[REVIEW] Resident Evil 7 DLC 'Not a Hero' & 'End of Zoe' - ผิดคาดโคตรๆ

[Review] Resident Evil 7 DLC 'Not a Hero' & 'End of Zoe' - ผิดคาดโคตรๆ




คำเตือน: มีสปอยล์เนื้อหาในเกม

เพิ่งได้จบไปเมื่อคืนทั้ง 2 ตัวครับ เลยอยากจะมารีวิวสั้นๆครับ (เดี๋ยว สั้นตรงไหน 555)

ก่อนหน้านั้น ทางทีมพัฒนาเขาบอกล่วงหน้าแล้วว่า DLC Not a Hero จะเน้นทางบู๊กระจายกว่าตัวเกมหลัก ก็เลยไม่ได้รู้สึกรอคอยอะไรเลยในด้านเกมเพลย์ นอกจากรอดูว่าเกมจะสรุปเรื่องราวที่เกมหลักเล่าค้างเอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหน ...แต่พอเขาประกาศ End of Zoe ออกมาพร้อมๆกัน อันนี้แหละที่ผมรอ เพราะเขาบอกแล้วว่า DLC ตัวนี้จะไม่มีปืนเป็นอาวุธ แต่จะต้องใช้มือเปล่าและอาวุธระยะประชิดในการต่อสู้ ในใจผมก็คิดเลยว่า "แหม่.. แมร่งจะต้องเป็นแนวสเตลท์เอาชีวิตรอดแบบโหดๆ เล่นยากๆแน่นอน" อาจจะออกมาเพื่อถ่วงดุลกับ Not a Hero ที่แอ็คชันกว่า...

แต่พอได้เล่นจริงๆปรากฏว่าผม "ผิดคาด" อย่างแรงครับ.. ไม่ได้ผิดหวัง แต่ผิดคาด

คือแทนที่ตัว Not a Hero มันจะบู๊แหลก ส่วน End of Zoe จะเน้นเซอร์ไววัลเต็มๆ แต่กลับกันเลย ฝั่งที่ให้ความเซอร์ไววัลมากกว่ากลับเป็น Not a Hero ซะงั้น ส่วน End of Zoe นี่ไปทางบู๊แหลกลาน บู๊กระจาย ตบแหลก ต่อยคว่ำ ไม่มีความ Horror ใดๆทั้งสิ้น (รูปโปรโมทก็โคตรหลอกลวง XD)

DLC ทั้งสองตัวมันมีส่วนที่ชอบและไม่ชอบปนๆกันครับ ขอเริ่มจาก End of Zoe ก่อน..



End of Zoe

สรุปด้วยประโยคเดียวเลย "สาย Horror ผิดหวังแน่นอน แต่สาย Action น่าจะโดนใจ"

เราจะได้เล่นเป็น โจ เบเกอร์ พี่ชายของ แจ็ค เบเกอร์ ที่แยกกันอยู่กับครอบครัวของน้องชาย และไม่ได้ติดต่อกันเลยมานานแล้ว ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกับที่หน่วย PMC ของ Blue Umbreela เดินทางมากถึง โจก็ได้เจอกับโซอี้ หลานสาวของเขานอนหายใจรัวรินอยู่ อันเกิดจากไวรัสจากเอเวอร์ลินที่กัดกินร่างกายของเธอ โจเลยต้องเสี่ยงชีวิตเอาเซรุ่มที่จะช่วยรักษาโซอี้มา โดยต้องฝ่าเหล่า Mold มากมาย...

อ่านพล็อตดูเหมือนจะเป็นแนวเอาตัวรอดน่ากลัวๆ ลุ้นระทึก แต่ตัวเกมจริงๆแมร่งไม่ใช่อย่างที่คิดเลยซักนิด วิธีการต่อสู้ของเราคือ "หมัด" ลุ่นๆทั้งสองหมัดของเราเอง ในการต่อย ตบ ทะลวงพวก Mold ที่มีอยู่มาตลอดทาง ซึ่งสกิลการอัดศัตรูของลุงโจนี่ขอบอกเลยว่ามัน เข้าขั้นยอดมนุษย์เลย เพราะเกมไม่ได้จำกัดการต่อยเลย อัดเท่าไหร่ก็ได้ ไม่เหนื่อย ไม่หอบ อะไรทั้งนั้น เอาซะคนหนุ่มๆในภาค 5-6 อายไปเลย เพราะถึงแม้ภาคนั้นมันจะบู๊กระจายเหมือนกัน แต่มันก็จำกัดเกจการออกแอ็คชันมือเปล่าของเรา แต่ลุงโจนี่แหม่.. ความแข็งแกร่งของลุงมันเกินคาดจริงๆ มีช่วงที่รู้สึกว่ามันระทึกหน่อยคงเป็น ตอนฝ่าจระเข้ในบึง เพราะเราเอาหมัดไปถลุงมันไม่ได้แบบ Mold แต่มันก็เป็นส่วนเล็กน้อยในเกมเท่านั้นเอง

