สวัสดีค่าาาา ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ตอนนี้เราอายุ 19 ปี เป็น First year student คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญค่ะ ในกระทู้นี้เราจะมาแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับคณะนิเทศ ABAC นะคะ เนื่องจากสมัยที่เราเป็นเด็กมัธยมเราอยากเข้านิเทศที่นี่มากๆๆๆๆ แต่หาข้อมูลเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เอาจริงๆในเว็บมหาวิทยาลัยก็มีแหละ แต่ตอนนั้นอ่านไปก็ไม่รู้เรื่องเพราะมันเป็นภาษาอังกฤษ 55555+ เราเลยคิดว่าถ้าได้มีโอกาสเข้ามาเรียน เราจะทำรีวิวเพื่อเป็นข้อมูลให้กับรุ่นน้องที่สนใจ ซึ่งในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ววววว เย่!
เราจะแบ่งข้อมูลออกเป็น 3 part หลักๆนะคะ
1.Admission
2.Faculty
3.Society
Admission
มาเริ่มกันที่ Admission กันก่อนเลย Admission ก็คือการสอบเข้านี่แหละค่ะ ซึ่งจากประสบการณ์ของเรา เราขอแบ่งการสอบเข้าเป็น 2 แบบ คือแบบสมัครเข้ามหาวิทยาลัยปกติกับแบบชิงทุน เป็นที่รู้ดีกันอยู่แล้วนะคะว่าที่นี่เค้าค่าเทอมแพงมว๊ากกกกกกก ส่วนใหญ่สำหรับคนที่ครอบครัวมีกำลังจ่ายไหวเค้าก็จะสมัครเข้ากันปกตินี่แหละค่ะ แต่สำหรับ>อิชั้น< ที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเบอร์นั้น เจ้าคุณพ่อกับเจ้าคุณแม่ก็เริ่มแก่แล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะเกษียณ แล้ว >อิลูก< ดันหัวสูงอยากจะเรียนที่นี่ก็ต้องชิงทุนกันไป ซึ่งทุนที่นี่มีแจกค่อนข้างเยอะนะคะ แล้วก็มีหลายระดับ ถ้าใครสนใจสามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บนี้นะ
http://www.scholarship.au.edu/ เค้าจะประกาศประมาณปลายๆปีของทุกปีอ่ะค่ะ เรานี่ติดตามตั้งแต่ตุลายันธันวาเลย กลัวพลาด

เราขอเสริมเรื่องสำคัญอย่างนึงนะคะ คือหลังจากที่เรากรอกใบสมัครเรียบร้อยแล้ว เราต้องสอบวัดระดับภาษาอังกฤษกับทางมหาวิทยาลัยก่อน ผลตัวนี้จะเป็นตัวบอกว่าเราต้องเรียนปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษมั้ยและกี่ชั่วโมง ถ้าใครเก่งๆหน่อยก็เรียนไม่กี่ชั่วโมงหรอก แต่เรานี่ Jackpot จ้า เจอไป 120!!!
