คู่ชีวิตของผมเป็นผู้ติดเชื้อ แต่เราสุขกันได้รักกันได้เพราะใจและความดีครับ

สวัสดีครับผม...ผมมีเรื่องราวดี ๆ ที่อยากจะแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้รับรู้เรื่องราวที่ผมคิดว่า สำหรับผมมันคือ "ความประทับใจและความโชดดี" ครับ ที่ได้มาเจอคู่ชีวิตคนนี้ เริ่มกันเลยนะครับ
ผมเป็นเกย์ครับ (รุก) ตอนนี้ก็อายุสามสิบต้น ๆ ส่วนแฟนผมอายุสามสิบกลาง ๆ (รับ) ผมกับแฟนเจอกันและได้รู้จักกันและใช้วิตร่วมกันฉันสามีภรรยาถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2560) ก็ร่วม 3 ปี แล้วครับ โดยที่ทางบ้านผมและบ้านแฟนก็รับรู้กันครับ เราเริ่มต้นจากการซื้อบ้าน ซื้อรถ ฯลฯ ด้วยกัน ทุกอย่างเปิดเผยหมด ผมไม่ปิดบังต่อสังคมที่ผมมีรสนิยมแบบนี้...ตั้งแต่เราเริ่มคบกัน แฟนผมก็บอกว่า "เขาเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนะ" และถามผมว่า จะคบกันต่อหรือเปล่า ผมก็บอกว่าในเมื่อที่รักกันแล้ว และในสายตาผมและการกระทำของเขาผมสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนดีทั้งทางด้านความคิด มุมมอง และจิตสำนึกที่ดีในหลาย ๆ ด้าน แต่ที่สำคัญคือ "เขาเป็นคนเอาใจเก่ง555" ผมก็บอกเขาว่า คบต่อนะ มาถึงจุดนี้แล้ว จุดที่มันเจอคนที่ใช่ ก็ไม่อยากให้หลุดลอยนวลไป ตั้งแต่นั้นมาผมก็หาข้อมูลทุกสิ่งที่อย่างที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ หรือแม้กระทั่งอาหารการกินผมก็เอาใจใส่เพื่อให้เขาสามารถต่อสู้กับโรคที่เขาเป็นเป็นได้(ประเด็นของผมคือ ผมอยากให้เขาอยู่กับผมนาน ๆ ครับ) และหลังจากใช้ชีวิตอยู่กินด้วยกันแบบนี้จนครบ 2 ปี ผมเริ่มสังเกตเห็นร่างกายเขาแปลก ๆ มีความผิดปกติในหลาย ๆ ด้าน จนสามารถสังเกตได้ว่า โรคที่เขาเป็นไม่ใช่โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแน่นอน ผมเค้นเขา คั้นเขา หลาย ๆ ครั้งมาก ว่าตกลงเป็นอะไรกันแน่ ๆ จนในที่สุด ณ คืนนั้น เป็นคืนที่ผมจำได้ไม่มีวันลืมของชีวิต ณ เดือน เมษายน 2560 เวลา 21.30 น. ผมตัดสินใจถามเขาว่า "คุณติดเชื้อใช่ไหม" เขาตอบผมกลับมาว่า "ใช่" ณ ห้วงเวลานั้น ทั้งชีวิตผมมืดบอด เหมือนคนหน้ามืดมาก แต่พยายามเรียกสติตัวเองกับมา และจับมือเขาและบอกว่า ไม่เป็นไรน่ะ สู้ต่อไป และบอกเขาว่า ไป..พาผมไปตรวจ HIV หน่อย อารมย์ขับรถตอนนั้นแทบจะไม่มีสติเลย คิดถึงพ่อแม่ ครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่จะคิดได้