แต่ผมยอมรับนะว่ามันสนุกดี 5555+ บ่นๆไปเหมือนจะไม่ชอบ เวลาเล่นรู้สึกมันสะใจดีจังวึ้ย เหมือนได้ปลดปล่อยในสิ่งที่ตัวเกมหลักทำไม่ได้ เพราะอีธานทำได้แค่เอามือตั้งการ์ดรับอย่างเดียว แต่พอเป็นลุงโจ เราอัดแหลกแจกหมัดได้เลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะลุยตบ Mold ทุกตัวจนไม่ต้องระวังตัวเลยซะทีเดียว ถ้าเราไม่ระวังก็โดนมันตบปางตายได้เหมือนเดิม (เหมือนเกมมันจะปล่อยให้เราต่อย Mold แหลกซะให้พอ ให้เราได้ใจไปก่อน พอถึงช่วงที่ศัตรูมากันเยอะๆ มีศัตรูใหม่ๆ ที่ตีแรงกว่าปกติมา เราก็เริ่มจะลุยด้วยหมัดอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องใช้อาวุธบ้าง เน้นสเตลท์แอทแทคให้เยอะขึ้น)

แต่พอช่วงท้ายเกมที่เราได้ Advanced Multi-Purpose Gauntlet ถุงมือเพิ่มพลัง ของเล่นใหม่จาก Blue Umbrella มานี่เกมพลิกกลายเป็นเกมแอ็คชันเต็มตัวเลย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ก็มิปาน (แต่ผมยังไม่ลองโหมด Joe must die เลย อยากรู้ว่ามันจะยากขึ้นแค่ไหน เห็นเขาให้ถุงมือมา 2 ข้างแต่ต้นเกมเลย)

แต่ก็เสียดายเหมือนกันที่เกมเพลย์มันเน้นบู๊ขนาดนี้ มันน่าจะน่ากลัวกว่าถ้าเกมจะต้องจัดการศัตรูด้วยการสเตลท์แอทแทคเท่านั้น ถ้าศัตรูเห็นเราเมื่อไหร่ก็เตรียมวิ่งอย่างเดียว แล้วให้การดวลหมัดมันเป็นไฮไลท์ครั้งสุดท้ายตอนสู้กับบอส อะไรแบบนั้น ...แต่ถ้าทำแบบนั้น เกมจะต้องลดจำนวนศัตรูลงหน่อย ซึ่งมันอาจจะไม่สมเหตุสมผลก็ได้ เพราะไวรัสก็แพร่เชื้อจนทำให้เกิด Mold อยู่ทั่วไปหมดในพื้นที่แถวนั้นอย่างที่ทราบ และลุงโจเองก็เป็นถึงอดีตทหารผ่านศึก ที่เอาตัวรอดได้คนเดียวมาตลอด เป็นไปไม่ได้เลยที่แกจะไม่มีสกิลเอาตัวรอดสูงขนาดนี้ ...ก็ถือว่าโอเคครับ

