เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่น

คือผมสงสัยว่าทำไมญี่ปุ่นถึงออกเสียงตัว h เป็นตัว k น่ะครับบ ทั้งที่ในภาษาญี่ปุ่นสามารถออกเสียงเป็นตัว h ได้เช่นคำว่า hannin 犯人
เเต่ถ้าเป็นคำอ่านในาษาจีนที่เป็น ตัว h เเต่ญี่ปุ่นจะออกเสียงเป็น k เเทนน่ะครับ เช่น

上海 ตัว hai (海)  ญี่ปุ่นออกเสียงเป็น kai ใน hokkaidou  北海道
漢字 hanzi ออกเสียงเป็น kanji
韓国 hanguo ออกเสียยงเป็น kankoku

น่ะครับ เหล่านี้ผสนใจมากๆเลยครับเเละเห็นว่าอาจจะไม่ได้มีการศึกษา(รึเปล่า) ยังไงก็ขอความเห็นจากหลายๆท่านด้วยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
จริง ๆ แล้วเสียง h ในภาษาจีนออกเสียง [x] นะครับ เป็นเสียงเสียดแทรกที่คอ คล้ายเสียงคนขากน้ำลาย ตรงกับ ฃ.ฃวด ในภาษาไทยโบราณ ถ้าลองฟังคนจีนพูดคำว่า 河、何、和 ดี ๆ ไม่เหมือน ฮ,ห หรือ h เลยนะครับ คนญี่ปุ่นโบราณฟังแล้วจึงออกเสียงด้วยเสียงที่ใกล้เคียงที่สุดคือ “ค” [k] เพราะไม่มี “ฮ” [h]

มาดูกันว่าทำไม ยาวหน่อยนะครับ ผมจะเล่าประวัติภาษาญี่ปุ่นให้ฟัง


ภาษาญี่ปุ่นโบราณไม่มีเสียง h อักษรฮิระงะนะวรรค ha (ha hi fu he ho) ที่เราเห็นในปัจจุบันจริง ๆ แล้วภาษาญี่ปุ่นโบราณออกเสียง pa pi pu pe po ครับ

ถ้าศึกษาประวัติของอักษรฮิระงะนะจะพบว่า ดัดแปลงมาจากคันจิชุดหนึ่งที่คนญี่ปุ่นโบราณยืมมาใช้เขียนเสียงในภาษาญี่ปุ่นโดยไม่สนใจความหมายเดิมในภาษาจีน ที่เรียกว่า “มันโยงะนะ” (万葉仮名) อักษรนี้พบครั้งแรกใน “โคะจิกิ” (古事記) เอกสารภาษาญี่ปุ่นโบราณที่เก่าแก่ที่สุด เป็นประโยชน์ต่อนักภาษาศาสตร์ในการสืบหาว่าเสียงภาษาญี่ปุ่นโบราณเป็นยังไง

สาว ๆ ญี่ปุ่นในราชสำนักสมัยนั้นว่างมาก ผู้ชายออกไปรบข้างนอก สาว ๆ เบื่อ ๆ ไม่มีอะไรทำ ก็นั่งอ่านหนังสือจีนที่อิมพอร์ตจากเกาหลีฆ่าเวลา ไม่ต่างจากสาวไทยติดซีรีส์เกาหลีเลย ติดมาก อ่านไปก็อินไป จิกหมอนไป สมัยนั้นเป็นยุคทองของวรรณกรรมยุคราชวงศ์ถังเลย ทั้งบทกวีจีน นิยายจีน สาวญี่ปุ่นก็นึกอยากเขียนบ้าง จึงใช้พู่กันจีนเขียนมันโยงะนะ แต่สาว ๆ ไม่ชอบรูปร่างที่แข็ง ๆ ทื่อ ๆ เหลี่ยม ๆ ของอักษรมันโยงะนะ จึงปรับให้อ่อนช้อยขึ้น ลายมือของผู้หญิงหรือ “อนนะเดะ” (女手) นี้เองเป็นต้นกำเนิดของฮิระงะนะที่เราเห็นทุกวันนี้