(เป็นลมแพร้บส์ @-@) ทำไมต้องสอบวัด? เพราะว่าการเรียนการสอนที่เอแบคเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดค่ะ ใช้ภาษาอังกฤษแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน มีบ้างนิดๆหน่อยๆที่ถ้าอาจารย์เป็นคนไทยแล้วคือแบบเราไม่เข้าใจจริงๆ ไม่รู้จะถามยังไงก็จะพูดภาษาไทยกับอ. ที่นี่บังคับเรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาหลักด้วยนะคะ ก็คงเหมือนกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศแหละค่ะ ที่ไม่ว่าคุณจะอยู่คณะอะไร สาขาอะไรยังไงก็ต้องเรียน ซึ่งมีทั้งหมด 4 ระดับคือ Eng1-4 ต้องผ่านอิ๊ง 4 ไม่งั้นไม่จบ แต่ถ้าใครเก่งๆหน่อยหรือขี้เกียจเรียนไปยันอิ๊ง 4 ก็ไปสอบ ielts แล้วนำผลมายื่นก็ได้ และต้องได้ 7 ขึ้นไปน้าถึงจะผ่านอิ๊ง 4 ถ้าได้น้อยกว่านั้นลงมาก็จะอยู่ในระดับ 1-3 แล้วเรียนต่อจากระดับนั้นให้จบ หรือไม่ก็ไปสอบให้ผ่าน 55555+ ทั้งหมดนี่ก็เป็นข้อมูลเบื้องต้นของมหาวิทยาลัยนะคะ ทีนี้เราลองมาดูทางฝั่งคณะกันบ้างดีกว่า การสอบนี่ไม่ใช่แค่ว่าสมัครเข้ามหาวิทยาลัยและสอบภาษาอังกฤษแล้วจะเข้าได้เลยนะ บางคณะก็ต้องสอบเข้าด้วยเหมือนกัน อย่างคณะนิเทศเนี่ยต้องมีความรู้เบื้องต้นกันหน่อย คือมีทั้งสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ สอบข้อเขียนจะเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษล้วนเลย ถามเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นของการใช้โปรแกรม การใช้ภาษา การแสดง การโฆษณา อะไรประมาณนี้ และสอบสัมภาษณ์ก็คือการสอบสัมภาษณ์ปกติอ่ะค่ะ แนะนำว่าให้ทำพอร์ทเป็นภาษาอังกฤษไปนะคะ แต่ส่วนใหญ่อ.เค้าก็เปิดผ่านๆแหละค่ะ เน้นดูรูป แล้วก็จะสัมภาษณ์เราเป็นภาษาอังกฤษ จะบอกว่าตรงนี้ต้องเตรียมตัวกันมาหน่อยนะคะ >อินี่< เจอไปเอ๋อเลยค่ะ แบบ... แล้วกูวจะตอบยังไงวะเนี่ยยยยยยยยยย แต่ก็พยายามตอบอ่ะค่ะ อ้ำๆอึ้งๆก็ตอบไป พยายามแสดงให้อ.เห็นว่าเรามีความพยายามที่จะสื่อสารอ่ะค่ะ ของเราตอบๆไป มีเงียบไปพักนึงเลยเพราะนึกศัพท์ไม่ออก จนบอกอ.ว่า ขอพูดภาษาไทยได้มั้ยคะ อ.ตอบว่า อ้าวๆ พูดไม่ได้ไม่ให้เข้านะ

แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ค่า 55555 ไม่ยากๆ อ.น่ารักด้วย ลืมบอกค่ะ วันสอบข้อเขียนกับสอบสัมภาษณ์อยู่วันเดียวกันเลยนะคะ ช่วงเช้าจะสอบข้อเขียนก่อนแล้วถ้าใครผ่านจะได้อยู่สัมต่อช่วงบ่ายค่ะ ถ้าไม่ผ่านก็ say bye ไปเรียนคณะอื่นที่ไม่ต้องสอบเข้า หรือไม่ก็รอสอบอีกทีปีหน้าเด้ออออออ
Faculty
มาถึงเกี่ยวกับคณะบ้างแล้วนะคะ นิเทศ ABAC จะมีทั้งหมด 6 Major แบ่งเป็น 2 ฝั่งใหญ่ๆคือ expert ทางด้านการสื่อสาร (ฝั่ง ad) และ expert ทางด้านศิลปะออกแบบค่ะ (ฝั่ง visual) ซึ่งเราต้องเลือกตั้งแต่ตอนเข้าเลยว่าเราจะเรียนฝั่ง ad หรือ visual เพราะพื้นฐานที่ต้องเรียนมันจะไม่เหมือนกัน
1.Expert ทางด้านการสื่อสาร
-Advertising โฆษณา
-Public relation ประชาสัมพันธ์
-Digital media สาขานี้จะคล้ายเอก film นิดนึงค่ะ แต่เรียนครอบคลุมไปถึงเทคโนโลยีทางการสื่อสารสมัยใหม่ด้วย