ในขณะนั้งรถไป รพ. ด้วยกัน เขาสารภาพกับผมว่า เขาไม่อยากบอกผมเลยเรื่องนี้ แต่อาการทางกายมันออกแล้วครับ เขาบอกว่าจะอยู่ต่อหรือเลิกลากันก็ได้นะ เพราะเขารู้ว่า สักวันหนึ่งความลับนี้ มันก็ต้องบอกกัน (ผมนั้งเงียบมาก และก็นั้งทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมา ผมเคยขอเขาสด(ไม่ใส่ถุงยาง) เพราะผมมองว่า เราเป็นสามีภรรยากันก็ไม่จำเป็นต้องป้องกันก็ได้ แต่เขาก็บ่ายเบี่ยงทุกครั้ง ไม่ยอมผมถ้าไม่ใส่ถุง หรือแม้กระทั่งเรื่องอื่น ๆ ก็ตามที่มันมีความเสี่ยง เขาจะไม่ยอมทำทั้งนั้น และหลังจากที่ผมฟังเขาพูด..ผมก็เข้าใจได้ถึงเจตนาดีเขาครับ) และผลปรากฏว่า ผมไปตรวจหาเชื้อ HIV ผมไม่พบการติดเชื้อแม้แต่อย่างใดครับ
หลังจากกลับมาบ้าน ผมปรับทัศนคติเกี่ยวกับการใช้ชีวิตใหม่กันอีกครั้ง เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพเขาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงอัตราความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับผม จนตอนนี้อย่างที่เรียนไปครับจะร่วม 3 ปีแล้วครับ ผมก็บอกได้อย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "ผมรักเขา และรักเขามาก เขาอาจจะเคยทำผิดพลาดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในอดีตมา แต่มันเป็นเรื่องของอดีตที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ ผมเลือกที่จะอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันที่ผมรักเขา เขารักผม และเราก็รักกันครับ" ผมมีความสุขดีครับ และหลายคนที่ขอเลือกมาใช้ชีวิตกับผมในขณะที่ตอนนี้ที่ผมมีเขา แต่ผมบอกได้คำเดียวครับว่า ผมไม่สามารถรักใครได้ เพราะเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างของผมครับ เขารักแม่ผม เขารักพี่น้องผม เขาเป็นคนดี จิตใจดี มองโลกในแง่ดี เขาเป็นคนที่ทำบ้าน ทำครอบครัวให้เย็นครับ ความเย็นความร่มใจที่ทำให้ผมรู้สึกว่า พอเลิกงานแล้วอยากกลับบ้านไปหาเมีย..และหากวันนี้หรือวันใดวันหนึ่งที่กระทู้นี้เขามีโอกาสได้อ่านมัน ผมอยากให้เขารู้ว่า ผมมีความสุขทุกครั้ง ทุกเวลาที่ได้อยู่ใกล้ ๆ เขา และเราจะร่วมต่อสู้และเผชิญอะไรต่าง ๆ ในอนาคตด้วยกันอย่างมั่นใจว่า เราจะไม่ปล่อยมือกัน
..คุณผู้อ่าน เชื่อไหมครับว่า ไม่มีวิธีใดรักษาโรคให้หายหรือทุเลาลงได้ หากใจไม่แข็งแรง และวันนี้ผมกับแฟนสามารถพิสูจน์ได้ว่า ใจที่แข็งแรงสามารถสู้ต่อโรคภัยต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงทีและฉับพลันครับยิ้ม..จนตอนนี้คุณภาพชีวิตทางด้านร่างการเขาดีขึ้นมาก ๆ ครับ กลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไปครับ
ขอขอบพระคุณคุณผู้อ่านนะครับ ที่เสียสละเวลามาอ่านเรื่องราวของผม ผมอยากแชร์ไว้เป็นวิทยาทานทางด้านกำลังใจครับว่า ผู้ติดเชื่อ HIV เขาก็มีสิทธิ์ที่รักใครก็ได้และก็มีหัวใจในความรักที่สมหวังดังเช่นคู่ชีวิตผมครับ
ขอบคุณอีกครั้งครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่