[CR] [Movie Review] Coco (8/10) ...แด่ครอบครัว ดนตรี และความทรงจำ

Coco (2017)
กำกับโดย Lee Unkrich (Toy Story 3)
8/10



มิเกล เป็นเด็กชายชาวเม็กซิกันที่มีความฝันจะเป็นนักดนตรีผู้โด่งดังเหมือนไอดอลเขา เออร์เนสโต้ ถึงแม้ตระกูลของเขาจะเกลียดดนตรีจนแบนการเล่นทุกชนิดในครอบครัวมาหลายยุคก็ตาม เมื่อเขาพยายามจะพิสูจน์ตัวเองในงานเทศกาลรำลึกคนตายประจำชาติ Day of the Dead มิเกลได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนแห่งคนตายที่ชวนตื่นตาไม่เหมือนที่ไหนมาก่อน แต่นอกจากกฏพิลึกมากมาย (ที่รวมถึงการที่คนตายในดินแดนนี้สามารถข้ามไปหาครอบครัวลูกหลานได้แค่ในวัน Day of the Dead) เขายังพบว่าหากไม่หาทางกลับไปดินแดนคนเป็นก่อนรุ่งขึ้น เขาจะติดในโลกนี้ตลอดไป มิเกลจึงต้องร่วมมือกับนักดนตรีซอมซ่อ เฮ็คเตอร์ ที่พยายามจะข้ามไปดินแดนคนเป็นเหมือนกัน พร้อมทั้งไขความลับและเรื่องซับซ้อนในประวัติครอบครัวของเขา ที่เกี่ยวโยงกับดนตรีมาหลายยุคสมัย

ฟีลเรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนค่ายพิกซาร์กำลังทำสูตรค่ายดิสนี่ย์อยู่สักหน่อย ซึ่งก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแย่เสียทีเดียว การวางพล๊อตของค่ายพิกซาร์มักชอบมีความแปลกใหม่ หรือสำรวจแง่มุมไม่ธรรมดาใน genre ของมัน ซึ่งแม้แต่เรื่องที่ผมชอบน้อยสุดของค่ายอย่าง A Bug’s Life หรือหนังภาคต่อ Cars ทั้งสองตอนก็ยังมีอยู่ ส่วน Coco นั้นกลับมีความสูตรดิสนี่ย์ยุคหลังมากในโครงเรื่อง ซึ่งคือ “ไปทำ mission เพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่างแล้วจึงกลับมา” (ยกเว้นในส่วนปูมหลังอดีตครอบครัว เหมือนได้แรงบันดาลใจมาจาก telenova หรือละครทีวีของเม็กซิโก ที่มักเล่นใหญ่ วางพล๊อตเมโลดราม่าเว่อวัง ซึ่งหนังนำมาใช้ได้อย่างสนุกเข้มข้นดี)

แต่สิ่งที่มาแทนความทะเยอทะยานทางด้านคอนเซ็ป หรือ การวางธีมเรื่องได้ซับซ้อนของค่ายพิกซาร์ คือรายละเอียดมากมายไม่รู้จบอันงดงามระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตัวละครหลักของมิเกลที่ได้เรียนรู้แง่มุมครอบครัวและโลกใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ, ภาพตื่นตามากมายในโลกคนตายที่ตามมาตรฐานพิกซาร์สุดๆ, และที่สำคัญ คือความรู้สึก “ไม่ปลอม” ของการใช้วัฒนธรรมเม็กซิโก ทั้งการผสมผสานของภาษาพูดเขียน, สถานที่ต่างๆ, และดนตรีอันไพเราะสุดๆ ทั้งหมดไม่ออกแนวอเมริกาท่องเที่ยวชี้โบ้ชี้เบ้เลย ซึ่งเป็นผลมาจากการได้คนเม็กซิโกจริงๆที่อยู่ในทีมงานค่ายมานานอย่าง เอเดรียน โมลิน่า มาถูกโปรโมตเป็นที่ปรึกษาเนื้อเรื่อง และร่วมกำกับด้วย หลังจากที่เขาคอยช่วยเหลือตั้งแต่ขั้นตอนพัฒนาเนื้อเรื่องมานาน โดยเฉพาะในแง่วัฒนธรรม



เกร็ดหนึ่งที่ผมอ่านมาแล้วชอบมาก คือ ผู้กำกับและคนเขียนบท ลี อันคริช เคยติดปัญหาว่าจะหาวิธีเงื่อนไขที่มิเกลสามารถกลับมาโลกคนเป็นได้อย่างไร ติดและลองมาหลายวิธีแต่ก็รู้สึกผิวและปลอมหมด จนกระทั่ง โมลิน่าใช้เกร็ดจากชีวิตจริงของเขา ตอนเขาไปเรียนมหาลัย ที่พ่อแม่ให้เขาคุกเข่าพร้อมมอบคำอวยพร ซึ่งสุดท้ายเวอชั่นเงื่อนไขที่ปรากฏออกมาในหนังก็เหมาะเจาะและรู้สึก “จริง” มากๆ จนช่วยยืนยันว่าการมี “representation” (ตัวแทนคนจริงๆจากวัฒธรรมหรือแบ็คกราวด์นั้นๆ) จากคนหลายเพศหลายเชื้อชาติ สำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างไร

พูดถึงผู้กำกับ ลี อันคริช ก็สมแล้วที่เป็นคนทำ Toy Story 3 จริงๆ เพราะประเด็น ความไม่ยั่งยืนของเวลา, การส่งต่อความทรงจำของคนที่เรารัก, และความตาย ก็ทำออกมาได้ลุ่มลึก ซึ้งกินใจอีกแล้ว (ยิ่งได้ความ telenova แบบละครเม็กซิโกมาใช้ ยิ่งสามารถขยี้ขึ้นไปอีก) ความแตกต่างระหว่างดิสนี่ย์กับพิกซาร์อาจมองได้จากตรงนี้ ว่าพิกซาร์ไม่กลัวเลยที่จะดำดิ่งเข้าไปในแง่มุมความไม่โสภาของชีวิตได้ลึก (แม้แต่ในหนังภาคต่อที่ไม่ได้ออริจินอลมาก เช่น ความสามารถไม่อาจแทนที่การทำงานหนักของ Monsters University, การยอมรับดูแลและเฉลิมฉลองในการอยู่ร่วมกันกับความพิการใน Finding Dory, ไปจนถึง ความไม่จีรังของอาชีพที่ตนรักและชีวิต และความสำคัญในการส่งต่อผลักดันความสามารถ ของ Cars 3) อันเห็นได้จากการตัดกันระว่างดีไซน์ของหนังสั้นปะหน้า Frozen ที่เน้นความ cute ทุกอณูผิว กับตัวหนัง Coco เอง ที่หมาจรจัดก็ดีไซน์เป็นหมาจรจัดจริงๆ ไปจนถึง ตัวละครชื่อเรื่องอย่างยายทวด โคโค่ ที่ชวนอบอุ่นปนใจสลาย ราวออกแบบมาให้ย้อนคิดถึงญาติของคนดูหลายคนเองตั้งแต่แรกเห็น จากรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา และความจำพร่าเลือนในอดีต ที่ย้ำธีมของเรื่องได้ให้ชวนไม่เหลือน้ำตาในตอนจบเสียจริงๆ



ติดตามรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่  www.facebook.com/themoviemood ครับ
ชื่อสินค้า:   Coco (2017)
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่