-Live event creation and management หรือเรียกสั้นๆว่า live ซึ่งแต่ก่อนชื่อ performance แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแล้วค่ะ เรียนเกี่ยวกับการบริหารจัดการ/
จัดงานอีเว้นท์แล้วก็ยังได้เรียนการทำละครเวที การสร้างโชว์หรือการแสดงสดต่างๆ เพราะ live แปลว่า "สด" ค่ะ รู้มั้ย ม.อัสสัมชัญเป็นมหาลัยแห่งแร
กและแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีสาขานี้เลยนะคะ ส่วนตัวเราอยากเข้าสาขานี้ค่ะ
2.Expert ทางด้านศิลปะ
-VCD หรือ visual communication design เรียนเกี่ยวกับการออกแบบ เน้นไปทางขีดๆเขียนๆ ออกแบบ วาดรูปค่ะ
-CGI หรือ computer generated imagery เรียนเกี่ยวกับการทำแอนิเมชั่น Animation
จะบอกว่าเราเพิ่งจะปี 1 เทอม 1 เอง เลยยังไม่ค่อยรู้อะไรมาก ถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเข้าไปอ่านตามลิงค์คณะได้เลยจ้า
http://www.ca.au.edu/
สำหรับการเรียนการสองของที่นี่นะคะ จากประสบการณ์ 1 เทอมที่เราได้เข้ามาอยู่เราโอเคมากๆเลย เพราะที่นี่จะให้เราเรียน intro ของทุก Major ตั้งแต่ปี 1 เลย รู้ป่ะ เรากับเพื่อนๆเพิ่งเข้ามา แต่ได้ทำทั้งละครเวที จัดบูธประชาสัมพันธ์ ทำรายการทีวี รายการวิทยุ ทำหนัง ทำ mv ฝึกวิเคราะห์การตลาดกันแล้วเว่ยยย คือมันเร็วมากจนแบบ เฮ่ย จริงดิ 5555 แรกๆเรางงแบบทำอะไรไม่ค่อยถูกอ่ะ ประมาณว่าเปิดเทอมมาก็เจอปังๆๆๆ แต่อ.เค้าคอยดูแลเราดีมาก คอยเป็นที่ปรึกษาให้ ทำให้เรากับเพื่อนๆค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆเข้าใจ เราว่ามันดีนะที่ได้ฝึกทำเลย มันทำให้เราเป็นเร็วกว่าคนอื่นอ่ะ ต่อมาก็เป็นเรื่องอุปกรณ์กับสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่นะ เราจะบอกว่าใครที่ไม่มีกล้องหรือไม่มีอุปกรณ์อะไรไม่ต้องกังวล ที่นี่เค้ามีให้ยืม แต่ต้องไปจองก่อนล่วงหน้าและให้ยืมได้เฉพาะในเขตมหาลัย และที่อลังการงานสร้างเว่อร์คือ ตึกสตูดิโอกับตึกเรียน คือเป็นอะไรที่ทำให้เราอึ้งตาค้างมากเว่ย เท่าที่เราได้เข้าไปเรียนนะ มีห้องสตูแบบห้องส่งไว้สำหรับถ่ายรายการ ซึ่งห้องนี้จะแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นบนเป็นห้องสำหรับ control และชั้นล่างเป็นชั้นที่ mc กับ camera man จัดรายการกันอยู่, มี Black box ไว้สำหรับแสดงละครเวที, มีสตูดิโออัดเสียง เหมือนเวลานักร้องอัดเสียงในห้องกระจกอ่ะ แล้วคือมีหลายห้องงงงง, มีห้องสำหรับเรียนคอสตูม make up, มีห้องกระจก ไว้สำหรับซ้อม แล้วก็มีอีกหลายห้องที่เรายังไม่เคยไปเยือน คือเรียกได้ว่าครบครันมาก ครบแบบจบในหนึ่งเดียว 555555+ ถ้าอยากเห็นรูปสามารถเข้าไปดูได้ที่ลิงค์คณะที่ให้ไว้ข้างบน แล้วเลือกดูไปที่แต่ละเมเจอร์นะจ๊ะ จะได้เห็นบรรยากาศการเรียนการสอนของที่นี่มากขึ้น
Society