ส่วนในด้านเนื้อเรื่องผมว่ามันก็ ไม่ค่อยมีอะไรนะครับ แถมทิ้งคำถามไว้ให้มากกว่าเดิมอีก อย่างตัวลุงโจ ถ้าแกใช้ชีวิตอยู่ที่หลุยเซียนามาตลอด แล้วแกหายไปไหนมาตลอด 3 ปี ที่ครอบครัวเบเกอร์ตกเป็นทาสของไวรัสเอเวอร์ลิน? แล้วทำไมตอนอีธานอยู่บ้านเบเกอร์ เราถึงไม่เคยเห็นรูป ไม่เคยรู้เรื่องเลยว่าแจ็คมีพี่ชาย? (คือถึงจะบอกว่า สองพี่น้องผิดใจกันก็เหอะ แต่ในบ้านจะไม่มีรูปถ่ายพี่น้องเลยเหรอ ทำเป็น ดัมเบิลดอร์ & อาเบอร์ฟอร์ธ ไปได้ XD) ..ปมตรงนี้อาจจะถูกเอาไปเล่าต่อในเกมภาคต่อไปก็ได้ แต่ก็รู้สึกดีที่เกมเขาหาบทสรุปแบบสวยๆให้โซอี้ได้ (สงสัยโดนด่าไปเยอะ กร๊ากก) ทำให้อีธานที่ปกติก็หล่ออยู่แล้ว ดูหล่อขึ้นไปอีก แหม่..



Not a Hero

สรุปด้วยประโยคเดียว "ใครชอบ Action คงชอบ ถ้าใครชอบ Horror ก็ยังพอไหว"

เราจะได้เล่นเป็น คริส เรดฟิลด์ เจ้าหน้าที่ผู้มากประสบการณ์แห่งหน่วย BSAA ที่ได้รับเชิญมาให้ร่วมภารกิจโดยบริษัท Umbrella Corperation โฉมใหม่ ที่ก่อตั้งขึ้นมา โดยมีหน่วยปฏิบัตรการที่เรียกว่า PMC หรือ Private Military Company เป็นของตัวเอง เพื่อต้องการจะลบล้างความผิดบาป ที่ Umbrella ในอดีตได้ก่อเอาไว้ คริสเข้าร่วมภารกิจกับ PMC ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการกวาดล้าง BOW มายาวนาน (เหมือนในหนัง Vendetta ที่คริสก็ถูกเชิญตัวไปในฐานะมือเก๋าเหมือนกัน) บวกกับการที่คริส "ไม่ไว้ใจ Umbrella" ว่าจะประสงค์ดีจริงอย่างที่ปากพูดหรือไม่ ก็เลยต้องการจะไล่ล่าไวรัส E-Series ที่กำลังระบาดอยู่ที่บ้านเบเกอร์ด้วยตนเอง พร้อมกับตามล่าตัวแสบ "ลูคัส เบเกอร์"

หลังจาก End of Zoe มาบู๊กระหน่ำขนาดนั้น ผมเลยคิดว่า Not a Hero คงไม่น่าจะต่างกันมั้ง แต่พอได้เล่น รู้สึกได้กลิ่นบรรยากาศเก่าๆ มากกว่าที่คิดแฮะ ความรู้สึกเหมือนตอนเล่นภาค 4 ที่เราสามารถเข้าไปอัดมันได้ตอนที่มันยืนเซอยู่ ไม่ได้เอาหมัดทะลวงได้ตลอดเกม และเกมก็อยู่ในสภาพแวดล้อมปิด สเกลไม่ใหญ่มาก เวลาเราต้องเผชิญกับศัตรูที่มากันเยอะๆ กับดักที่เรามองไม่เห็น เจอศัตรูที่เราฆ่ามันไม่ได้ ต้องหนีอย่างเดียวจนกว่าจะเจอกระสุนชนิดใหม่มาฆ่ามัน หรือการต้องปลดระเบิดที่ติดอยู่ตรงแขนให้ทันก่อนเวลาหมดอีก ...เป็นสไตส์เกมที่โคตรจะไบโอ๊ไบโอเลย ทำให้เกมยังให้ความกดดัน ระทึก ในการเอาตัวรอดในแบบเดิมๆได้อยู่ (แต่แน่นอนว่าไม่มากเท่าตัวเกมหลักช่วงแรกๆ เพราะอาวุธกับสกิลบู๊ของเราก็สูง)

