ชื่อกระทู่ที่เว่อวังอลังการ เหมือนหนังแนวกอบกู้โลกที่ฮอลลีวู๊ดสร้างมาดูดเงินในกระเป๋าพวกเรา แต่มันไม่ใช่เพราะสิ่งนี้เป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถเกิดขึ้นในโลกของเราได้ และมันอาจเป็นคำตอบที่ช่วยกอบกู้โลกของพวกเราจากหายนะได้จริงๆ
Yellowstone หรือเจ้าหินเหลืองคือชื่อของอุทยานแห่งชาติชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ด้วยทัศนียภาพที่ไม่เหมือนที่ใดในโลก เยลโล่สโตนเต็มไปด้วยน้ำพุร้อนที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ภายใต้ผืนดินลึกลงไป มันคือมหาภูเขาไฟขนาดยักษ์ที่สามารถลบมวลมนุษยชาติออกจากประวัติศาสตร์โลกได้อย่างง่ายดาย
เยลโล่สโตนคือซุปเปอร์โวลคาโนที่ยังมีพลัง นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาพบว่ามันมีวงรอบการระเบิดทุก 6-7 แสนปีโดยประมาณ ซึ่งขณะนี้เลยวงรอบไปแล้ว เราจึงอยู่ในยุคที่อาจเกิดระเบิดครั้งใหญ่ โดยขณะนี้เยลโล่สโตนมีกิจกรรมทางธรณีวิทยามากขึ้นเรื่อยๆ และการศึกษาล่าสุดก็พบว่าปริมาณแมกม่าภายใต้แอ่งของเยลโล่สโตนมีมากกว่า 4.4 เท่าของที่เราเคยคาดการณ์ไว้ แสดงถึงวิกฤติที่อาจอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่
นักวิทยาศาสตร์จึงได้ปรับระยะการระเบิดจากที่เคยคิดว่ามันอาจระเบิดในสหัสวรรษหรือศตวรรษมาเป็นทศวรรษ คือแทนที่จะระเบิดในพันปีหรือร้อยปีข้างหน้า มันอาจระเบิดใน 10 ปีนี้หรือ 10 ปีข้างหน้าหรือสิบปีต่อๆไป ซึ่งมันอาจไม่ระเบิดในยุคของเรา แต่จะระเบิดในรุ่นลูก ไม่ก็รุ่นหลานของเรา แล้วพวกเราจะปล่อยให้คนรุ่นต่อไปเผชิญกับมหันตภัยล้างโลกหรือที่พระคัมภีร์เรียกว่า Armageddon โดยที่ไม่พยายามทำอะไรอย่างนั้นหรือ
ในภาพยนตร์ชื่อเดียวกันนี้ นาซ่าได้ส่งคุณลุง บรู๊ช วิลลิส บินฝ่าอวกาศไปเจาะรูบนดาวหางแล้วหย่อน Nuke ระเบิดมันให้สิ้นซากไป ซึ่งอาร์มาเกดดอนในโลกแห่งความเป็นจริงก็คงไม่หนีไปจากพล็อตแบบนี้เท่าไหร่ เราก็แค่เจาะรูแล้วเข้าไปดับเจ้าเยลโล่สโตนนี้ซะ
คนที่เสนอแนวคิดนี้ก็คือนักวิทยาศาสตร์จากนาซ่านั่นเอง โดยนาย Brian Wilcox จาก Nasa’s Jet Propulsion Laboratory (JPL) ที่ California Institute of Technology. นักวิทยาศาสตร์หัวกระทิที่ศึกษาอันตรายจากดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อย ซึ่งเขาได้ข้อสรุปว่า “ผมได้ข้อสรุปจากการศึกษาซุปเปอร์โวลคาโน พบว่ามันมีอันตรายมากกว่าดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยมาก” เขาจึงเริ่มศึกษาและเสนอแผนอย่างจริงจังที่จะกอบกู้โลกใบนี้จากวันล้างโลกที่เกิดจากเยลโล่สโตน เพราะหากเยลโล่สโตนระเบิดขึ้นเมื่อใด มันจะส่งเถ้าธุลีปกคลุมโลกให้มืดมิดเป็นเวลาหลายปี พืชพรรณจะล้มตาย ความอดอยากจะแพร่ไปทั่วโลก ซึ่งอาหารสำรองของโลกจะมีพอเพียงแค่ 74 วันเท่านั้น คนที่รอดก็จะเจอกับความหนาวเย็นที่แสนทรมาน โลกจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งภูเขาไฟ