เรื่องสังคมที่นี่ เราขอพูดภาพรวมของมหาวิทยาลัยก่อนนะคะ สำหรับเราที่ได้มาสัมผัสอ่ะเราว่าที่นี่โอเคมาก คือเรามีความรู้สึกว่าเหมือนที่นี่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆจะค่อนข้างสนิทกัน เป็นเพราะม.เราเล็กรึเปล่าก็ไม่รู้ 55555+ เดินไปตรงไหนก็เจอแต่คนรู้จักกัน ทักกัน คุยกัน ชวนไปกินข้าว เรื่องความไฮโซหัวสูงเราว่าก็คงมีบ้าง และก็เชื่อว่าคนแบบนี้มีอยู่ในทุกสังคมแหละเอาจริงๆ แต่สำหรับเราอ่ะเรายังไม่เคยเห็นการเหยียดกันหรือดูถูกกัน เราก็เห็นว่าไม่ว่าจะฐานะไหนก็เป็นเพื่อนกันดีออก และทุกคนก็เคารพซึ่งกันและกันด้วย ที่นี่เค้าจะเน้นการปลูกฝังเรื่องมิตรภาพตั้งแต่เราเข้าไปแรกๆเลย มันมีอยู่หลายกิจกรรมนะ ที่ทำให้เรารู้จักกันกว้างขึ้น อย่างเช่น AU camp เป็น one day camp สำหรับรับน้องปี 1 มีการเข้าฐานกิจกรรม เข้าฮอล์ขึ้นสแตนเชียร์ ดูโชว์ที่พี่ๆเตรียมไว้ ไม่มีการว๊าก ไม่มีดุอะไรทั้งสิ้น หรืออย่าง ค่าย AU friends ก็จะเป็นค่ายพี่รหัส น้องรหัส นอกจากนี้ก็ยังมี ค่ายคณะ ค่ายชมรม ฯลฯ คือเค้าค่อนข้างส่งเสริมในเรื่องมิตรภาพอ่ะค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเลยว่ามาที่นี่จะไม่มีเพื่อนหรือจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ทำใจให้ชิลไว้ ส่วนของคณะ โหหหห ตรงนี้ดีที่สุดแล้ว มันอบอุ่นแล้วก็ดีมากเว่ย ทุกปีอ่ะค่ะทางคณะเค้าจะทำค่ายรับน้อง เราแนะนำว่า *ต้องไป!* เพราะเราได้เพื่อนได้พี่ก็จากค่ายนี้เยอะมาก ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สนิทกันมากๆ และจะเป็นกลุ่มคนสำคัญของคณะด้วย เราบอกไว้เลยว่าถ้าไม่ได้ไปค่ายอ่ะ คุณจะมาแค่เพื่อเรียนแล้วก็ทำงานส่ง จะไม่ได้สัมผัสถึงความเป็นนิเทศที่แท้ทรู!
ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งดีๆที่เราอยากจะแชร์ เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนที่สนใจนะคะ ส่วนถ้าใครมีคำถามอะไรก็สามารถถามไว้ได้เลย อะไรที่รู้จะเอามาตอบ และอะไรที่ไม่รู้ก็จะพยายามหาคำตอบมาให้นะจ๊ะ บ๊ายบายยยยยยยยยย
รีวิว นิเทศ ABAC!
เราจะแบ่งข้อมูลออกเป็น 3 part หลักๆนะคะ
1.Admission
2.Faculty
3.Society
Admission
มาเริ่มกันที่ Admission กันก่อนเลย Admission ก็คือการสอบเข้านี่แหละค่ะ ซึ่งจากประสบการณ์ของเรา เราขอแบ่งการสอบเข้าเป็น 2 แบบ คือแบบสมัครเข้ามหาวิทยาลัยปกติกับแบบชิงทุน เป็นที่รู้ดีกันอยู่แล้วนะคะว่าที่นี่เค้าค่าเทอมแพงมว๊ากกกกกกก ส่วนใหญ่สำหรับคนที่ครอบครัวมีกำลังจ่ายไหวเค้าก็จะสมัครเข้ากันปกตินี่แหละค่ะ แต่สำหรับ>อิชั้น< ที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเบอร์นั้น เจ้าคุณพ่อกับเจ้าคุณแม่ก็เริ่มแก่แล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะเกษียณ แล้ว >อิลูก< ดันหัวสูงอยากจะเรียนที่นี่ก็ต้องชิงทุนกันไป ซึ่งทุนที่นี่มีแจกค่อนข้างเยอะนะคะ แล้วก็มีหลายระดับ ถ้าใครสนใจสามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บนี้นะ http://www.scholarship.au.edu/ เค้าจะประกาศประมาณปลายๆปีของทุกปีอ่ะค่ะ เรานี่ติดตามตั้งแต่ตุลายันธันวาเลย กลัวพลาด
เราขอเสริมเรื่องสำคัญอย่างนึงนะคะ คือหลังจากที่เรากรอกใบสมัครเรียบร้อยแล้ว เราต้องสอบวัดระดับภาษาอังกฤษกับทางมหาวิทยาลัยก่อน ผลตัวนี้จะเป็นตัวบอกว่าเราต้องเรียนปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษมั้ยและกี่ชั่วโมง ถ้าใครเก่งๆหน่อยก็เรียนไม่กี่ชั่วโมงหรอก แต่เรานี่ Jackpot จ้า เจอไป 120!!!
