แชร์ประสบการณ์ลูกติดมือถือ จนต้องออกจากงานมาดูแลเอง

. สวัสดีค่ะเราจะมาแชร์ประสบการณ์ลูกชายติดมือถือ ติดแท็ปเล็ตจนไม่ยอมพูดค่ะเท้าความไปตั้งแต่ตอนท้อง เราอายุ 28 ไม่มีภาวะเสี่ยงใดๆ ฝากท้องปกติทุกอย่าง ตั้งใจไว้ว่าจะคลอดเอง เลี้ยงเอง โดยให้แม่สามีช่วยเลี้ยงช่วงกลางวันที่เราไปทำงาน และตั้งปฏิญาณอีกอย่างคือ จะไม่ให้ลูกติดมือถือแน่นอน เพราะเวลาเปิดดูข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กทีไร การให้ลูกดูมือถือ หรือสื่อโทรทัศน์ตั้งแต่เด็กก็ล้วนก่อให้เกิดผลเสียทั้งนั้น
มาถึงตอนคลอด ก็ปกติ ลูกไม่มีภาวะอะไร ไม่เอ๋อ ตัวไม่เหลือง เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 8 เดือน มีเปิดทีวีให้ลูกดูบ้าง เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก

จนลูกอายุได้ประมาณ 1 ขวบ เริ่มหัดเดิน เขาเป็นเด็กที่ชอบเที่ยว เนื่องจากเราทำงานอยู่ กทม. โดยเช่าห้องอยู่เป็นห้องไม่ใหญ่มาก รู้สึกว่า ยิ่งเขาโต เขาก็ต้องการที่กว้างๆ แฟนเรากลับจากที่ทำงานก่อน จึงมีหน้าที่พาลูกเที่ยวช่วงเย็น เพื่อไม่ให้ลูกเบื่อ วันหยุดก็พาไปเปิดหูเปิดตา ไปห้างบ้าง ไปสวนสาธารณะบ้าง ก็ไม่มีอะไรผิดปกติค่ะ จนเข้าฤดูฝน ฝนตกช่วงเย็นบ่อย แฟนจึงพาลูกออกไปเดินเล่นไม่ได้ คราวนี้คือ เขาร้องไห้โยเยมากค่ะ เพราะเขาชอบดูรถก่อสร้างคันใหญ่ๆ มาก เคยพาไปดูทุกวัน พอไม่ได้พาไป ก็เป็นเรื่องเลยค่ะ
คราวนี้แหละค่ะต้นเหตุของปัญหา เราปิ๊งไอเดียว่าไม่เห็นต้องออกไปข้างนอกเลย ในเมื่อทีวีเราต่อยูทูปได้ก็เปิดรถให้ลูกดูที่ห้องนี่แหละ เท่านั้นแหละค่ะ หายนะเลย ลูกกลายไปคนติดยูทูปค่ะ จะต้องร้องให้เปิดทีวี รายการที่เข้าต้องการตลอด ส่วนเราก็พยายามพาลูกทำกิจกรรมนะคะ แต่เราทำงานประจำหยุดแค่วันอาทิตย์วันเดียว วันธรรมดาก็กลับมืดทุกวัน กลับมาก็หมดแรงค่ะ ยอมรับเลยว่าให้เวลาเขาน้อย บางครั้งก็ตัดปัญหายอมเปิดให้ลูกดู แทนที่จะหาอะไรเล่นกับเขา
ช่วงนั้นก็ยังไม่เห็นความหายนะมากมายอะไร เขาก็เป็นเด็กร่าเริง ที่ค่อนไปทางเอาแต่ใจ เวลาต้องการอะไรหรือเราดุ เขาจะร้องไห้จนเราต้องยอม แต่เขาก็ไม่ได้ดูแต่ทีวีนะคะ เขาก็เล่นตัวต่อ เล่นของเล่นตามวัยเขาได้ เสียแค่ว่าเวลาเราเรียก เขาจะไม่ค่อยสนใจเท่านั้นค่ะ

พอเขาอายุได้ประมาณ 1 ขวบ 7 เดือน เราก็มีความจำเป็นต้องห่างจากลูก เพราะแม่สามีเลี้ยงไม่ไหวเนื่องจากปัญหาสุขภาพ เลยจำยอมต้องให้ลูกห่างเราไปอยู่กับแม่เราที่ต่างจังหวัดค่ะ
ปกติแม่เราอยู่ต่างจังหวัด เขาไม่ได้อยู่เฉยๆ ค่ะ เขามีงานที่ทำอยู่ที่บ้านด้วย พอเราพาลูกไปอยู่ด้วย นั่นคือแม่ต้องทำงานด้วย เลี้ยงลูกเราด้วยค่ะ เราเลยขอร้องให้น้องชายเราช่วยดูแลลูกเราด้วย โดยเราเป็นคนเดียวในครอบครัวที่หาเงินได้เยอะที่สุด เราจึงทำหน้าที่ส่งเงินให้แม่และน้องมากขึ้นค่ะ เพื่อตอบแทนที่ดูแลลูกเรา