เยลโลสโตนเป็นแหล่งผลิตความร้อนขนาดยักษ์ โดยมีความร้อนรั่วไหลสู่อากาศเบื้องบน 6 GW เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้า 6 โรง โดยความร้อนที่รั่วไหลจากใต้ภิภพสู่อากาศเบื้องบนคิดเป็น 60-70% ส่วนความร้อนที่เหลือสะสมอยู่เบื้องล่างโดยที่ไม่มีทางระบายออกไปได้เลย มันจึงร้อนขึ้นเรื่อยๆจนระเบิดเข้าสักวัน ซึ่งถ้าจะยับยั้งการระเบิดก็ต้องหาทางระบายความร้อนให้มากพอ โดยนักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าคำนวณว่าถ้าระบายความร้อนออกได้อีก 35% เยลโล่สโตนก็จะไม่ระเบิด คำถามคืออย่างไร
ไบรอัน วิลค็อก ได้เสนอแนวคิดที่ท้าทาย โดยแผนของเขาน่าสนใจมากทั้งในแง่เทคนิคและความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ โดยเขาเสนอให้เจาะรูที่มีความลึก 10 กิโลเมตรไปที่ด้านข้างใกล้ๆกับห้องแมกม่าที่อยู่ใต้เยลโล่สโตน เนื่องจากการเจาะที่ด้านบนโดยตรงมีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้เกิดหายนะขึ้นเอง จากนั้นก็ปั๊มน้ำแรงดันสูงหมุนเวียนลงไปในท่อ เพื่อให้มีการถ่ายเทความร้อนจากห้องแมกม่าไปยังน้ำ ซึ่งผลที่ได้คือน้ำอุณหภูมิสูง 350 C (662 F) ซึ่งสามารถนำมันไปผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นผลพลอยได้ของโครงการ โดยเขาได้ประเมินเงินลงทุนของโครงการไว้ที่ $3.46bn (114,000 ล้านบาท) ซึ่งจะได้ต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า $0.10/kWh การลงทุนที่สูงนี้จะต้องให้รัฐบาลกำหนดมาตรการจูงใจให้บริษัทผลิตกระแสไฟฟ้าจากใต้พิภพเข้ามาลงทุนก็จะทำให้โครงการเกิดได้ง่ายขึ้น
ถ้าวิธีการนี้สำเร็จ มันจะสามารถหล่อเย็นเยลโล่สโตนลงได้ปีละเกือบ 1 เมตรหรือ 3.2 ฟุต ที่อัตรานี้มันก็ต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปีในการระบายความร้อนจนถึงระดับที่ทำให้เยลโล่สโตนปลอดภัย แต่ในโลกก็มีภูเขาไฟระดับซุปเปอร์ที่ยังมีพลังอีกมากถึง 20 ลูกซึ่งพร้อมที่จะคุกคามอนาคตของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเยลโล่สโตนก็จะเป็นต้นแบบให้ให้กับประเทศอื่นๆทำตามได้เช่นกัน
แม้โครงการนี้จะดูว่ามีความเป็นไปได้ แต่มันก็อาจจะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะยังมีปัญหาทางเทคนิคอีกมากมายที่จะต้องแก้ไข และความขัดแย้งทางสังคมที่จะต้องตามมา เนื่องจากปริมาณน้ำที่จะใช้ในการะบายความร้อนจะต้องมีมากมหาศาลซึ่งจะกระทบต่อประชาชนจำนวนมากในรัฐใกล้เคียง ซึ่งแนวคิดนี้ก็เป็นเพียงแค่ก้อนหินถามทางที่ถูกโยนออกมาให้ชุมชนนักวิทยาศาสตร์ได้ถกเถียงกันอีกนานก่อนที่จะมีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันตามมา
ไปดูนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังเถียงกัน ในประเด็นนี้

เรียบเรียงจาก
http://www.iflscience.com/environment/nasa-drill-yellowstone-supervolcano-order-save-planet/all/
http://www.bbc.com/future/story/20170817-nasas-ambitious-plan-to-save-earth-from-a-supervolcano
https://www.sciencealert.com/there-s-four-times-more-magma-below-yellowstone-than-previously-thought
https://thenextweb.com/insider/2017/08/24/nasa-has-a-3b-plan-to-drill-into-a-volcano-in-hopes-of-saving-the-united-states/
