเพื่อนผู้หญิงที่เรียนจบจากโรงเรียนเดียวกันแต่ตอนนั้นไม่ได้สนิทกันแล้วได้มาอยู่ห้องเดียวกันด้วย ตอนนั้นก็เลยตัวคนเดียว
    
        เมื่อเข้าพบ อ.ที่ปรึกษา ผมก็มองหาที่นั่งเพื่อฟัง อ.ที่ปรึกษาพูดหน้าห้อง ตัวผมเองก็เงอะๆ  งะ ๆ หาที่นั่ง จนมีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง ขอเรียกมันว่า อ..... ก็แล้วกัน
    
        อ.... ก็เรียกผมมานั่งข้างๆมันก็ได้ในตอนนั้นเพราะคงเห็นผมมองหาที่นั่ง  แล้วเราก็นั่งฟัง อ.ที่ปรึกษาพูดหน้าห้องแล้ว อ.ให้เขียน ชื่อ-นามสกุล เผื่อจะได้รู้จักกัน เราก็ทักเค้าไปว่านายชื่อไร เรา ต.... นะ เต้าก็บอกว่าเค้าชื่อ อ..... ยินดีที่ได้รู้จัก นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของของ 2 คน ที่เราต้องมารู้จักกัน และเค้าก็เป็นเพื่อนคนแรกที่แปลกหน้าสำหรับคนอย่างผม
    
        พอตอนเรียนเราก็คุยกันบ้างแต่ไม่ได้สนิทหรือคุ้นเคยมาก  ผมน่ะพอจะมีเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งมันก็อยู่ต่างห้อง  จนเรียนไปสักระระยะหนึ่งเราก็พยายามเข้าหาเพื่อนคนอื่นๆ ด้วยจนผมรู้จักเพื่อนที่มาจากที่อื่นๆครบ และได้เป็นเพื่อนกันกับเพื่อนคนอื่นๆ ในที่สุด
    
          ตอนนั้นเพื่อนๆ ต่างก็เรียนกันไปตามแต่ละคน ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งซึ่งอยู่คนละห้องเป็นผู้หญิง เลยแบบว่าอยากแนะนำให้รู้จัก ไอ้เราก็พูดเล่นๆว่าเดี๋ยวแนะนำให้รู้จักและเป็นพ่อสื่อให้เพื่อน อ.....ทำนองนี้ จนเพื่อน อ...กับเพื่อนผู้หญิงต่างห้องก็รู้สึกดีต่อกันกับเพื่อน อ.... เราก็ยินดีกับเพื่อน ตามประสาเด็กๆอย่างเรา
    
           ตอน ม.1 ผมเงียบๆ แต่ก็เรียนคนเดียวเงียบๆ + บวกกับผมเป็นคนหัวดีด้วยเทอมนั้นเลยสอบได้ที่ 1 ของห้อง และด้วยความที่เรียนดีด้วยเพื่อนๆ คนอื่นเลยแบบว่าชอบเข้าหาเรา และที่สำคัญผมได้รับการโหวตจากเพื่อนๆ ในห้องให้เป็นหัวหน้าห้อง ตอน ม.2 และด้วยความที่ต้องเป็นหัวหน้าห้องจึงทำให้ผมรู้จักเพื่อนเยอะ เพื่อนเข้าหาผมเยอะ  มาขอลอกการบ้านบ้าง ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าไรก็ให้เพื่อนลอกไม่ได้หวงความรู้ไรเรา ผมจึงสนิทกับเพื่อนๆ เร็วหน่อย
    
           ตอน ม.2 เพื่อนที่ชื่อย่อ อ...... ก็สนิทเรามากกว่าเดิม สนิทชนิดที่ว่าให้รูปถ่ายตัวเองกับผมเลยตอนนั้นก็ งงๆ ว่า มาให้ผมทำไม เค้าบอกว่าเก็บไว้เถอะ เค้าไม่เคยเอารูปให้ใครเลยนะ ผมก็ งงๆ เออ  ออ เก็บรูปเพื่อนไว้เพื่อไม่เป็นการเสียมารยาท และเวลาทำงานกลุ่มเพื่อน อ...ก็มักจะมาขออยู่ด้วยตลอด ผมก็โอเคให้อยู่ด้วยกัน ทำงานกลุ่มอะไรด้วยกัน  
มีครั้งหนึ่งเรียนวิชาสังคม อ.ให้ไปเอาสมุดการบ้านที่ส่งกองไว้โต๊ะที่ห้องของกลุ่มสาระสังคม อ.ให้เราไปแล้วทีนี้สมุดมันเยอะเพื่อน อ.....ก็อาสาไปเป็นเพื่อน แล้วเพื่อน อ....บอกรีบๆไปเอาเร็วๆ แล้วจับมือเราวิ่งไปที่เอาสมุดการบ้านที่วางไว้โต๊ะ อ.ที่ห้องกลุ่มสาระ เราก็แปลกใจ ทำไมต้องจับมือเราวิ่งด้วย ทำให้ผมฉุกคิดมาว่าเพื่อนกันต้องทำกันขนาดนี้เลยหรอจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกดีๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
    
