สวัสดีค่ะ ปัจจุบันจขกท. เป็นนักศึกษาปี 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งค่ะ ขณะนี่กำลังประสบปัญหาทางการเรียนทั้งทีในชีวิตนี้ไม่เคยประสบมาก่อน ซึ่งหลังจากคิดทบทวนมาหลายหนแล้ว คิดว่าน่าจะเกิดจากการที่ จขกท. มีความรู้สึกหมดแรงจูงใจในการเรียนนั่นเอง
อับดับแรกขอเล่าก่อนว่า ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม สอบเข้า จขกท. มีผลการเรียนและการสอบทุกที่น่าประทับใจมาก อีกทั้งยังได้ทุนการศึกษาจากความเรียนเก่งของตนเองด้วย ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตนักเรียนสายสามัญ จขกท. ได้สอบเข้าคณะหนึ่งซึ่งเป็นคณะในความฝันของตัว จขกท. เอง ด้วยความที่ จขกท. รู้ดีว่าเป็นคณะที่สอบเข้ายาก จขกท. เองก็กดดัน แต่ก็สามารถผ่านไปได้ หลังจากนั่น จขกท. ก็ได้เข้ามาเรียนในคณะนั้นค่ะ
คณะของจขกท. นั้น นอกจากเป็นคณะที่เป็นที่คาดหวังจากตัวเอง แล้วยังเป็นที่คาดหวังจากพ่อแม่ ญาติๆ เพื่อนพ่อแม่ที่มีลูกรุ่นเดียวกันแและแอบแข่งกันเล็กน้อย ครูในโรงเรียน และเพื่อนอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อนที่ร่วมฝัน จำนวนผ่านมาและสอบผ่านเช่นเดียวกับ จขกท. อีกส่วนหนึ่งพลาดไปและเดินสายใหม่ บางกลุ่มตัดสินใจที่จะซิวกลับมาซึ่งก็มีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ช่วงเวลาที่ จขกท. สอบผ่าน และได้สิทธิเป็นตัวจริงโดยสมบูรณ์นั้นนับเป็ฯช่วงเวลาที่สุดยอดมาก ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตค่ะ เพราะในตอนนั้นทุกคนเหมือนชื่นชมเรา ยกย่องเรา แม้กระทั่งไปซื้อของเตรียมตัวเข้ามหาลัย (พวกชุดนศ. นาฬิกาข้อมือที่อยากเปลี่ยนใหม่ ของอื่นๆ) พี่ๆ ที่ร้ายเมื่อทราบก็จะชมออกปาก บางร้านชอบมากลดราคาของให้ยังมีเลย มันเป็นช่วงเวลาที่ จขกท. รู้สึกว่าตัวเองเป็นบุคคลทรงคุณค่า รู้สึกว่า "เอ่อนะ ที่ทำไป ที่ทุ่มเท มันตอบแทนเราแล้ว ที่เหลือก็แค่เรียนให้จบมหาลัย"
แน่นอนว่ามีคนชอบ ก็มีคนไม่ชอบด้วยค่ะ ญาติจขกท.บางคนปรามาสว่า "สอบได้ก็ใช่ว่าจะเรียนจบ" ซึ่ง จขกท. ไม่ว่า ไม่โกรธนะ คือเข้าใจ มันเรียนยาก ใช่ว่าจะเรียนจบง่ายๆ แต่จขกท. รู้สึกว่า "ถ้ามันสอบได้ มันก็คงพอมีทางให้เรียนจบได้แหละนะ" โดยที่จขกท. ในตอนนั้นไม่รู้เลยว่าอนาคตอาจจะไม่รู้สึกอย่างนี่แล้ว