(เป็นลมแพร้บส์ @-@) ทำไมต้องสอบวัด? เพราะว่าการเรียนการสอนที่เอแบคเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดค่ะ ใช้ภาษาอังกฤษแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน มีบ้างนิดๆหน่อยๆที่ถ้าอาจารย์เป็นคนไทยแล้วคือแบบเราไม่เข้าใจจริงๆ ไม่รู้จะถามยังไงก็จะพูดภาษาไทยกับอ. ที่นี่บังคับเรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาหลักด้วยนะคะ ก็คงเหมือนกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศแหละค่ะ ที่ไม่ว่าคุณจะอยู่คณะอะไร สาขาอะไรยังไงก็ต้องเรียน ซึ่งมีทั้งหมด 4 ระดับคือ Eng1-4 ต้องผ่านอิ๊ง 4 ไม่งั้นไม่จบ แต่ถ้าใครเก่งๆหน่อยหรือขี้เกียจเรียนไปยันอิ๊ง 4 ก็ไปสอบ ielts แล้วนำผลมายื่นก็ได้ และต้องได้ 7 ขึ้นไปน้าถึงจะผ่านอิ๊ง 4 ถ้าได้น้อยกว่านั้นลงมาก็จะอยู่ในระดับ 1-3 แล้วเรียนต่อจากระดับนั้นให้จบ หรือไม่ก็ไปสอบให้ผ่าน 55555+ ทั้งหมดนี่ก็เป็นข้อมูลเบื้องต้นของมหาวิทยาลัยนะคะ ทีนี้เราลองมาดูทางฝั่งคณะกันบ้างดีกว่า การสอบนี่ไม่ใช่แค่ว่าสมัครเข้ามหาวิทยาลัยและสอบภาษาอังกฤษแล้วจะเข้าได้เลยนะ บางคณะก็ต้องสอบเข้าด้วยเหมือนกัน อย่างคณะนิเทศเนี่ยต้องมีความรู้เบื้องต้นกันหน่อย คือมีทั้งสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ สอบข้อเขียนจะเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษล้วนเลย ถามเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นของการใช้โปรแกรม การใช้ภาษา การแสดง การโฆษณา อะไรประมาณนี้ และสอบสัมภาษณ์ก็คือการสอบสัมภาษณ์ปกติอ่ะค่ะ แนะนำว่าให้ทำพอร์ทเป็นภาษาอังกฤษไปนะคะ แต่ส่วนใหญ่อ.เค้าก็เปิดผ่านๆแหละค่ะ เน้นดูรูป แล้วก็จะสัมภาษณ์เราเป็นภาษาอังกฤษ จะบอกว่าตรงนี้ต้องเตรียมตัวกันมาหน่อยนะคะ >อินี่< เจอไปเอ๋อเลยค่ะ แบบ... แล้วกูวจะตอบยังไงวะเนี่ยยยยยยยยยย แต่ก็พยายามตอบอ่ะค่ะ อ้ำๆอึ้งๆก็ตอบไป พยายามแสดงให้อ.เห็นว่าเรามีความพยายามที่จะสื่อสารอ่ะค่ะ ของเราตอบๆไป มีเงียบไปพักนึงเลยเพราะนึกศัพท์ไม่ออก จนบอกอ.ว่า ขอพูดภาษาไทยได้มั้ยคะ อ.ตอบว่า อ้าวๆ พูดไม่ได้ไม่ให้เข้านะ
Faculty
มาถึงเกี่ยวกับคณะบ้างแล้วนะคะ นิเทศ ABAC จะมีทั้งหมด 6 Major แบ่งเป็น 2 ฝั่งใหญ่ๆคือ expert ทางด้านการสื่อสาร (ฝั่ง ad) และ expert ทางด้านศิลปะออกแบบค่ะ (ฝั่ง visual) ซึ่งเราต้องเลือกตั้งแต่ตอนเข้าเลยว่าเราจะเรียนฝั่ง ad หรือ visual เพราะพื้นฐานที่ต้องเรียนมันจะไม่เหมือนกัน
1.Expert ทางด้านการสื่อสาร