           พอมาตอน ม.3 เพื่อน อ....ก็ได้รับการโหวตให้เป็นหัวหน้าห้อง ผมก็คอยสอนงานเพื่อน อ..... ว่าต้องทำอะไร ยังไงบ้าง ซึ่งมันยิ่งทำให้เราสองคนสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ

       พอตอนเข้าค่ายพักแรมลูกเสือ ผมกับ อ..... อยู่คนละกลุ่ม นอนคนละเต้นท์ คืนนั้นผมก็ไม่ได้ทำไรหลังจาก อ.ให้เข้านอนพักผ่อน ผมก็เดินออกไปแปรงฟันก่อนนอน พอกลับเข้าเต้นท์ตัวเองก็งง ว่าเฮ้ยทำไมที่นอนผมมันดูกว้างและสะอาดกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ผมก็ถามเพื่อนในเต้นท์ว่าใครมาทำเนี่ย เพื่อนก็บอกว่าเพื่อน อ...... คนนั้นขอมานอนด้วย ผมก็แปลกใจทั้งๆที่อยู่คนละเต้นท์แล้วมานอนด้วย ยิ่งทำให้ผมคิดไปเองต่างๆนานาว่าเค้าคิดอะไรกับผมหรือเปล่า และที่สำคัญตอนนอนผมก็แอบลองเชิงเพื่อน อ.....โดยการนอนกอดเพื่อน อ...คนนั้นไป เพื่อน อ....ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ว่าไม่ชอบอะไรแบบนี้ แถมยังเป็นยามหน้าเต้นท์แล้วมักส่องไฟมาทางเราอีก เราก็แปลกๆละ นั่นมันทำให้ผมคิดไปว่าผมอาจจะชอบเพื่อนคนนี้ไปแล้วก็ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดไรให้ใครฟัง
    มีครั้งหนึ่งมีเรียนดนตรีไทยตอน ม.3 คือเพื่อนๆก็เรียนด้วยกันทั้งห้องแล่ะ แต่วันนั้นผมไปเข้าเรียนสายเพราะไปทำธุระที่ห้องวิชาการ  จากนั้นก็รีบเข้าเรียนตามเพื่อนๆ แล้วผมมองหาที่นั่งเรียนในห้อง พอดีตอนนั้น อ.ยังไม่เข้าสอน เพื่อนในห้องก็นั่งรวมกัน แต่ผมไม่มีที่นั่ง เพื่อน อ..... ก็สั่งให้เพื่อนที่นั่งเรียนใกล้ๆเค้าลุกไปนั่งที่อื่น แล้วปัดที่นั่งให้ผมพร้อมลากแขนผมเพื่อจะไปนั่งข้างๆเค้า  ผมก็แบบเวอร์ไปป่ะไล่เพื่อนที่มาก่อนให้ออกไปนั่งที่อื่น ไอ้เพื่อนที่มาก่อนมันก็ลุกไปนั่งที่อื่นๆ ตามน้ำ

    พอนานไปผมก็รู้สึกดีต่อเพื่อน อ.....มากขึ้นแต่เค้าก็ไม่ได้คิดอะไรหรือแสดงออกมาว่าจะยังไง อะไรกับผม และผมก็ไม่กล้าที่จะถามไปว่าคิดไรกับผมเปล่า  จึงเก็บความรู้สึกนี้มาซักพัก จนผมแน่ใจว่าผมควรจะบอกกับเพื่อนคนคนนี้ว่าผมคิดยังไงโดยกะว่าจะเขียนเรื่องราวต่างๆลงในสมุดบันทึกและวาดรูปคล้ายๆกับหนังเรื่องเพื่อนสนิทอ่ะ (เป็นหนังที่ปลื้มมาก)