หลังจากเข้าเรียนทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดีค่ะ...ในปีแรก แต่พอเริ่มขึ้นปีสองมีหลายอย่างด้วยกันที่จขกท.รู้สึกว่ามันไม่เข้ากับตัวจขกท. เลย ทั้งเนื้อหาที่เรียน ไลฟ์สไตล์ ตัวเราเองก็รู้สึกเหมือนกับว่าเราทนกับอะไรอยู่ เราเรียนไปทำไม ไม่ใช่ตัวเรา เรียนเพื่ออะไร ถามว่า จขกท. ตอบคำถามได้ไหม ตอบได้ค่ะ...เพื่ออนาคตทีดี เพื่อการงานที่มั่นคง เพื่อพ่อแม่ เพื่อญาติ เพื่อตัวเอง ทนไปเถอะ เรียนจบเดี๋ยวแกก็มีเวลาเป็นของตัวเองแล้ว ไปทำในสิ่งที่แกชอบ แกมีงานดีๆ มีเงินลงทุนทำในสิ่งที่อยากทำได้ แต่ก็นะคะ มันเหมือนคนหมดไฟ ที่ขับเคลื่อนต่อไปเป็นเพียงเปลวไฟริบหรี่ จากนั้นเกรดของจขกท. ค่อยๆ ล่วงดิ่งเหวลงเรื่อยๆ ค่ะ แปรผกผันการความรู้สึกอึดอัดที่รังแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ผ่านมาแบบเฉียดฉิว แต่ก็ผ่านปีสองมาได้
ในช่วงระหว่างปีสอง จขกท. ก็ไม่ได้จะปิดบังเกรดอะไร แต่พ่อแม่ของจขกท. เหมือนจะไม่ทราบว่าเกรดของจขกท.ไม่ดีนัก (คือถามก็บอก เครียดวิชาไหนก็บอก ทำได้เท่าไรก็บอกนะคะ แต่เหมือนเขาจะปล่อยผ่านๆ ไป เหมือนเรื่องที่เราพูดทะลุผ่านไปเปล่าๆ) ระหว่างนั่นพวกท่านก็ยังพูดบิ้วและคาดหวังกับตัว จขกท. อีกหลายครั้งว่า "อยากให้ลูกสอบให้ได้เกียรตินิยมนะ" พอเราแย้งว่าอาจไม่ได้นะ เรารู้สึกไม่เข้ากับมันเลย เราอาจทำไม่ได้ก็ได้ เขาก็ชอบพูดทำนองว่า "ไใม่เป็นไร อันดับหนึ่งไม่ได้ อันดับสองก็ได้ แม่เชื่อว่าทำได้ อย่าไปตั้งป้อมกับตัวเองสิ" โดยที่แม้จขกท. จะยืนยันว่ารู้สึกไม่ชอบเรื่องที่เรียนนัก อาจทำได้ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน แต่พวกเขาก็ยังพูดแบบเดิม
ในปี 3 จขกท. มีจุดที่ต้องแก้วิชาหนึ่ง (จริงๆ ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนะคะ แต่บังเอิญว่าครั้งสุดท้ายที่จขกท.แก้มันนานมาแล้ว ที่ผ่านมาก็ผ่านมาตลอด ไม่ได้มีปัญหาอะไร คะแนนอาจไม่สูงนัก แต่ผ่านไปได้ ประมาณนี้) แล้วก็นำไปบ่นให้พ่อแม่ฟังตามปกติ บอกว่าเรารู้สึกเหนื่อยและผิดหวังที่ทำได้แค่นี่ ซึ่งคุณแม่ของจขกท. ก็พูดในเชิงทำนองว่า "ครั้งนี้พลาดไม่เป็นไรหรอก" ก็ว่าไป แต่ จขกท. ค่อนข้างท้อมาก เลยบอกไปว่า "หนูทำให้ไม่ไหวหรอกเกียรตินิยม ขอแค่เรียนจบได้ไหม" ท่านก็บอกว่า "อย่าไปกดดันสิ ได้ไม่ได้ก็ไม่รู้เลย ลูกแค่เรียนไปเรื่อยๆ ถ้าได้ก็ดี คิดอย่างงั้นสิ" ฟังจบเราก็รู้กสึกโล่งใจนะ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
