ไปดูแสงเหนือกันไหม ที่ไอซ์แลนด์


           แค่เคยคิดไว้ว่า...ต้องไปดูแสงเหนือให้ได้ซักครั้ง ตั้งแต่ตอนเด็กๆยังไม่หาข้อมูลอะไร นึกว่าถ้ายิ่งเหนือก็จะได้เห็นแสงเหนือใช่ไหมล่ะ เหนือๆ หนาวๆ ก็ต้องอลาสก้าสิ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่ามันจะพาดเป็นทางยาวๆนี่นา แล้วด้วยความไกลเลยต้องเตรียมความพร้อมนาน คงอีกนานมากกๆกว่าจะได้ไป อยู่ๆ เหมือนชะตากำหนดปีที่แล้วมีเพื่อนมาชวน ไปดูแสงเหนือกันไหมที่ไอซ์แลนด์ เค้ารีวิวกันว่าไม่แพง เราก็ เห้ยย มี achivement นี้ที่ต้องเก็บนี่นา ไปสิๆ ก็เริ่มหาข้อมูล

          เห็นว่า ช่วง ต.ค.- พ.ย. จะเป็นช่วงที่เหมาะที่สุด(สำหรับเรา) เพราะมีเวลากลางวันและกลางคืนค่อนข้างบาลานซ์ กลางวันเราก็จะเที่ยวธรรมชาติได้ และมีเวลากลางคืนยาวพอที่จะคอยดูแสงเหนือ ถ้าเราเน้นแต่กลางคืน ก็จะพลาดธรรมชาติที่สวยงามบนเกาะนี้ไปอย่างน่าเสียดาย แถมถ้าคืนไหนโชคร้ายไม่มีแสงเหนือ ก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรกันเลยน่ะสิ!

           พอได้ช่วงเวลาไป ก็อยากจะเร่งให้คนอื่นรีบจองตั๋ว เดี๋ยวจะแพง ปรากฎว่าพอเอาเข้าจริงสมาชิกก็ค่อยๆหายไปทีละคน จาก4-5คน สุดท้ายเหลือเรากับแฟนสองคน  สองคนมันจะไปเช่ารถแคมป์คุ้มได้ไงฟะ เราถลำมาถึงจุดนี้แล้วจะให้ยกเลิกง่ายๆไม่ได้หรอก อย่างน้อยต้องซัก3คน เลยชวนน้องสาวจอมพาเที่ยว นี่แหละ ไอ้นี่ก็ดันมาชวนไปมาจูปิกจูซะงั้น  เราก็บิ้วแทบเป็นแทบตาย เอา Walter Mittyไปดูสิ  สุดท้ายมันก็เลยเถิดไปถึง GOTs ก็ได้สมาชิกจอมหาข้อมูลเพิ่มมาอีก1คน

           และแล้วน้องหมูจอมหาข้อมูล ก็รายงานมาว่า Camper van น่ะมันเป็นเกียร์กระปุก และรถก็อาจจะมีปัญหากลางทาง เช่น ฮีตเตอร์เสีย หรือ รถจมไปกับทรายต้องจ่ายค่ายกรถแพง เราจึงต้องหาช่างและผู้ชำนาญการด้านเกียร์กระปุกเพิ่มไปอีก1คน ก็คือ ปะป๊าเรานั่นเอง
          ตอนชวนป๊าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะป๊างกสุดๆ  ถ้าแกไม่ไป จะต้องโดนดุแถมไม่ให้เราไปอีก หรือไม่ก็โดนเหน็บจนถึงวันไปเลยทีเดียว คือจะชวนก็ต้องยอมรับผลด้วย ซึ่งน้องไม่อยากให้ชวน ก็เลยไปปรึกษาม๊า ม๊าบอกลองชวนดู งานขายก็มาเลยเสนอโปรโมชั่น ไปแต่ตัว+ค่าเครื่องบิน คือให้ออกเองแค่ตั๋วเครื่องบินของเค้าเอง ที่เหลือเราดูแลให้ สรุปคือ….. ป๊าไปแฮะ แถมดูตื่นเต้นไปช่วยน้องหาข้อมูลอีกนะ ดีไปอี้กก นี่ก็เป็นอีก1ความสำเร็จที่เราจะพาพ่อแม่เที่ยวต่างประเทศ ถึงรอบนี้ม๊าจะไปไม่ได้ก็ถือว่าโอเคนะ

           สรุปก็เลยมีกัน4คน โดยมีจุดมุ่งหมายหลักๆคือ ตามล่าแสงเหนือ ตามรอยหนังThe Secret Life of Walter Mitty และซีรี่ส์ GOTs
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