ลองดูว่าแต่ละตัวดัดแปลงมาจากคันจิ (มันโยงะนะ) ตัวไหนบ้าง


สังเกตว่าอักษรฮิระงะนะวรรค ha มาจากอักษรจีนที่ต้นฉบับออกเสียง “ป,พ” ทั้งนั้นเลย

วิวัฒนาการของเสียง p จากภาษาญี่ปุ่นโบราณจนถึงปัจจุบันเป็นแบบนี้ครับ
pa > fa > wha > ha/wa
pi > fi > whi > hi
pu > fu
pe > fe > whe > he/e
po > fo > who > ho/wo/o

จะเห็นว่า ふ (fu) ที่มาจาก 不 ยังคงเหลือร่องรอยการออกเสียงที่ใกล้เคียงกับสำเนียงโบราณ pu อยู่ นั่นเพราะสระ อุ,อู เป็นสระที่ห่อปากกลมโดยธรรมชาติ ใกล้เคียงกับฐานที่เกิดเสียงพยัญชนะ ป,พ ที่ใช้ริมฝีปากประกบกันนั่นเอง (labial)

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมคำช่วย は จึงออกเสียง wa ไม่ออกเสียง ha ตามที่เขียน หรือคำช่วย へ จึงออกเสียง e ไม่ออกเสียง he ตามที่เขียน ก็เพราะร่องรอยจากเสียงโบราณที่ผมยกมาให้ดูนั่นเอง

สงสัยไหมว่าทำไมพยัญชนะท้าย ป (แม่กบ) ในภาษาจีนถึงหายไปเลยในภาษาญี่ปุ่น ในขณะที่แม่กก แม่กด ยังอยู่ แต่แปรรูปไปเป็น -ku/-ki, -tsu/-chi

ผมยกตัวอย่างเลขจีนในสำเนียงญี่ปุ่นจากซ้ายไปขวา คันจิ > สำเนียงจีนโบราณ (สำเนียงไทย) > สำเนียงญี่ปุ่นโบราณ > สำเนียงญี่ปุ่นปัจจุบัน

一 อิด (เอ็ด) > iti > ichi
六 ลฺยุก (ลก) ( > roku > roku
七 ชิด (เจ็ด) > siti > shichi
八 ปาด (แปด) > pati > hachi
百 แปก (ปาก) > pyaku > hyaku

สังเกตว่าตัวสะกดแม่กกและแม่กดยังอยู่ครบเลย แต่เลข “สิบ” ตัวสะกด “แม่กบ” หายไป แต่ญี่ปุ่นโบราณยังมีอยู่ ลองดูวิวัฒนาการของ “แม่กบ” ในคำว่า “สิบ” กัน

十 สิบ > zipu > zifu > jiwhu > jihu > jiu > juu

จากเดิมที่ออกเสียง “สิปุ” (สิบ) จึงกลายเป็น “จู” ในปัจจุบันด้วยประการฉะนี้

คำอื่นก็เช่นกัน เช่น
入 ญุบ > nyupu > nyufu > nyuhu > nyuu
級 กิบ > kipu > kifu > kihu > kyuu
法 ฝาบ > papu > fafu > whahu > hau > hou

แม้แต่คำญี่ปุ่นแท้เอง เสียง pa pi pu pe po จากภาษาโบราณหายไป แปลงร่างเป็น ha/wa hi fu/u he/e ho/wo/o ไปเลย ยกตัวอย่างวิวัฒนาการของคำญี่ปุ่นโบราณ (ที่ไม่ใช่คำยืมจีน)