วันนี้มันก็มีทริกเกอร์เกิดขึ้นค่ะ คือปกติแล้ว จขกท. ไม่ค่อยได้กลับบ้าน เพราะปิดเทอมไม่กี่วัน เสาร์อาทิตย์ก็บ้างทีมีเรียน นานๆ ที ถึงกลับบ้าน ครั้งนี้ จขกท.กลับมาพักผ่อนที่บ้าน และก็รีแลกซ์ตามปกติเหมือนทุกครั้งที่กลับบ้านค่ะ พ่อแม่ของ จขกท. ไม่ค่อยดูแลและอยู่ที่บ้าน ทั้งคู่ต้องออกไปทำงานด้านนอก ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน ก็จะสถิตในห้างจนกว่าพ่อแม่มารับ เพราะจขกท. ขับรถไม่เป็น และต่อให้ขับเป็นก็ไม่มีรถให้ขับ ก็เลยสถิตเป็นที่ๆ ไป หลังจากที่พวกท่านทำงานเสร็จและกลับมาบ้านตอนเย็นก็ออกไปทานของกินเล่นกันตามประสาครอบครัวและะก็กลับบ้านค่ะ
แม่ของจขกท. ก็ถามตามปกตินั่นแหละว่าอ่านหันงสือยัง ต้องอ่านนะ วันนี้อ่านยัง เราก็บอกนะคะว่า "อ่านบ้าง" แต่ ณ ตอนที่ตอนที่ตอบ จขกท. ก็ไม่ได้อ่านหนังสือหรอกนะคะ อย่างที่บอกว่าปกติกลับมาบ้านมักจะรีแลกซ์เป็นส่วนใหญ่ วันนี้แม่จำจี้จำไชเป็นพิเศษ สุดท้ายก็พูดออกมาว่า "แกเอาเวลาไปดูหนัง ดูของที่แกชอบไง เดี๋ยววิชานี่แกก็ต้องแก้อีก ถ้าแกมั่วแต่เอาเวลามาทำอย่างนี้ ขณะที่เพื่อนแกนั่งอ่านหนังสือ แกจะสู้เขาได้ไง ฉันพูดแค่นี่แหละ แกโตแล้วแกคิดได้"
คือตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ นะ คือในตัวจขกท. รู้สึกว่า ตัวเองฝืนมากๆ ที่จะประคองทุกอย่างตอนนี้ จขกท.ยอมรับนะคะ ว่าผลการเรียนที่ออกมาส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ หมดไฟที่จะเรียน จึงไม่เอาใจใส่มันที่ควร ยิ่งเมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่ขยันตาตั้ง อ่านแทบทุกลมหายใจ เราเทียบไม่ติด ความรู้สึกของเรามันเป็นแค่ สอบให้มันผ่านๆ ไปก็พอ แต่พอแม่พูดอย่างนี้ เรารู้สึกเหมือนแม่ไม่เคยฟังเสียงที่เราพร่ำบอกท่านตลอดสองปีเลย
ครั้งหนึ่งมีนักเขียนที่แม่ชอบ เขียนหนังสือเกี่ยวกับคณะของเรา อ่านๆไปเจอ ประโยคหนึ่งว่า "เด็ก 5 % ทีเข้ามาเรียนจะพบว่าตัวเองไม่ชอบวิชานี้" ตอนนั้นเราก็ชี้ให้ท่านอ่านแล้วบอกว่า นี่แหละเราเลย แต่เหมือนทานจะไม่เข้าใจเราก็ชัดๆ ไปว่า "เหมือนที่พบว่าไม่ชอบวิชานี่ไงค่ะ" หลังจากนั้นท่านก็เงียบไม่พูดอีก ไม่ใช่แค่ครั้งนั้นที่พยายาม เราบอกหลายครั้งก็ไม่ชอบ และรู้สึกว่าถ้าฝืนเรียนจบคงพอไว้ แต่ถ้าให้ดีเลิศเว่อวังคงไม่ได้ แต่เหมือนไม่มีใครฟังเราเลย
ปี 3 นี้นับว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของคณะเราค่ะ ต้องมีการสอบครั้งสำคัญชี้เป็นชี้ตายด้วย เทียบได้เป็นสอบเอนอีกรอบเลยก็ว่าได้ เดิมทีเราก็มีความกดดันมากอยู่แล้ว แม่ก็เหมือนไม่เข้าใจเราเลย
ตอนนี้เราเหนื่อยมากๆ รู้สึกเหมือนยิ่งทำยิ่งไร้ค่า จบไปเกรดไม่ดีก็แย่ ตั้งใจทำเกรดให้ดีก็ทรมาน จะหยุดก็ไม่ได้ เดินต่อก็ยากเย็น
ชีวิตไม่เคยง่าย เราก็ไม่คิดว่ามันง่ายนะ...หวังว่าครั้งนี้เราจะผ่านมันไปได้