ความหายนะชัดเจนมากตอนลูกเราอายุ 2 ขวบครึ่งค่ะ ซึ่งเป็นช่วงอายุที่เขาควรจะพูดได้แล้ว อย่างน้อยถ้าพูดช้ามากๆ ก็น่าจะพูด 1 พยางค์ได้หลายคำแล้ว แต่เขาพูดได้แค่ "นม" กับ"เอามา" แค่ 2 คำ เวลาที่อยากได้อะไร หรือจะถามอะไรเราก็จะทำเสียง อิ๊ๆ แล้วชี้ถาม ถ้าเราตอบไม่ถูกใจก็อาระวาดโวยวาย เวลาเราคุยด้วย เราเรียก เขาก็ไม่สนใจ ไม่หัน ไม่โต้ตอบ นั่นทำให้เรารู้สึกว่าไม่ไหวละ ไม่ปกติละ เวลาเขาเล่น ก็เหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว และจะก้าวร้าว เล่นผาดโผน มีครั้งนึงเขาร้องไห้โวยวายจะต้องปีนขึ้นบนหลังคารถยนต์ให้ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ยอม
พอมานึกๆ ถึงสาเหตุ ก็ใช่เลยค่ะ ด้วยความที่เขาติดยูทูปตั้งแต่ตอนอยู่ กทม. พอมาบ้าน ทีวีมันไม่สามารถเปิดยูทูปได้ แม่เลยต้องเปิดจากแท็ปเล็ต หรือมือถือให้หลานดูค่ะ ประกอบกับแม่เราเขาทำงานด้วย บางครั้งจึงต้องเปิดให้ดูเพื่อตัดรำคาญ เพื่อให้ทำงานได้ ส่วนน้องเรา ก็ได้ความที่เป็นผู้ชาย และยังไม่เคยมีครอบครัว จึงไม่มีความละเอียดอ่อนในการดูแลเด็ก
ลูกเราติดมือถือมาก ถึงมากที่สุด ถึงขนาดต้องดูทุกครั้งก่อนนอน ทั้งนอนกลางวัน และกลางคืน ไม่ใช่แค่ดูอย่างเดียว เขาสามารถเลือก ปัดไปปัดมาบนจอได้ ดูวนไปค่ะ บางทีก็ตาค้างไม่ยอมนอนไปเลย พอให้เลิก ก็ร้องไห้โวยวายมากจนต้องปล่อยให้ดูจนหลับไปเอง เล่นกับเด็กคนไหนก็จะแกล้งเขาไปหมด เล่นแรง ไม่สบตา ไม่คุยกับเรา ปวดใจมากค่ะ

เราจึงตัดสินใจลาออกจากงานค่ะ เพื่อมาบำบัดอาการติดมือถือของลูก รวมกับความคิดถึงลูกมากๆ ด้วย ตอนนั้นคิดหนักมาก เพราะอย่างที่บอกไปว่าเราเป็นคนที่หาเงินได้เยอะที่สุดในครอบครัว การที่เราออกจากงานคือ เราขาดรายได้ มองไปถึงอนาคตคือลำบากเรื่องเงินแน่นอน แต่ว่าเราไม่มีทางเลือกค่ะ คิดว่าทางนี้ดีที่สุด ต้องยอมค่ะ เพราะถ้าเวลาผ่านไป แล้วถ้าลูกเราไม่ปกติ เราคงย้อนเวลากลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เราคิดว่าจะกลับไปดูแลลูกสักช่วงระยะหนึ่ง และจะหางานทำที่บ้านค่ะ ส่วนสามีก็ให้ทำงานที่ กทม.ไปก่อน ค่อยย้ายตามไปค่ะ

มาตรการบำบัดการติดมือถือของลูกเราคือ ไม่ให้เล่น ไม่ให้เห็นเลย ให้ได้ 1 สัปดาห์ ข้อมูลวิธีการ ก็เสิร์ชหาในเน็ตนี่แหละค่ะ โดยที่ทุกคนในบ้านก็ต้องให้ความร่วมมือ เก็บมือถือ ห้ามเล่นให้เขาเห็นเด็ดขาด
**วันที่ 1 ลูกร้องหา อยากเล่น ก็ก็เบี่ยงเบนความสนใจ โดยการชวนทำกิจกรรมสนุกๆ หาของเล่นใหม่ๆ พาไปเดินเล่นนอกบ้าน บอก
เลยค่ะ ว่าเหนื่อยมาก เพราะลูกสมาธิสั้นไปแล้ว เขาจะเล่นๆ ไป อยากเปลี่ยนอีกละ เล่นๆ ไปอยากไปข้างนอกอีกละ เราก็มีหน้าที่
คิดๆ วิธีเล่น วนไปค่ะ
**วันที่ 2 ลูกร้องหา เหมือนเดิม ก็ทำวิธีเดิมค่ะ วนไปค่ะ บางทีซ้ำกับวันแรกลูกก็มีเบื่อนะคะ ห้ามซ้ำค่ะ
**วันที่ 3 ท่องไว้ค่ะ ว่าถ้าลูกเห็นมือถืออีก คือต้องนับ 1 ใหม่ ความอยากเล่นของลูกถึงขีดสุด ถ่วงเวลาค่ะ พาไปโน้นนี่
**วันที่ 4 5 6 ลูกเริ่มถามหาน้อยลงค่ะ อยากชวนเราเล่น เริ่มสนใจเรามากขึ้น
**วันที่ 7 ลูกไม่ถามหาค่ะ ลูกเริ่มเหมือนอยากพูดกับเรา อยากออกเสียง เราดีใจมาก และลุ้นมากด้วย ว่าเขาจะพูดได้เมื่อไร
หลังจากนั้น เขาก็เหมือนจะมีความอยากพูด อยากหัดออกเสียง เริ่มพูด 1 พยางค์ได้หลายคำมากขึ้น 1 เดือนผ่านไป เขาพูด 1 พยางค์ได้หลายคำมาก เรียกแม่ ยาย พ่อ ได้ คือดีใจมากค่ะ เหมือนเขาก็ดีใจเหมือนกันนะคะ ที่เขาเรียกเราได้สักที