แต่ที่เสียดายคงเป็นเพราะความสั้นของเกม ...เกมมันมีหลายอย่างที่ผมว่ามันเข้าท่าดีมาก แต่เกมไม่ได้ใช้เต็มที่เท่าไหร่ ซึ่งผมว่ามันน่าเสียดายจัง อย่างเช่น ระบบหมวกป้องกันไวรัสของคริส ที่มันจะมีฉากนึงที่เราต้องเปลี่ยนตัวกรองอากาศอันใหม่แทนอันเดิมที่กำลังจะพัง ถ้ามันทำเหมือนในเกม Metro 2032 ที่เราต้องหาถังกรองมาเปลี่ยนเรื่อยๆ แล้วถ้าเราโดนตบเยอะๆ หน้ากากเราจะแตก ...ถ้าเป็นแบบนั้นมันน่าจะสร้างความระทึกได้ดีกว่าเดิมเยอะเลย แต่ในเกม ยังไงเราก็ต้องได้ถังกรองแบบใช้ได้ตลอดมาตามเนื้อเรื่องอยู่ดี พอผ่านฉากนี้มาก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว

แต่ก็เข้าใจเพราะเกมมันเป็นแค่ DLC ไม่ใช่ตัวเกม จะให้ยาวๆเยอะๆ คงไม่ได้ เก็บไว้ใช้ในภาคต่อไปจะเหมาะกว่า เพราะแค่ที่เกมมันให้เราเจอนี่ก็ทุลักทุเลจะแย่อยู่แล้ว (เกมมันไม่ได้ยากมาก แต่มันมีอะไรให้เล่นเยอะ เยอะกว่าเกมหลักอีกมั้ง XD)

ส่วนเนื้อเรื่องของ DLC ตัวนี้ ก็คงถือเป็นบทสรุปจริงๆของเกมภาคนี้นั่นเอง ที่คริสต้องตามล่าลูคัส ปิดฉากความบ้าบอคอแตกของตัวละครตัวนี้ลง ทีนี้ปมเกี่ยวกับบ้านเบเกอร์ก็จบลงแล้ว ยังเหลืออยู่แค่เรื่องของบริษัทลึกลับ ที่เป็นคนสร้างเอฟเวอลินขึ้นมานี่แหละ ที่น่าจะมีบทบาทต่อไปในอนาคต ในฐานะองค์กรวายร้ายองค์กรใหม่ของเกม (ความทะเยอทะยานไม่จบไม่สิ้นของมนุษย์ ต่อให้ไม่มี Red Umbrella ก็ยังมีคนอื่น ทำชั่วอยู่ในเงามืดอยู่ดี)

ส่วนเฮียคริส ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีแง่มุมใหม่ๆอะไรของแกเพิ่มขึ้น เหมือนเป็นแค่ "วันธรรมดาอีกวันหนึ่งของเฮียดินแดง" แค่นั้น 555+ ที่รู้สึกได้คือ แกยังเป็นคนเดิม การเปลี่ยนดีไซน์ไม่ได้ทำให้แกกลายเป็นคนอื่น ...ส่วนตัวผมไม่เคยวอรี่อยู่แล้ว ตอนที่เห็นคริสดีไซน์ใหม่ เพราะผมเป็นแฟนโจโจ้ครับ ผมชินกับการที่ตัวละครหน้าตาเปลี่ยนไป เพราะลายเส้นที่วาดไม่เหมือนเดิมอยู่แล้ว 555+ อีกอย่างผมว่าตัวละครใน RE ก็หน้าตาไม่เคยจะเหมือนเดิมเลยซักภาค เอาหน้าลีออนหรือแคลร์จากทุกภาคมาเทียบกันนี่เห็นได้ชัดมากว่า เปลี่ยนไปตลอดไม่เคยซ้ำกันเลย มันแล้วแต่ว่าทีมพัฒนาตอนนั้นอยากได้ตัวละครหน้าตาแบบไหน นี่ก็เหมือนกัน



สรุปคือผมค่อนข้างผิดคาดกับ DLC สองตัวนี้พอสมควรครับ เพราะอะไรที่คิดไว้ตอนก่อนเกมออก พอได้เล่นจริงๆแมร่งไปคนละทางกับที่คิดเลย ค่อนข้างผิดหวังกับ End of Zoe ที่บู๊แหลกสุดๆ จนไม่เหลือความน่ากลัว แต่ก็เป็นรสชาติการเล่น RE ที่แปลกและบ้าดี ส่วน Not a Hero ก็ค่อนข้างเซอร์ไพรส์เลยที่มัน ได้อารมณ์ Survival มากกว่าที่คิด อะไรที่คิดว่าตัวเกมหลักน่าจะมี DLC ตัวนี้จัดให้เกือบหมดทุกอย่าง เสียดายตรงที่มันสั้นแค่นั้นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่