            การขอวีซ่าไปเที่ยวไอซ์แลนด์ คือขอผ่านประเทศเดนมาร์ก ที่ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่าเดนมาร์ก อาคารเทรนดี้ ชั้น8 ซ.สุขุมวิท 13 เปิดให้ยื่นคำร้องจันทร์-ศุกร์ 8.00-12.00น. 13.00-15.00น. และ รับหนังสือเดินทาง 13.00-16.00 ค่ะ ถ้าไปเป็นกลุ่ม ก็แจ้งจนท.เลยค่ะ เค้าจะให้คิวเดียวกัน ตอนตรวจเอกสารและจ่ายเงิน น้องเราเข้าไปคนเดียวแล้วยื่นเอกสารของทุกคนค่ะ จากนั้นก็ไปถ่ายรูปและสแกนลายนิ้วมือทีละคน เป็นอันเรียบร้อย ใครขับรถไปอย่าลืมแสตมป์บัตรจอดนะคะ ส่วนใครไม่ได้มารับเอง ให้เตรียมสำเนาบัตรประชาชนเขียนมอบอำนาจให้คนที่ไปรับแทนด้วยค่ะ+สำเนาของคนไปรับแทนอีก1ชุด วีซ่าแก๊งค์เรารอ10วันค่ะ
เอกสารการขอวีซ่าที่ต้องเตรียม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ใบขับขี่สากล
ไปที่กรมขนส่ง ตึก4 ชั้น1 เดินเข้าไป ห้องแรก ซ้ายมือเลย ใช้เวลาไม่นานค่ะ 10-15นาที
เอกสารทำใบขับขี่ที่ต้องเตรียม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เราเช่ารถ Camper Van ขนาด5คน (มัน3 แล้วก็5เลยอะ) หน้าตาแบบนี้
            รถเช่า ตอนแรกลังเลอยู่ 2 เจ้า คือ Campeasy กับ Happy Camper แต่ด้วยเวลาที่ไปถึงก็4โมงเย็นแล้ว จึงต้องเลือกของบริษัท Campeasy ไปโดยปริยายเพราะปิดช้ากว่า ที่สำคัญเจ้านี้เค้ามีVoucherให้ นั่งรถบัสมาลงที่ Bus Terminal แล้วต่อ Taxi ไปรับรถ ออฟฟิศเค้าปิด6โมงเย็น  ส่วนขากลับขับไปคืนแล้ว สามารถนั่งแท๊กซี่ไปลงตรงไหนก็ได้ในเมืองRekjavik ฟรี!
ขากลับเรานอนใน Rekjavik 1 คืน ก่อนเข้าสนามบิน  ขากลับไปสนามบินนั้น สามารถซื้อตั๋วรถบัสตอนคืนรถได้เลย จะมี 2 ราคา
                  แบบแรก คือ จาก Bus terminal - Keflavik Airport
                  แบบ 2 คือ จากโรงแรม - Bus terminal - Keflavik Airport
เราเลือกแบบ2 คือเค้าไม่ได้มารับที่โรงแรมหรอก แต่จะมีป้ายรถ ก็เลือกที่ใกล้กับที่พักเราที่สุด ของเราเดินแค่ 2 นาทีก็ถึง รายละเอียดสามารถเค้าไปดูได้ที่ https://www.re.is/flybus/

        เราจองผ่านเว็บของเค้าเลย จ่าย30% ณ วันที่จอง ส่วนที่เหลือก็ไปจ่ายวันรับรถ ซึ่งตอนรับรถก็สามารถเลือกซื้อแพคเกจประกันรถเพิ่มได้ รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่างๆ สิ่งที่เราซื้อเพิ่มคือ แก๊สกระป๋อง5อัน(เหลือดีกว่าขาด ใช้ไม่หมดเอามาคืนได้ สรุปใช้ไป 2 ป๋องตามที่เค้าแนะนำเป๊ะ) ตัวที่แปลงไฟรถเป็นไฟบ้าน(ต้องเอาหัวแปลงปลั๊กมาเอง) แล้วก็เพิ่มจำนวนคนขับอีก 2 คน ส่วนประกันก็เลือกแบบที่ครอบคลุมทุกอย่าง แต่ถึงกระนั้นมันก็จะมีสิ่งที่ไม่รวมอยู่ด้วย อ่านตาลาย

         อุปกรณ์ที่มากับรถมี เครื่องครัว แว่นกันแดดสำหรับทุกคน และเครื่องนอน ถ้าเค้าลืมเอาให้ ต้องทวงนะ ของเราเค้าลืมเอาเครื่องนอนให้จริงๆ เราก็ไม่ได้ทวง แต่พอดีว่าหัดขับวนอยู่ในนั้น นาน จนเค้าเดินมาเจอ เค้าเลยคิดว่าเรากลับมาทวง(ที่จริงยังไม่ได้ไปไหนเลยจ้า) ที่ออฟฟิศเขาจะมีของเหลือจากนักท่องเที่ยวคนอื่น ให้หยิบไปใช้ได้เลยฟรี ที่เห็นมีเยอะๆเลยคือ เกลือ พริกไทย น้ำมันมะกอก คนอร์ กาแฟ ที่พอมีและเอาไปใช้ได้ก็มี ทิชชู่ เส้นพาสต้า ถ้วยกระดาษ ก็แล้วแต่ว่าเราจะไปเจออะไร พอเราเที่ยวเสร็จของเหลือไม่เอากลับก้ทิ้งไว้ที่นี่ได้ ให้คนอื่นเอาไปใช้ได้ต่อ เราได้น้ำซุปราเมงจากญี่ปุ่นมา เลยเอาเครื่องแกงเขียวหวานโลโบ้ไปวางให้ตอนกลับ