    พอใกล้จบ ม.3 ผมก็ถามเค้าไปว่าจะเรียนต่อที่ไหน เรียนสายอะไร ส่วนผมตั้งใจว่าจะลองไปสอบเข้าโรงเรียนในเมือง พอคิดว่าจะต้องได้แยกย้ายกับเพื่อนๆที่เรียนมาด้วยกัน แน่นอนว่าสมัยนั้นมันต้องมีการเขียนสมุด friendship ให้กันเพื่อแทนความรู้สึกดีๆ กับเพื่อนๆ ในห้อง  ผมก็ทยอยให้เพื่อนเขียนรวมถึงเพื่อน อ......คนนั้นด้วย
ใน  friendship เค้าก็ให้เบอร์โทรกับอีเมล์มาผมก็เพิ่มเพื่อนลงใน  MSN (ช่วงนั้นยังไม่มี facebook เหมือนสมัยนี้) เผื่อมีอะไรติดต่อกัน  พอผมตั้งใจแน่ละว่าต้องไปเรียนในเมืองจึงเริ่มลงมือเขียนเรื่องราวต่างๆ แทนความรู้สึกดีๆลงในสมุดบันทึกที่มีต่อเพื่อน อ.....และวาดรูปเค้าให้กะว่าจะให้ตอนวันlสุดท้ายของการมาเรียน ม.ต้น

    พอวันสุดท้ายของ ม.ต้น (วันรับใบเกรด)ผมก็บอกเพื่อนคนนั้นว่า มาเจอผมตรงม้านั่งหลังอาคารเรียนหน่อย มีเรื่องจะพูดด้วย เค้าก็ตกลงมาตามนัด ผมก็ทำใจรอเค้าอยู่นาน จนเค้าเดินมาเองและผมก็แน่ใจละคงต้องบอกให้รู้ละว่าเรารู้สึกยังไง พอเค้ามาตามนัดเค้าก็นั่งกับผมแล้วเค้าถามว่ามีอะไรหรอ ผมก็อ้ำอึ้งไปพักหนึ่งแล้วจึงยื่นสมุดบันทึกที่เตรียมไว้แล้วบอกเค้าไปว่า......กู..... “กูรักอ่ะ” เพื่อน อ...... ฟังที่ผมบอกก็อึ้งนิดๆ แต่ไม่ได้พูดไร ผมก็แบบทำตัวไม่ถูกเลยลุกจากน้ามั่งแล้วหันหลังเดินไปที่มอเตอร์ไซต์ แล้วขับมอเตอร์ไซต์ออกจากโรงเรียนไปแบบนั้นเลย โดยไม่หันมามองเพื่อนคนนั้นเลย..........

    แล้วผมก็ไปสอบสอบเข้าเรียน ม.ปลาย ในเมืองได้ในที่สุด แล้วก็ไม่ได้ติดต่อเพื่อน อ......อีกเลย แต่ก็แอบถามๆ เพื่อนเก่าว่าที่โรงเรียนเดิมเป็นไงบ้าง ทุกคนยังสบายดีหรือเปล่า