http://www.cetusnews.com/tech/NASA-reveals-%27risky%27-plan-to-COOL-Yellowstone-by-drilling-it.SJUgO1yH_Z.html
แผนลับดับ Yellow Stone
Yellowstone หรือเจ้าหินเหลืองคือชื่อของอุทยานแห่งชาติชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ด้วยทัศนียภาพที่ไม่เหมือนที่ใดในโลก เยลโล่สโตนเต็มไปด้วยน้ำพุร้อนที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ภายใต้ผืนดินลึกลงไป มันคือมหาภูเขาไฟขนาดยักษ์ที่สามารถลบมวลมนุษยชาติออกจากประวัติศาสตร์โลกได้อย่างง่ายดาย
เยลโล่สโตนคือซุปเปอร์โวลคาโนที่ยังมีพลัง นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาพบว่ามันมีวงรอบการระเบิดทุก 6-7 แสนปีโดยประมาณ ซึ่งขณะนี้เลยวงรอบไปแล้ว เราจึงอยู่ในยุคที่อาจเกิดระเบิดครั้งใหญ่ โดยขณะนี้เยลโล่สโตนมีกิจกรรมทางธรณีวิทยามากขึ้นเรื่อยๆ และการศึกษาล่าสุดก็พบว่าปริมาณแมกม่าภายใต้แอ่งของเยลโล่สโตนมีมากกว่า 4.4 เท่าของที่เราเคยคาดการณ์ไว้ แสดงถึงวิกฤติที่อาจอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่
นักวิทยาศาสตร์จึงได้ปรับระยะการระเบิดจากที่เคยคิดว่ามันอาจระเบิดในสหัสวรรษหรือศตวรรษมาเป็นทศวรรษ คือแทนที่จะระเบิดในพันปีหรือร้อยปีข้างหน้า มันอาจระเบิดใน 10 ปีนี้หรือ 10 ปีข้างหน้าหรือสิบปีต่อๆไป ซึ่งมันอาจไม่ระเบิดในยุคของเรา แต่จะระเบิดในรุ่นลูก ไม่ก็รุ่นหลานของเรา แล้วพวกเราจะปล่อยให้คนรุ่นต่อไปเผชิญกับมหันตภัยล้างโลกหรือที่พระคัมภีร์เรียกว่า Armageddon โดยที่ไม่พยายามทำอะไรอย่างนั้นหรือ
ในภาพยนตร์ชื่อเดียวกันนี้ นาซ่าได้ส่งคุณลุง บรู๊ช วิลลิส บินฝ่าอวกาศไปเจาะรูบนดาวหางแล้วหย่อน Nuke ระเบิดมันให้สิ้นซากไป ซึ่งอาร์มาเกดดอนในโลกแห่งความเป็นจริงก็คงไม่หนีไปจากพล็อตแบบนี้เท่าไหร่ เราก็แค่เจาะรูแล้วเข้าไปดับเจ้าเยลโล่สโตนนี้ซะ
คนที่เสนอแนวคิดนี้ก็คือนักวิทยาศาสตร์จากนาซ่านั่นเอง โดยนาย Brian Wilcox จาก Nasa’s Jet Propulsion Laboratory (JPL) ที่ California Institute of Technology. นักวิทยาศาสตร์หัวกระทิที่ศึกษาอันตรายจากดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อย ซึ่งเขาได้ข้อสรุปว่า “ผมได้ข้อสรุปจากการศึกษาซุปเปอร์โวลคาโน พบว่ามันมีอันตรายมากกว่าดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยมาก” เขาจึงเริ่มศึกษาและเสนอแผนอย่างจริงจังที่จะกอบกู้โลกใบนี้จากวันล้างโลกที่เกิดจากเยลโล่สโตน เพราะหากเยลโล่สโตนระเบิดขึ้นเมื่อใด มันจะส่งเถ้าธุลีปกคลุมโลกให้มืดมิดเป็นเวลาหลายปี พืชพรรณจะล้มตาย ความอดอยากจะแพร่ไปทั่วโลก ซึ่งอาหารสำรองของโลกจะมีพอเพียงแค่ 74 วันเท่านั้น คนที่รอดก็จะเจอกับความหนาวเย็นที่แสนทรมาน โลกจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งภูเขาไฟ