-Advertising โฆษณา
-Public relation ประชาสัมพันธ์
-Digital media สาขานี้จะคล้ายเอก film นิดนึงค่ะ แต่เรียนครอบคลุมไปถึงเทคโนโลยีทางการสื่อสารสมัยใหม่ด้วย
-Live event creation and management หรือเรียกสั้นๆว่า live ซึ่งแต่ก่อนชื่อ performance แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแล้วค่ะ เรียนเกี่ยวกับการบริหารจัดการ/
จัดงานอีเว้นท์แล้วก็ยังได้เรียนการทำละครเวที การสร้างโชว์หรือการแสดงสดต่างๆ เพราะ live แปลว่า "สด" ค่ะ รู้มั้ย ม.อัสสัมชัญเป็นมหาลัยแห่งแร
กและแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีสาขานี้เลยนะคะ ส่วนตัวเราอยากเข้าสาขานี้ค่ะ
2.Expert ทางด้านศิลปะ
-VCD หรือ visual communication design เรียนเกี่ยวกับการออกแบบ เน้นไปทางขีดๆเขียนๆ ออกแบบ วาดรูปค่ะ
-CGI หรือ computer generated imagery เรียนเกี่ยวกับการทำแอนิเมชั่น Animation
จะบอกว่าเราเพิ่งจะปี 1 เทอม 1 เอง เลยยังไม่ค่อยรู้อะไรมาก ถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเข้าไปอ่านตามลิงค์คณะได้เลยจ้า http://www.ca.au.edu/
สำหรับการเรียนการสองของที่นี่นะคะ จากประสบการณ์ 1 เทอมที่เราได้เข้ามาอยู่เราโอเคมากๆเลย เพราะที่นี่จะให้เราเรียน intro ของทุก Major ตั้งแต่ปี 1 เลย รู้ป่ะ เรากับเพื่อนๆเพิ่งเข้ามา แต่ได้ทำทั้งละครเวที จัดบูธประชาสัมพันธ์ ทำรายการทีวี รายการวิทยุ ทำหนัง ทำ mv ฝึกวิเคราะห์การตลาดกันแล้วเว่ยยย คือมันเร็วมากจนแบบ เฮ่ย จริงดิ 5555 แรกๆเรางงแบบทำอะไรไม่ค่อยถูกอ่ะ ประมาณว่าเปิดเทอมมาก็เจอปังๆๆๆ แต่อ.เค้าคอยดูแลเราดีมาก คอยเป็นที่ปรึกษาให้ ทำให้เรากับเพื่อนๆค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆเข้าใจ เราว่ามันดีนะที่ได้ฝึกทำเลย มันทำให้เราเป็นเร็วกว่าคนอื่นอ่ะ ต่อมาก็เป็นเรื่องอุปกรณ์กับสิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่นะ เราจะบอกว่าใครที่ไม่มีกล้องหรือไม่มีอุปกรณ์อะไรไม่ต้องกังวล ที่นี่เค้ามีให้ยืม แต่ต้องไปจองก่อนล่วงหน้าและให้ยืมได้เฉพาะในเขตมหาลัย และที่อลังการงานสร้างเว่อร์คือ ตึกสตูดิโอกับตึกเรียน คือเป็นอะไรที่ทำให้เราอึ้งตาค้างมากเว่ย เท่าที่เราได้เข้าไปเรียนนะ มีห้องสตูแบบห้องส่งไว้สำหรับถ่ายรายการ ซึ่งห้องนี้จะแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นบนเป็นห้องสำหรับ control และชั้นล่างเป็นชั้นที่ mc กับ camera man จัดรายการกันอยู่, มี Black box ไว้สำหรับแสดงละครเวที, มีสตูดิโออัดเสียง