[หนังโรงเรื่องที่ 209] Star Wars: The Last Jedi - มันคือปฐมบทต่างหาก by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 209] Star Wars: Episode VIII: The Last Jedi - มันคือปฐมบทต่างหาก ; (Rian Johnson, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : A++++ (จากสเกล D-A)

*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ: ต่อเนื่องจาก The Force Awakens ถึงแม้ฝ่ายต่อต้านจะสามารถทำลายมหาอาวุธ "Death Star II" ของฝ่ายจักรวรรดิไปได้ แต่ก็ยังถูกรุกไล่โดยกองเรือมาเรื่อยๆ // ทางด้านเรย์ (Daisy Ridley) ก็ได้เจอตัวปรมาจารย์เจไดอย่าง "ลุค สกายวอล์คเกอร์" (Mark Hamill) ซักทีหลังจากเดินทางรอนแรมมาแสนไกล ... ลุคจะหวนกลับสู่วิถีของเจไดเพื่อมาช่วยฝ่ายต่อต้านหรือไม่? แล้วชะตากรรมของไคโร เรน (Adam Driver) จะเป็นยังไงต่อไป?
.
.

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภาคนี้ถึงได้กลายเป็น talk of the town และถูกยกให้เป็น "ภาคที่ดีที่สุดของ Star Wars" ไปโดยปริยาย ส่วนหนึ่งคิดว่าเพราะองค์ประกอบของหนังหลายๆ อย่างมันเจิดจรัศมาก ทั้งโดดเด่น ทั้งคงเอกลักษณ์ของเดิม มีการตีความแต่งแต้มของใหม่เพิ่มเข้ามา และท้ายที่สุดคือการผนวกเอาทุกๆ สิ่งที้เป็นหัวใจของหนังชุดแฟรนไชส์นี้เข้ามากลายเป็นเนื้อเดียวได้งดงามยิ่งใหญ่ไร้ที่ติมากๆ ต้องขอกราบวิสัยทัศน์ของผู้กำกับและทีม Lucas Film จริงๆ ครับ
.


สิ่งแรกที่ชอบที่สุดก็คือการที่หนังกล้าแหวกขนบหลายๆ อย่างของ Star Wars แถมยังทำให้มันออกมาได้ดีอีกต่างหาก เราจะได้เห็นหนังในโทนที่หนัก ดิบ และจริงจังมากขึ้น และมีวิธีการดำเนินเรื่องที่เป็นมากกว่าสูตรสำเร็จของแทบทุกภาคที่ผ่านๆ มายิ่งทำให้เราเดาทางหนังยากเข้าไปอีก บอกตามตรงว่าตลอดเวลาสองชั่วโมงครึ่งในหนังนั้น แทบไม่มีช่วงเวลา "เอื่อย" ให้เราสัมผัสเลยแม้แต่น้อย ทุกๆ ช่วงนาทีของหนังคือส่วนสำคัญที่เราจะละสายตาไปไม่ได้เลย เพราะผู้กำกับก็ซาดิสต์แฝง easter egg ต่างๆ เข้าไปตรงโน้นตรงนี้เต็มไปหมด
.

การเบนความสำคัญบางส่วนออกจากตัวเจไดเองก็ช่วยให้หนังมีมิติมากขึ้น หนังในภาคนี้ขับเน้นในความสำคัญของตัวแปรเล็กๆ ที่เป็นคนธรรมดาของฝ่ายต่อต้าน ที่เมื่อมารวมกันเพื่อเป้าหมายอันเป็นหนึ่งเดียวแล้วก็สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งการดำเนินเรื่องลักษณะนี้อาจจะสอดรับกับคอนเซปต์ของคำว่า "The Last Jedi" ที่อาจหมายถึงว่า "ต่อจากนี้ไป ทุกๆ องค์ประกอบของเรื่องจะมีความสำคัญเท่าเทียมกันแล้ว" ก็เป็นได้
.