       ตอนไปรับรถก็ตรวจเช็คให้ได้มากที่สุด ป๊านี่ถ่ายรถรอบคันเลยจ้า เพราะมันก็มีรอยบ้างตามตัวรถ ถ้ายังไม่ชินกับการขับรถตู้พวงมาลัยซ้าย แนะนำให้ลองขับวนในที่จอดรถเขาก่อน ถ้างงให้รีบถามเค้าเลย เราเกือบขับออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าเข้าเกียร์ถอยหลังยังไง ดีที่ป๊าไม่ชินเลยขับวนดูก่อน แล้วพบว่าถอยหลังไม่ได้ จนคนในอู่รถข้างๆ มาถาม เลยบอกให้เค้าสอนหน่อย สรุปคือต้องดึงหัวเกียร์ขึ้นด้วยถึงจะถอยหลังได้ ไม่งั้นก็จะเป็นเกียร์1
      
        จากที่อ่านรีวิวของกระทู้ในPantip เราก็ระวังกันตามที่หลายๆท่านเตือน ทั้งเรื่องลมพัดประตูไปชนกับรถข้างๆ หรือ เรื่องรถติดหล่ม ช่วงที่เราไปยังไม่มีหิมะ ก็ดีหน่อยไม่ต้องกลัวลื่นตกข้างทาง

          แต่ดันเจอปัญหาใหม่ ที่ปัดน้ำฝนงอ จนมาตีกับที่ปัดน้ำฝนอีกอัน เลยต้องขับเข้าอู่ไปซ่อมเอง(โดนไป 830 บาท) อันนี้จริงๆน่าจะเคลมจากประกันได้ แต่ก็ไม่ได้เคลม และฝาครอบกระทะล้อหลุดหายไปตอนไหนไม่รู้ อันนี้ต้องจ่ายเองไม่รวมในประกัน(ประมาณ 2พันกว่าบาท) เพราะเค้าถือว่าเราทำหาย ถ้ามันหลุดแล้วหิ้วกลับมาให้เค้า ก็น่าจะไม่ต้องจ่ายนะ

เรื่องตั๋วเครื่องบิน นั่งหาอยู่พักใหญ่ๆเลย ว่าจะไปลงไหนดี จากหลายรีวิวว่ามันแพงถ้าไปลง Oslo(ค่าครองชีพ)
แต่ด้วยเวลาและราคา ณ ตอนนั้น เราก็….ตามเค้าค่ะ
     การบินไทย Bangkok - Oslo(ราคา 27,150 บาท) นั่งรอ7ชม. และต่อด้วย
     Iceland air จาก Oslo - Reykjavík (ราคา 5,149)ไปถึงก็ประมาณ4โมงเย็น ส่วนขากลับแวะนอน 1 คืนที่ออสโล [รวมค่าเครื่อง 32,299 บาท]
ตอนนี้แอบเสียใจอยู่ ว่าน่าจะไปลงเยอรมัน หรือประเทศแถวนั้นจะได้เที่ยวในเมืองสวยๆ ตั๋วก็แพงกว่านิดหน่อย ออสโลไม่ค่อยมีอะไร แต่ป๊าชอบใจ(ไม่เคยเที่ยวไกลเกินเอเชีย) เราก็โอเค...

แลกเงิน
ที่ไทยจะไม่มีเงิน ไอซ์แลนด์ (ISK) ให้แลก เราเรียกโครน่า(Kr) แต่มีเงินนอร์เวย์ (NOK)เรียกกัน krone แต่เราเรียกเงิน นอค แยกง่ายดี สรุปคือแลกเงินนอคไป แล้วไปแลกเป็นโครน่า อีกทีที่ไอซ์แลนด์ เค้าจะถามด้วยว่าอยากได้เป็นเงินสด หรือบัตรเงินสด เราเอาเป็นเงินสดมา ร้านส่วนใหญ่จะรับบัตรเครดิต(กดรหัสPIN) บัตรเงินสดก็คงใช้เหมือนกัน แต่บางที่ก็ต้องจ่ายเงินสดเท่านั้น (อย่างน้อยก็ตอนเข้าห้องน้ำล่ะ)
น้องบอกว่า ถ้าใช้จากบัตรเครดิตเลย เรทมันดีกว่าหน่อยนึง ก็เลยแลกกันไปแค่ คนละ3หมื่นบาท+เผื่ออีก1หมื่น รวมเป็น 1แสน3หมื่นบาท  ไม่ได้แลกเป็น ISK ทั้งหมด เผื่อเที่ยวออสโลด้วย2วัน
วิธีคำนวนเงินเป็นเงินไทยคร่าวๆ
- ไอซ์แลนด์ เอาโครน่า หาร3
- นอร์เวย์ เอานอค คูณ4

แบงค์แซลม่อนของนอร์เวย์
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่