ผ่านไปแบบที่เรามีความสุข พ่อแม่มีความสุข และทุกคนก็ความสุข ...มันเป็นไปได้สินะ
[ขอกำลังใจ] จากเด็กมหาลัยที่ท้อแท้ รู้สึกผิด และไม่มีใครยอมฟัง
อับดับแรกขอเล่าก่อนว่า ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม สอบเข้า จขกท. มีผลการเรียนและการสอบทุกที่น่าประทับใจมาก อีกทั้งยังได้ทุนการศึกษาจากความเรียนเก่งของตนเองด้วย ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตนักเรียนสายสามัญ จขกท. ได้สอบเข้าคณะหนึ่งซึ่งเป็นคณะในความฝันของตัว จขกท. เอง ด้วยความที่ จขกท. รู้ดีว่าเป็นคณะที่สอบเข้ายาก จขกท. เองก็กดดัน แต่ก็สามารถผ่านไปได้ หลังจากนั่น จขกท. ก็ได้เข้ามาเรียนในคณะนั้นค่ะ
คณะของจขกท. นั้น นอกจากเป็นคณะที่เป็นที่คาดหวังจากตัวเอง แล้วยังเป็นที่คาดหวังจากพ่อแม่ ญาติๆ เพื่อนพ่อแม่ที่มีลูกรุ่นเดียวกันแและแอบแข่งกันเล็กน้อย ครูในโรงเรียน และเพื่อนอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อนที่ร่วมฝัน จำนวนผ่านมาและสอบผ่านเช่นเดียวกับ จขกท. อีกส่วนหนึ่งพลาดไปและเดินสายใหม่ บางกลุ่มตัดสินใจที่จะซิวกลับมาซึ่งก็มีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ช่วงเวลาที่ จขกท. สอบผ่าน และได้สิทธิเป็นตัวจริงโดยสมบูรณ์นั้นนับเป็ฯช่วงเวลาที่สุดยอดมาก ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตค่ะ เพราะในตอนนั้นทุกคนเหมือนชื่นชมเรา ยกย่องเรา แม้กระทั่งไปซื้อของเตรียมตัวเข้ามหาลัย (พวกชุดนศ. นาฬิกาข้อมือที่อยากเปลี่ยนใหม่ ของอื่นๆ) พี่ๆ ที่ร้ายเมื่อทราบก็จะชมออกปาก บางร้านชอบมากลดราคาของให้ยังมีเลย มันเป็นช่วงเวลาที่ จขกท. รู้สึกว่าตัวเองเป็นบุคคลทรงคุณค่า รู้สึกว่า "เอ่อนะ ที่ทำไป ที่ทุ่มเท มันตอบแทนเราแล้ว ที่เหลือก็แค่เรียนให้จบมหาลัย"
แน่นอนว่ามีคนชอบ ก็มีคนไม่ชอบด้วยค่ะ ญาติจขกท.บางคนปรามาสว่า "สอบได้ก็ใช่ว่าจะเรียนจบ" ซึ่ง จขกท. ไม่ว่า ไม่โกรธนะ คือเข้าใจ มันเรียนยาก ใช่ว่าจะเรียนจบง่ายๆ แต่จขกท. รู้สึกว่า "ถ้ามันสอบได้ มันก็คงพอมีทางให้เรียนจบได้แหละนะ" โดยที่จขกท. ในตอนนั้นไม่รู้เลยว่าอนาคตอาจจะไม่รู้สึกอย่างนี่แล้ว