สิ่งที่ชื่นชอบเป็นพิเศษคือเซนส์ศิลป์ของหนังที่สามารถนำเสนอฉากไคลแม็กซ์ออกมาได้พีคมากเข้าไปอีก โดยเฉพาะการเลือกใช้โทนสีแดงฉานของดาวเกลือ ปะทะกับสีขาวของกองทหารจักรวรรดิแล้ว ทำให้มัน serve the purpose ทั้งความสวยงามของฉาก รวมไปถึงความหมายเชิงสัญญะที่หนังนำเสนอความรู้สึกของ "เลือดนองแผ่นดิน" ออกมาได้ในหนังที่มีเรต PG-13 แบบนี้ เรียกได้ว่าเป็น "กึ๋น" ของผู้กำกับจริงๆ ครับ
.

ในด้านของฉากต่อสู้--ดวลดาบไลท์เซเบอร์ที่คนเขาล่ำลือกัน ส่วนตัวผู้เขียนไม่ได้รู้สึก "ว้าว" อะไรขนาดนั้นครับ ก็อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าหนังไม่ได้ขับเน้นในด้านนี้ซักเท่าไร ไอ้ครั้นฉากดวลที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องนั้นผู้เขียนกลับคิดว่าเป็นงานศิลป์ของฉากต่างหากที่โดดเด่นจนน่าตื่นตะลึง ... แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือวิธีการต่อสู้ของภาคนี้จะมีความรู้สึกของการ "ตะลุมบอน" มากขึ้น ปากกัดตีนถีบสุดๆ ซึ่งถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่ช่วยให้การผลัดเปลี่ยนยุคสมัยของ Star Wars แจ่มชัดมากขึ้น

ในส่วนของฉาก การไล่ล่าด้วยยานอวกาศ (Dog Fight) ก็อาจจะเต็มอิ่มจุใจใครหลายๆ คนเลย ถ้านับดีๆ ก็มีฉากดวลกลางอวกาศเกือบ 3-4 ฉากใหญ่ๆ ได้เลยมั้ง แต่โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนไม่ใช่แฟนของฉากเท่าไรครับ

.

แต่สิ่งสุดท้ายที่ยังติดใจผู้เขียนอยู่ก็คือการตีความของ "พลัง" (The Force) ในลักษณะที่ล้ำไปอีกขั้น (ถามว่าล้ำยังไงก็คงเล่าตรงนี้ไม่ได้เพราะมันคือสปอยล์) แต่โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนคิดว่ามันไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรถ้าเทียบกับ lore ของ Star Wars ที่มีมาเนิ่นนานแล้ว แต่การ approach ทิศทางของพลังในด้านของวิถีพุทธ-เต๋าแบบนี้ก็ถือว่าน่าสนใจใช้ได้ แต่อย่าให้มันไปไกลกว่านี้เลย มันจะดูตลกเกินไปเสียเปล่าๆ
.

ท้ายที่สุดขอสดุดีนักแสดงอาวุโสสองท่านอย่าง Mark Hamill และ Carrie Fisher (ขอให้เธอไปสู่สุขติ) ที่สามารถรับบท "ลุค & เลอา สกายวอล์คเกอร์" ได้อย่างหมดจดไร้ที่ติแม้จะต้องเว้นว่างจากบทไปเป็นสิบๆ ปีก็ตาม โดยเฉพาะตัวละคร "ลุค" ที่สามารถส่งรัศมีบางอย่างที่โดดเด่นสมกับที่เป็นหัวใจสำคัญของหนังไตรภาคชุดนี้

ป.ล. ฉากรังแกคนดูตอนท้ายเรื่องสุดนี่ผมขนลุกจริงๆ นา
ป.ล.2 ในประเด็นของการแทรกนักแสดงจีนเข้ามาแบบแข็งๆ นี่ ... ขอละเอาไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วกันครับ



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่