“วันนี้” (今) kiepu > kyefu > kyehu > kyeu > “kyou”
“แม่น้ำ” (川) kapa > kawha > “kawa”
“วัน” (日) pi > fi > whi > “hi”
“ไฟ” (火) pui > fwi > whi > “hi”
“ดอกไม้” (花) pana > fana > whana > “hana”

ส่วนเครื่องหมาย ゛ กับ ゜อันนี้เกิดขึ้นมาในยุคหลังครับ เพื่อแยกความแตกต่างของเสียงพยัญชนะแบบไม่ก้อง (เสียงใส unvoiced) กับเสียงก้อง (เสียงขุ่น voiced) ซึ่งมักเกิดในพยางค์ที่ไม่ใช่พยางค์แรกของคำ

คำจีนที่ญี่ปุ่นรับมามีหลายช่วงหลายสมัยครับ อักษรคันจิแต่ละตัวจึงมีเสียงอ่านแบบจีนที่เรียกว่า “องโยมิ” หลายแบบ เช่น

“คังอง” (漢音) แปลตรงตัวหมายถึง “เสียงฮั่น” แต่จริง ๆ แล้วเป็นเสียงเลียนแบบเสียงภาษาจีนยุคกลางของนครฉางอัน (จีนเหนือ) สมัยปลายราชวงศ์ถังถึงต้นราชวงศ์ซ่ง ถึงถือเป็นสำเนียงคลาสสิกจองจีนที่ใช้อ่านบทกวีโบราณที่เขียนเป็นภาษาจีนโลราณที่เรียกว่า 文言 ตรงกับสมัยนะระถึงเฮอันตอนต้น

“โกะอง” (呉音) แปลตรงตัวหมายถึง “เสียงหวู่” ซึ่งเป็นชื่อเรียกแคว้นใต้แถบแม่น้ำแยงซีหรือที่เรารู้จักว่า “ง่อก๊ก” นั่นเอง เสียงนี้เป็นเสียงที่คนญี่ปุ่นเลียนแบบสำเนียงจีนตอนใต้ ตั้งแต่แม่น้ำแยงซีลงไปจนถึงกวางตุ้ง มีความเก่าแก่น้อยกว่า “คังอง”

ตัวอย่างคำว่า 明

“คังอง” ออกเสียงว่า “myou” เป็นสำเนียงจีนโบราณ มาจาก “myeng” ภาษาเกาหลีก็ควบกล้ำ ย เป็น “มฺยอง” (myeong) เช่นเดียวกัน

ส่วน “โกะอง” ออกเสียงว่า “mei” เป็นสำเนียงจีนใต้ยุคหลัง มาจาก “เม็ง” (meng) ไม่มีควบกล้ำ ย

ส่วนเรื่องที่ “แม่กง” หายไปในภาษาญี่ปุ่น เช่น “ตุงเก็ง” (東京) กลายเป็น “โตเกียว” (Toukyou) ได้ยังไง ทำไม “แม่กน” กับ “แม่กม” กลายเป็น ん อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ต้องลองค้นคว้าเองครับ

สุดท้ายนี้ผมยกตัวเลขจีนแบบเต็มมาให้ดูเล่น ๆ ครับ ว่าวิวัฒนาการมาเป็นปัจจุบันได้ยังไง

一 เอ็ด it > iti > ichi
二 ญี่ nyi > ni
三 สาม sam > sami > san
四 สี่ si > si > shi
五 งั่ว nguo > nko > ngo > go
六 ลก lyuk > roku > roku
七 เจ็ด tshit > siti > shichi
八 แปด pret > pati > fachi > whachi > hachi
九 เก้า kyou > kiu > kyuu,ku
十 สิบ zip > zipu > zifu > jiwhu > jihu > jiu > juu

ถ้าสนใจวิชาภาษาศาสตร์เชิงประวัติ (Historical Linguistics) ลองอ่านหนังสือ “History of the Japanese Language” ได้ครับ ผมเห็นที่ร้านคิโนะมีแต่แพงมาก ผมเคยอ่านที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่