หลังจากเข้าเรียนทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดีค่ะ...ในปีแรก แต่พอเริ่มขึ้นปีสองมีหลายอย่างด้วยกันที่จขกท.รู้สึกว่ามันไม่เข้ากับตัวจขกท. เลย ทั้งเนื้อหาที่เรียน ไลฟ์สไตล์ ตัวเราเองก็รู้สึกเหมือนกับว่าเราทนกับอะไรอยู่ เราเรียนไปทำไม ไม่ใช่ตัวเรา เรียนเพื่ออะไร ถามว่า จขกท. ตอบคำถามได้ไหม ตอบได้ค่ะ...เพื่ออนาคตทีดี เพื่อการงานที่มั่นคง เพื่อพ่อแม่ เพื่อญาติ เพื่อตัวเอง ทนไปเถอะ เรียนจบเดี๋ยวแกก็มีเวลาเป็นของตัวเองแล้ว ไปทำในสิ่งที่แกชอบ แกมีงานดีๆ มีเงินลงทุนทำในสิ่งที่อยากทำได้ แต่ก็นะคะ มันเหมือนคนหมดไฟ ที่ขับเคลื่อนต่อไปเป็นเพียงเปลวไฟริบหรี่ จากนั้นเกรดของจขกท. ค่อยๆ ล่วงดิ่งเหวลงเรื่อยๆ ค่ะ แปรผกผันการความรู้สึกอึดอัดที่รังแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ผ่านมาแบบเฉียดฉิว แต่ก็ผ่านปีสองมาได้
ในช่วงระหว่างปีสอง จขกท. ก็ไม่ได้จะปิดบังเกรดอะไร แต่พ่อแม่ของจขกท. เหมือนจะไม่ทราบว่าเกรดของจขกท.ไม่ดีนัก (คือถามก็บอก เครียดวิชาไหนก็บอก ทำได้เท่าไรก็บอกนะคะ แต่เหมือนเขาจะปล่อยผ่านๆ ไป เหมือนเรื่องที่เราพูดทะลุผ่านไปเปล่าๆ) ระหว่างนั่นพวกท่านก็ยังพูดบิ้วและคาดหวังกับตัว จขกท. อีกหลายครั้งว่า "อยากให้ลูกสอบให้ได้เกียรตินิยมนะ" พอเราแย้งว่าอาจไม่ได้นะ เรารู้สึกไม่เข้ากับมันเลย เราอาจทำไม่ได้ก็ได้ เขาก็ชอบพูดทำนองว่า "ไใม่เป็นไร อันดับหนึ่งไม่ได้ อันดับสองก็ได้ แม่เชื่อว่าทำได้ อย่าไปตั้งป้อมกับตัวเองสิ" โดยที่แม้จขกท. จะยืนยันว่ารู้สึกไม่ชอบเรื่องที่เรียนนัก อาจทำได้ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน แต่พวกเขาก็ยังพูดแบบเดิม
ในปี 3 จขกท. มีจุดที่ต้องแก้วิชาหนึ่ง (จริงๆ ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนะคะ แต่บังเอิญว่าครั้งสุดท้ายที่จขกท.แก้มันนานมาแล้ว ที่ผ่านมาก็ผ่านมาตลอด ไม่ได้มีปัญหาอะไร คะแนนอาจไม่สูงนัก แต่ผ่านไปได้ ประมาณนี้) แล้วก็นำไปบ่นให้พ่อแม่ฟังตามปกติ บอกว่าเรารู้สึกเหนื่อยและผิดหวังที่ทำได้แค่นี่ ซึ่งคุณแม่ของจขกท. ก็พูดในเชิงทำนองว่า "ครั้งนี้พลาดไม่เป็นไรหรอก" ก็ว่าไป แต่ จขกท. ค่อนข้างท้อมาก เลยบอกไปว่า "หนูทำให้ไม่ไหวหรอกเกียรตินิยม ขอแค่เรียนจบได้ไหม" ท่านก็บอกว่า "อย่าไปกดดันสิ ได้ไม่ได้ก็ไม่รู้เลย ลูกแค่เรียนไปเรื่อยๆ ถ้าได้ก็ดี คิดอย่างงั้นสิ" ฟังจบเราก็รู้กสึกโล่งใจนะ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
วันนี้มันก็มีทริกเกอร์เกิดขึ้นค่ะ คือปกติแล้ว จขกท. ไม่ค่อยได้กลับบ้าน เพราะปิดเทอมไม่กี่วัน เสาร์อาทิตย์ก็บ้างทีมีเรียน นานๆ ที ถึงกลับบ้าน ครั้งนี้ จขกท.กลับมาพักผ่อนที่บ้าน และก็รีแลกซ์ตามปกติเหมือนทุกครั้งที่กลับบ้านค่ะ พ่อแม่ของ จขกท. ไม่ค่อยดูแลและอยู่ที่บ้าน ทั้งคู่ต้องออกไปทำงานด้านนอก ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน ก็จะสถิตในห้างจนกว่าพ่อแม่มารับ เพราะจขกท. ขับรถไม่เป็น และต่อให้ขับเป็นก็ไม่มีรถให้ขับ ก็เลยสถิตเป็นที่ๆ ไป หลังจากที่พวกท่านทำงานเสร็จและกลับมาบ้านตอนเย็นก็ออกไปทานของกินเล่นกันตามประสาครอบครัวและะก็กลับบ้านค่ะ
