กาลครั้งหนึ่ง มีหมู่บ้านจัดงานแข่งขันครั้งยิ่งใหญ่ ใช่แล้ว การแข่งม้านั่นเอง แต่กฏในการแข่งครั้งนี้ออกจะแปลกสักหน่อย ตรงที่ผู้เข้าแข่งขัน ต้องซื้อม้าในเมืองนี้เพื่อลงแข่งเท่านั้น คนที่ทำฟาร์มม้า พ่อค้า นายหน้าขายม้า จึงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ มีม้ามากมายหลากหลายสายพันธุ์ให้ซื้อ ด้วยเงินรางวัลที่สูงลิบลิ่วจากพระราชา ไม่นาน ก็แทบไม่มีม้าเหลือ
ผู้หญิงคนหนึ่งต้องการเข้าร่วมการแข่งขันด้วย เธอมางานช้าและคิดว่า ม้าดีๆ คงจะมีคนซื้อไปหมดแล้ว แต่เธอเจอม้าลักษณะดีอยู่ตัวหนึ่ง ด้วยความดีใจ เธอจึงถามคนขาย
“ม้าตัวนี้ราคาเท่าไรน่ะ” คนขายมองหญิงสาว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า
“สองร้อยเหรียญทอง” เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“โกหกหรือเปล่า ทำไมม้าลักษณะดีขนาดนี้ให้ราคาแค่นี้ ปกติ สองพันเหรียญยังไม่พอด้วยซ้ำ” คนขายถอนหายใจแล้วบอกเธอว่า
“ม้าตัวนี้มันขี้ลืมน่ะสิ มันทำอะไรได้ไม่นาน มันก็ลืม ไม่มีใครอยากได้ม้าหลงๆ ลืมๆ หรอก” หญิงสาวคิดอยู่สักครู่ แล้วตกลงซื้อม้าตัวนั้นในราคาสองร้อยเหรียญ
วันแข่งขันมาถึง ระยะทางที่แข่งขันนั้นยาวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ พอการแข่งขันเริ่มขึ้น ผู้เข้าแข่งขันและม้าต่างวิ่งออกจากจุดเริ่มต้น ชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่าผ่านไป ด้วยระยะทางที่ยาวไกล วิ่งเท่าไรก็ไม่ถึงเส้นชัยสักที ผู้เข้าแข่งขันก็ยอมแพ้ไปทีละคน สองคน พอถึง ชั่วโมงที่สิบ ก็เหลือเธอกับม้าขี้ลืมเพียงตัวเดียว
พอจบการแข่งขัน ทุกคนเข้าไปหาเธอ ถามว่าทำไมเธอถึงวิ่งจนจบได้ เธอตอบว่า
“เพราะม้าของฉันขี้ลืม มันจึงจำได้แต่ว่ามันวิ่งมาสั้นๆ มันเลยไม่รู้สึกท้อถอยยังไงล่ะ”
ชีวิตการทำงานของเรา เป็นการวิ่งแข่งระยะยาวทั้งนั้น นอกจากต้องมีทิศทางที่แน่นอนแล้ว เรายังต้องมีความอดทนและสม่ำเสมอด้วย เหมือนกับการแข่งขันนี้ ถ้าเราตั้งเป้าหมายถึงเส้นชัย ระยะทางมันจะยาวมาก ก่อนจะไปถึง เราอาจจะท้อถอย หรือถอดใจ และรู้สึกล้มเหลวแบบไม่ได้อะไร
ในขณะเดียวกัน ถ้าเราค่อยๆ แบ่งเป้าหมายออกเป็นระยะสั้นๆ เหมือนม้าที่หลงๆ ลืมๆ เราจะไม่รู้สึกเหนื่อย เราจะวิ่งทีละนิด อย่างสม่ำเสมอ จนสุดท้ายก็จะถึงเส้นชัย
“จะทำยังไงถึงจะวิ่งจากใต้ไปเหนือได้ คำตอบคือ วิ่งทีละก้าวครับ”