พอ 2-3 เดือนผ่านไป เขาก็พูด 2 พยางค์ 3 พยางค์ได้ตามลำดับ คือมันเป็นอะไรที่ปลื้มปลิ่มมาก เขาสื่อสารได้ บอกความต้องการเขาได้ เขาสบตาเรา เวลาเราเรียก เขาหันมาสนใจ เวลาเล่นก็สามารถเล่นกับคนอื่นได้ดีขึ้น เราหัดการบอกฉี่บอกอึกับเขาด้วย เพื่อเตรียมตัวเขาโรงเรียน
ผ่านมา 4-5 เดือนแล้วค่ะ ลูกเราจะ 3 ขวบแล้ว พัฒนาการของเขาเป็นไปตามเป้าหมายของเรา ที่จะต้องสื่อสารได้เข้าสังคมได้ อารมณ์ฉุนเฉียวน้อยลง เพื่อที่จะสามารถเข้าโรงเรียนได้ ตอนนี้นะคะ พูดเก่งจนคุยด้วยไม่ไหวเลยค่ะ พูดคุยเป็นประโยคสั้นๆ ได้แล้ว เวลาที่เราสอนออกเสียง ให้เขาดูปาก เขาก็สนใจ เวลาพูดเป็นประโยคได้ เขาก็จะดีใจมาก

บทสรุป การเลี้ยงลูก เป็นอะไรที่ท้าทายค่ะ มีปัญหามาให้เราแก้ได้เสมอ ถึงเหนื่อยแต่ก็มีความสุขมากๆ ค่ะ การมองดูเขาเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ มีความสุข มันเป็นสิ่งที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ถ้าผ่านเลยช่วงเวลานี้ไป เราไม่เสียใจเลยค่ะที่ออกจากงานมาดูแลเขา ถึงแม้จะลำบากมากกกก (ก ล้านตัว) ตอนนี้ก็ได้เริ่มงานประจำแถวบ้านแล้วค่ะ ทำงาน จ.-ศ. ก็มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้นค่ะ ถึงรายได้จะน้อยลง ความเหนื่อยทวีคูณ แต่ความสุขมากล้นค่ะ

**ฝากไปถึง คุณพ่อคุณแม่มือใหม่นะคะว่า มือถือ แท็ปเล็ต ทีวี อย่าให้ลูกเข้าใกล้เลยค่ะ
**ลืมบอกไปค่ะ ว่าปัจจุบัน ลูกไม่อยากเล่นมือถือแล้วค่ะ เห็นก็เฉยๆ แต่ถ้าเราเปิดให้ดู เขาก็ดูบ้าง สักพักก็ไปเล่น ซึ่งเป็นสัญญาณว่า เราแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงทีค่ะ^^

อัพเดทนะคะ (30/6/2563)
.  ปัจจุบันเรากลับมาทำงานที่ กทม. เช่นเดิม เพราะเป็นเรี่ยวแรงหลักของครอบครัว ถ้ายังทำงานอยู่ที่บ้าน รายรับคงไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย ซึ่งระยะเวลาที่เราออกไปดูแลลูกประมาณ 6 เดือนค่ะ แต่เราไม่เคยรู้สึกว่าคิดผิดเลย ถึงแม้ว่าการหางานใหม่นั้นจะยากซะหน่อย เพราะถ้าตอนนั้นไม่ตัดสินใจออกจากงานไปดูแลลูกเอง ก็ไม่รู้ว่าเขาจะพูดเก่งเหมือนทุกวันนี้ไหมนะคะ ตอนนี้น้องก็สามารถใช้มือถือได้บ้าง โดยจำกัดเวลา และมีเงื่อนไข เช่น ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อน ให้ดูแค่ครั้งละครึ่งชั่วโมง ถ้าเขาต่อรองเวลาให้หยุดดู ก็อาจจะเพิ่มให้ 2-5 นาที อะไรประมาณนี้ค่ะ ทั้งนี้ทั้งน้ันก็ต้องติดตามพัฒนาการของเขาอย่างใกล้ชิดค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่