แม่ของจขกท. ก็ถามตามปกตินั่นแหละว่าอ่านหันงสือยัง ต้องอ่านนะ วันนี้อ่านยัง เราก็บอกนะคะว่า "อ่านบ้าง" แต่ ณ ตอนที่ตอนที่ตอบ จขกท. ก็ไม่ได้อ่านหนังสือหรอกนะคะ อย่างที่บอกว่าปกติกลับมาบ้านมักจะรีแลกซ์เป็นส่วนใหญ่ วันนี้แม่จำจี้จำไชเป็นพิเศษ สุดท้ายก็พูดออกมาว่า "แกเอาเวลาไปดูหนัง ดูของที่แกชอบไง เดี๋ยววิชานี่แกก็ต้องแก้อีก ถ้าแกมั่วแต่เอาเวลามาทำอย่างนี้ ขณะที่เพื่อนแกนั่งอ่านหนังสือ แกจะสู้เขาได้ไง ฉันพูดแค่นี่แหละ แกโตแล้วแกคิดได้"
คือตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ นะ คือในตัวจขกท. รู้สึกว่า ตัวเองฝืนมากๆ ที่จะประคองทุกอย่างตอนนี้ จขกท.ยอมรับนะคะ ว่าผลการเรียนที่ออกมาส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ หมดไฟที่จะเรียน จึงไม่เอาใจใส่มันที่ควร ยิ่งเมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่ขยันตาตั้ง อ่านแทบทุกลมหายใจ เราเทียบไม่ติด ความรู้สึกของเรามันเป็นแค่ สอบให้มันผ่านๆ ไปก็พอ แต่พอแม่พูดอย่างนี้ เรารู้สึกเหมือนแม่ไม่เคยฟังเสียงที่เราพร่ำบอกท่านตลอดสองปีเลย
ครั้งหนึ่งมีนักเขียนที่แม่ชอบ เขียนหนังสือเกี่ยวกับคณะของเรา อ่านๆไปเจอ ประโยคหนึ่งว่า "เด็ก 5 % ทีเข้ามาเรียนจะพบว่าตัวเองไม่ชอบวิชานี้" ตอนนั้นเราก็ชี้ให้ท่านอ่านแล้วบอกว่า นี่แหละเราเลย แต่เหมือนทานจะไม่เข้าใจเราก็ชัดๆ ไปว่า "เหมือนที่พบว่าไม่ชอบวิชานี่ไงค่ะ" หลังจากนั้นท่านก็เงียบไม่พูดอีก ไม่ใช่แค่ครั้งนั้นที่พยายาม เราบอกหลายครั้งก็ไม่ชอบ และรู้สึกว่าถ้าฝืนเรียนจบคงพอไว้ แต่ถ้าให้ดีเลิศเว่อวังคงไม่ได้ แต่เหมือนไม่มีใครฟังเราเลย
ปี 3 นี้นับว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของคณะเราค่ะ ต้องมีการสอบครั้งสำคัญชี้เป็นชี้ตายด้วย เทียบได้เป็นสอบเอนอีกรอบเลยก็ว่าได้ เดิมทีเราก็มีความกดดันมากอยู่แล้ว แม่ก็เหมือนไม่เข้าใจเราเลย
ตอนนี้เราเหนื่อยมากๆ รู้สึกเหมือนยิ่งทำยิ่งไร้ค่า จบไปเกรดไม่ดีก็แย่ ตั้งใจทำเกรดให้ดีก็ทรมาน จะหยุดก็ไม่ได้ เดินต่อก็ยากเย็น
ชีวิตไม่เคยง่าย เราก็ไม่คิดว่ามันง่ายนะ...หวังว่าครั้งนี้เราจะผ่านมันไปได้
ผ่านไปแบบที่เรามีความสุข พ่อแม่มีความสุข และทุกคนก็ความสุข ...มันเป็นไปได้สินะ