เหมือนเวลานักร้องอัดเสียงในห้องกระจกอ่ะ แล้วคือมีหลายห้องงงงง, มีห้องสำหรับเรียนคอสตูม make up, มีห้องกระจก ไว้สำหรับซ้อม แล้วก็มีอีกหลายห้องที่เรายังไม่เคยไปเยือน คือเรียกได้ว่าครบครันมาก ครบแบบจบในหนึ่งเดียว 555555+ ถ้าอยากเห็นรูปสามารถเข้าไปดูได้ที่ลิงค์คณะที่ให้ไว้ข้างบน แล้วเลือกดูไปที่แต่ละเมเจอร์นะจ๊ะ จะได้เห็นบรรยากาศการเรียนการสอนของที่นี่มากขึ้น
Society
เรื่องสังคมที่นี่ เราขอพูดภาพรวมของมหาวิทยาลัยก่อนนะคะ สำหรับเราที่ได้มาสัมผัสอ่ะเราว่าที่นี่โอเคมาก คือเรามีความรู้สึกว่าเหมือนที่นี่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆจะค่อนข้างสนิทกัน เป็นเพราะม.เราเล็กรึเปล่าก็ไม่รู้ 55555+ เดินไปตรงไหนก็เจอแต่คนรู้จักกัน ทักกัน คุยกัน ชวนไปกินข้าว เรื่องความไฮโซหัวสูงเราว่าก็คงมีบ้าง และก็เชื่อว่าคนแบบนี้มีอยู่ในทุกสังคมแหละเอาจริงๆ แต่สำหรับเราอ่ะเรายังไม่เคยเห็นการเหยียดกันหรือดูถูกกัน เราก็เห็นว่าไม่ว่าจะฐานะไหนก็เป็นเพื่อนกันดีออก และทุกคนก็เคารพซึ่งกันและกันด้วย ที่นี่เค้าจะเน้นการปลูกฝังเรื่องมิตรภาพตั้งแต่เราเข้าไปแรกๆเลย มันมีอยู่หลายกิจกรรมนะ ที่ทำให้เรารู้จักกันกว้างขึ้น อย่างเช่น AU camp เป็น one day camp สำหรับรับน้องปี 1 มีการเข้าฐานกิจกรรม เข้าฮอล์ขึ้นสแตนเชียร์ ดูโชว์ที่พี่ๆเตรียมไว้ ไม่มีการว๊าก ไม่มีดุอะไรทั้งสิ้น หรืออย่าง ค่าย AU friends ก็จะเป็นค่ายพี่รหัส น้องรหัส นอกจากนี้ก็ยังมี ค่ายคณะ ค่ายชมรม ฯลฯ คือเค้าค่อนข้างส่งเสริมในเรื่องมิตรภาพอ่ะค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเลยว่ามาที่นี่จะไม่มีเพื่อนหรือจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ทำใจให้ชิลไว้ ส่วนของคณะ โหหหห ตรงนี้ดีที่สุดแล้ว มันอบอุ่นแล้วก็ดีมากเว่ย ทุกปีอ่ะค่ะทางคณะเค้าจะทำค่ายรับน้อง เราแนะนำว่า *ต้องไป!* เพราะเราได้เพื่อนได้พี่ก็จากค่ายนี้เยอะมาก ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สนิทกันมากๆ และจะเป็นกลุ่มคนสำคัญของคณะด้วย เราบอกไว้เลยว่าถ้าไม่ได้ไปค่ายอ่ะ คุณจะมาแค่เพื่อเรียนแล้วก็ทำงานส่ง จะไม่ได้สัมผัสถึงความเป็นนิเทศที่แท้ทรู!
ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งดีๆที่เราอยากจะแชร์ เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนที่สนใจนะคะ ส่วนถ้าใครมีคำถามอะไรก็สามารถถามไว้ได้เลย อะไรที่รู้จะเอามาตอบ และอะไรที่ไม่รู้ก็จะพยายามหาคำตอบมาให้นะจ๊ะ บ๊ายบายยยยยยยยยย