    จนมาเรียน ม.ปลายในเมืองครบ 3 ปี ก็ถึงเวลาที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็สอบติดโควตาของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ที่มีประเพณีรับน้องขึ้นดอยสุเทพ แต่ไม่รู้ว่าเพื่อน อ......ก็มาสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยที่อยู่เยื้องๆ กับมหาวิททยาลัยผม เพราะไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ช่วงมาเรียนมหาวิทยาลัยผมก็ปรับตัวใหม่ ไม่ค่อยมีเวลาว่างเพราะมีกิจกรรมรับน้องตลอด ถ้าว่างก็เล่น MSN บ้าง ผมก็ลองทักเพื่อน อ....คนนี้ใน  MSN ตามอีเมล์ที่เค้าเขียนลงไว้ใน  friendship ไป เพราะไม่รู้ว่าเค้าเรียนที่ไหน ไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่ครั้งที่บอกความรู้สึกผมไป คงคิดว่าเค้าคงลืมไปแล้ว พอทักไปก็เพิ่งรู้ว่าผมกับเพื่อน อ......เรียนมหาวิทยาลัยใกล้ๆกัน ผมก็แปลกใจและแอบดีใจนะว่าทำไมมาเรียนใกล้ๆกัน  ก็อย่างว่าแล่ะด้วยความที่ผมไม่ค่อยได้เล่น MSN เค้าก็แบบเหมือนว่าไม่ได้เจอกันนาน เค้าบอกว่าว่างๆนัดไปกินข้าว กินไอติมด้วยกัน  ไอ้เราก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปหรอกแต่มันติดกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย เลยเลื่อนนัดเค้าไปทุกครั้งที่เค้าชวน เค้าก็ทวงเราตลอดว่าเมื่อไรจะว่างไปทานข้าวด้วยกัน พอเราบอกไม่ค่อยมีเวลาว่างจริงๆเค้าก็เลยเลิกชวน (สงสัยคงขี้เกียจตามเรา) แล้วก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ทั้งๆที่เราก็อยากคุยด้วยถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปทานข้าวด้วยกัน  จากนั้นเค้าก็หายไปอีก จนมารู้จักกันอีกทีใน facebook ผมก็มี facebook เค้า แล้วเพื่อนสมัย ม.ต้นก็สร้างกลุ่มเพื่อนเพื่อนัดกินเลี้ยงปีใหม่ช่วงหยุดเรียนที่บ้านเพื่อน ผมก็ลองไปซักครั้งเพื่อรำลึกเรื่องราวต่างๆของเพื่อนๆในอดีต ในตอนแรกก็ไม่คิดว่าเพื่อน อ.....คนนี้ จะมาด้วย เพราะไม่ได้เจอหน้ากัน ไม่ติดต่อกันนานเกือบ 7 ปี พอเจอกันผมก็เหมือนจะทำตัวไม่ถูกกับเพื่อน อ.....คนนี้  แต่เค้าก็ยังเหมือนเดิมคอยถามผมว่าเป็นยังไงบ้าง ไม่เจอกันนาน สบายดีมั้ย ทำไมชวนไปกินข้าวด้วยกันทำไมไม่ค่อยจะยอมไป แล้วเค้ายังถามผมอีกว่าเมาหรือเปล่า(กินเลี้ยงรวมรุ่นมักจะมีเหล้า เบียร์ เสมอ) กลับบ้านไหวไหม ผมก็ไม่ได้กินเหล้า เบียร์ เยอะ เพราะทางกลับบ้านมันค่อนข้างไกล  อันตราย และดึกด้วย

     จากที่นัดรวมรุ่มกันแล้วก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย จนผมอยู่ ปี 4 มาเจอเค้านั่งทานข้าวกับเพื่อนของเค้าที่หน้ามหาลัยผม ผมก็มาทานข้าวกับเพื่อนๆผม ผมกับเพื่อนๆในกลุ่มใส่เสื้อกาวน์สีขาว(เพราะเรียนสายการแพทย์) ผมก็เหลือบไปเห็นเค้านั่งโต๊ะใกล้ๆกับผม แต่ไม่รู้ว่าเค้าจะเห็นผมหรือจำผมได้หรือเปล่าแต่ต่างคนก็ต่างก็ไม่ได้ทักทายไรกันเลย ไม่ใช่ว่าผมหยิ่งหรืออะไรนะ แต่ เกรงใจเพื่อนๆทั้งของผมและของเค้าเองต่างหาก.......จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยจริงๆจนปัจจุบัน จนอายุย่างเข้าจะ 30 ปีแล้ว แต่ก็พอรู้ว่าเค้าเรียนปริญญาโทที่ ม.เอกชนใน กทม. แล้วจบปริญญาโทด้าน  animation ไรพวกนี้แล่ะครับ ที่ ม.รังสิต และก็เพิ่งรับปริญญาไปช่วงกลางเดือนธันวาคมปีนี้แล่ะ และเหมือนเค้าไปเป็น อ.สอนเด็กมหาวิทยาลัยไรทำนองนี้แล่ะ ผมก็ดีใจกับเค้าและก็นึกเสียดายที่ตอนนั้นไม่เคยจะไปตามที่เค้าชวน T-T มันเลยทำให้ผมกับเค้าห่างจากกันไปเลย...........
    

        ปล.1 ผมก็แอบเสียดายช่วงเวลาที่ผ่านมายังไงก็ไม่รู้
    ปล.2 เพื่อนผู้หญิงที่ผมเคยเป็นคนแนะนำให้เค้ารู้จักตอน ม.ต้น กลายเป็นทอมไปแล้ว
        คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่