เยลโลสโตนเป็นแหล่งผลิตความร้อนขนาดยักษ์ โดยมีความร้อนรั่วไหลสู่อากาศเบื้องบน 6 GW เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้า 6 โรง โดยความร้อนที่รั่วไหลจากใต้ภิภพสู่อากาศเบื้องบนคิดเป็น 60-70% ส่วนความร้อนที่เหลือสะสมอยู่เบื้องล่างโดยที่ไม่มีทางระบายออกไปได้เลย มันจึงร้อนขึ้นเรื่อยๆจนระเบิดเข้าสักวัน ซึ่งถ้าจะยับยั้งการระเบิดก็ต้องหาทางระบายความร้อนให้มากพอ โดยนักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าคำนวณว่าถ้าระบายความร้อนออกได้อีก 35% เยลโล่สโตนก็จะไม่ระเบิด คำถามคืออย่างไร
ไบรอัน วิลค็อก ได้เสนอแนวคิดที่ท้าทาย โดยแผนของเขาน่าสนใจมากทั้งในแง่เทคนิคและความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ โดยเขาเสนอให้เจาะรูที่มีความลึก 10 กิโลเมตรไปที่ด้านข้างใกล้ๆกับห้องแมกม่าที่อยู่ใต้เยลโล่สโตน เนื่องจากการเจาะที่ด้านบนโดยตรงมีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้เกิดหายนะขึ้นเอง จากนั้นก็ปั๊มน้ำแรงดันสูงหมุนเวียนลงไปในท่อ เพื่อให้มีการถ่ายเทความร้อนจากห้องแมกม่าไปยังน้ำ ซึ่งผลที่ได้คือน้ำอุณหภูมิสูง 350 C (662 F) ซึ่งสามารถนำมันไปผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นผลพลอยได้ของโครงการ โดยเขาได้ประเมินเงินลงทุนของโครงการไว้ที่ $3.46bn (114,000 ล้านบาท) ซึ่งจะได้ต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า $0.10/kWh การลงทุนที่สูงนี้จะต้องให้รัฐบาลกำหนดมาตรการจูงใจให้บริษัทผลิตกระแสไฟฟ้าจากใต้พิภพเข้ามาลงทุนก็จะทำให้โครงการเกิดได้ง่ายขึ้น
ถ้าวิธีการนี้สำเร็จ มันจะสามารถหล่อเย็นเยลโล่สโตนลงได้ปีละเกือบ 1 เมตรหรือ 3.2 ฟุต ที่อัตรานี้มันก็ต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปีในการระบายความร้อนจนถึงระดับที่ทำให้เยลโล่สโตนปลอดภัย แต่ในโลกก็มีภูเขาไฟระดับซุปเปอร์ที่ยังมีพลังอีกมากถึง 20 ลูกซึ่งพร้อมที่จะคุกคามอนาคตของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเยลโล่สโตนก็จะเป็นต้นแบบให้ให้กับประเทศอื่นๆทำตามได้เช่นกัน
แม้โครงการนี้จะดูว่ามีความเป็นไปได้ แต่มันก็อาจจะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะยังมีปัญหาทางเทคนิคอีกมากมายที่จะต้องแก้ไข และความขัดแย้งทางสังคมที่จะต้องตามมา เนื่องจากปริมาณน้ำที่จะใช้ในการะบายความร้อนจะต้องมีมากมหาศาลซึ่งจะกระทบต่อประชาชนจำนวนมากในรัฐใกล้เคียง ซึ่งแนวคิดนี้ก็เป็นเพียงแค่ก้อนหินถามทางที่ถูกโยนออกมาให้ชุมชนนักวิทยาศาสตร์ได้ถกเถียงกันอีกนานก่อนที่จะมีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันตามมา
ไปดูนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังเถียงกัน ในประเด็นนี้
เรียบเรียงจาก
http://www.iflscience.com/environment/nasa-drill-yellowstone-supervolcano-order-save-planet/all/
http://www.bbc.com/future/story/20170817-nasas-ambitious-plan-to-save-earth-from-a-supervolcano
https://www.sciencealert.com/there-s-four-times-more-magma-below-yellowstone-than-previously-thought
https://thenextweb.com/insider/2017/08/24/nasa-has-a-3b-plan-to-drill-into-a-volcano-in-hopes-of-saving-the-united-states/
http://www.cetusnews.com/tech/NASA-reveals-%27risky%27-plan-to-COOL-Yellowstone-by-drilling-it.SJUgO1yH_Z.html