ม้าขี้ลืม
กาลครั้งหนึ่ง มีหมู่บ้านจัดงานแข่งขันครั้งยิ่งใหญ่ ใช่แล้ว การแข่งม้านั่นเอง แต่กฏในการแข่งครั้งนี้ออกจะแปลกสักหน่อย ตรงที่ผู้เข้าแข่งขัน ต้องซื้อม้าในเมืองนี้เพื่อลงแข่งเท่านั้น คนที่ทำฟาร์มม้า พ่อค้า นายหน้าขายม้า จึงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ มีม้ามากมายหลากหลายสายพันธุ์ให้ซื้อ ด้วยเงินรางวัลที่สูงลิบลิ่วจากพระราชา ไม่นาน ก็แทบไม่มีม้าเหลือ
ผู้หญิงคนหนึ่งต้องการเข้าร่วมการแข่งขันด้วย เธอมางานช้าและคิดว่า ม้าดีๆ คงจะมีคนซื้อไปหมดแล้ว แต่เธอเจอม้าลักษณะดีอยู่ตัวหนึ่ง ด้วยความดีใจ เธอจึงถามคนขาย
“ม้าตัวนี้ราคาเท่าไรน่ะ” คนขายมองหญิงสาว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า
“สองร้อยเหรียญทอง” เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“โกหกหรือเปล่า ทำไมม้าลักษณะดีขนาดนี้ให้ราคาแค่นี้ ปกติ สองพันเหรียญยังไม่พอด้วยซ้ำ” คนขายถอนหายใจแล้วบอกเธอว่า
“ม้าตัวนี้มันขี้ลืมน่ะสิ มันทำอะไรได้ไม่นาน มันก็ลืม ไม่มีใครอยากได้ม้าหลงๆ ลืมๆ หรอก” หญิงสาวคิดอยู่สักครู่ แล้วตกลงซื้อม้าตัวนั้นในราคาสองร้อยเหรียญ
วันแข่งขันมาถึง ระยะทางที่แข่งขันนั้นยาวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ พอการแข่งขันเริ่มขึ้น ผู้เข้าแข่งขันและม้าต่างวิ่งออกจากจุดเริ่มต้น ชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่าผ่านไป ด้วยระยะทางที่ยาวไกล วิ่งเท่าไรก็ไม่ถึงเส้นชัยสักที ผู้เข้าแข่งขันก็ยอมแพ้ไปทีละคน สองคน พอถึง ชั่วโมงที่สิบ ก็เหลือเธอกับม้าขี้ลืมเพียงตัวเดียว
พอจบการแข่งขัน ทุกคนเข้าไปหาเธอ ถามว่าทำไมเธอถึงวิ่งจนจบได้ เธอตอบว่า
“เพราะม้าของฉันขี้ลืม มันจึงจำได้แต่ว่ามันวิ่งมาสั้นๆ มันเลยไม่รู้สึกท้อถอยยังไงล่ะ”
ชีวิตการทำงานของเรา เป็นการวิ่งแข่งระยะยาวทั้งนั้น นอกจากต้องมีทิศทางที่แน่นอนแล้ว เรายังต้องมีความอดทนและสม่ำเสมอด้วย เหมือนกับการแข่งขันนี้ ถ้าเราตั้งเป้าหมายถึงเส้นชัย ระยะทางมันจะยาวมาก ก่อนจะไปถึง เราอาจจะท้อถอย หรือถอดใจ และรู้สึกล้มเหลวแบบไม่ได้อะไร
ในขณะเดียวกัน ถ้าเราค่อยๆ แบ่งเป้าหมายออกเป็นระยะสั้นๆ เหมือนม้าที่หลงๆ ลืมๆ เราจะไม่รู้สึกเหนื่อย เราจะวิ่งทีละนิด อย่างสม่ำเสมอ จนสุดท้ายก็จะถึงเส้นชัย
“จะทำยังไงถึงจะวิ่งจากใต้ไปเหนือได้ คำตอบคือ วิ่งทีละก้าวครับ”