[UPDATE 14/1/2018]
อย่างที่ทราบกันครับว่าตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป BWF จะเปลี่ยนระบบการแข่งขันเป็นแบบใหม่ มีชื่อว่า "World Tour" โดยจะเข้ามาแทนที่ระบบเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2007 ทั้ง "Super Series" และ "Grand Prix" พูดง่ายๆว่า จากปีหน้าเป็นต้นไปจะไม่มีคำว่าซูเปอร์ ซีรีย์และกรังด์ปรีด์ โกลด์ให้เราได้ยินอีก คงจะต้องค่อยๆ ปรับตัวกันไปครับ
ระบบใหม่ของ BWF จะแบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 GRADE (เมื่อก่อนเรียก LEVEL) และ
World Tour จะถูกจัดอยู่ใน GRADE 2 แบ่งย่อยเป็นอีก 5+1 LEVEL

จะเห็นได้ว่า ระดับ 1 ยังอยู่เหมือนเดิม คือรายการระดับเมเจอร์ต่างๆ ทั้งชิงแชมป์โลก และรายการระดับชาติประเภททีม ทั้งสุธีรมาน โทมัส อูเบอร์ ในระดับนี้ยังรวมถึงเยาวชนชิงแชมป์โลกด้วยครับ แต่เดี๋ยวจะไปสับสนกับรายการระดับเยาวชนอื่นๆ ในที่นี้เลยละไว้ไม่พูดถึงดีกว่า
รายการระดับ 2 (Super Series) และระดับ 3 (GPG, GP) เดิม จะถูกยุบรวมมาอยู่ในร่มเดียวกันคือ
GRADE 2 - HSBC BWF WORLD TOUR แล้วแบ่งย่อยเป็นอีก 5 LEVELS (เหมือนกับที่เมื่อก่อน Super Series แบ่งเป็น Final, Premier, SS ธรรมดา และ Grand Prix Gold กับ Grand Prix ธรรมดา)
แต่ในแบบใหม่นี้ จนถึงวันนี้ผมคิดว่าคงจะไม่มีชื่อเรียกเฉพาะแล้วครับ คือเรียกเป็นตัวเลขเลเวลนี่แหละ โดยใช้ชื่อเรียกว่า HSBC BWF World Tour Super 1000 750 500 และ 300 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีติ่งแยกออกมาอีก 1 ระดับ คือ BWF Tour Super 100 ซึ่งไม่รวมอยู่ใน HSBC BWF World Tour แต่คะแนนสะสมจะถูกนับรวมในการคิด ranking สำหรับรายการ Final ด้วย
(
ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นเรื่องสปอนเซอร์ คือ HSBC อาจจะอยากสนับสนุนแค่ Super 1000-300 รายการระดับ Super 100 เลยกลายเป็นติ่งที่ถูกแยกออกไปแบบแปลกๆครับ)
และระดับที่รองลงไป คือ International Challenge, International Series และ Future Series ยังคงอยู่เหมือนเดิมครับ แต่จะถูกจัดเป็น Grade 3 ที่เรียกเป็น Continental Circuit นั้นก็เพราะว่ารายการในระดับนี้จะถูกรับผิดชอบโดยสมาพันธ์ระดับทวีป เช่น Badminton Asia ก็รับผิดชอบรายการในทวีปเอเชียครับ จะเห็นได้ว่าเราไม่สามารถเช็ครายชื่อนักกีฬาจากเว็บ BWF ได้ แต่ต้องเข้าไปเช็คในเว็บไซต์ของสมาพันธ์นั้นๆ เองครับ
นอกจากนี้ ยังมีรายการประเภทอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกจัดเป็นเกรด คือ รายการระดับทวีป (เช่นชิงแชมป์เอเชีย ทั้งเดี่ยวและประเภททีม) มหกรรมกีฬา (เช่น
โอลิมปิก เอเชียนเกมส์) และรายการระดับเยาวชนครับ (เดี๋ยวนี้แบ่งเป็น Grand Prix, Inter. Challenge, Inter. Series อย่างรายการของบ้านทองหยอดเป็นระดับ Chellenge ครับ)
ด้วยความที่ความเปลี่ยนแปลงหลัก อยู่ที่ Super Series + Grand Prix = World Tour + Tour เรามาเน้นกันตรงนี้ดีกว่า
ย้อนอดีตกันซักนิดระดับ SS + GP ที่เรารู้จักคุ้นเคยกันดี จริงๆแล้วมันเพิ่งมีมาเมื่อ 10 ปีนี้เองครับ คือเริ่มเมื่อปี 2007 ก่อนหน้านั้นรายการต่างๆ เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ระดับถูกกำหนดด้วย "ดาว" ขึ้นลงตามจำนวนเงินรางวัล ผลก็คือการจัดการแข่งขันรายการต่างๆ เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ เงินรางวัลขึ้นๆลงๆตามสภาวะเศรษฐกิจ การจะโปรโมตกีฬาแบดมินตันในวงกว้างก็เป็นไปได้ยาก ดังนั้น BWF จึงเริ่มจัดระเบียบการแข่งขันเป็น Circuit ขึ้น โดยมัดรายการทั้งหลายรวมกันเป็น Super Series และ Grand Prix กำหนดจำนวนรายการแน่นอน มีการประมูลสิทธิ์การจัดการแข่งขัน เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับกีฬาแบดมินตันทั้งวงการ ซึ่งก็ได้ผลทีเดียวครับ คือเงินรางวัลรวมเพิ่มขึ้นทันทีถึง 20% ในปี 2007 (BWF กำหนดเงินรางวัลขั้นต่ำ สำหรับ Super Series ไว้ที่ $200,000)
ลองนึกภาพว่า ในปี 2007 ปีเริ่มต้นนั้น จากที่ควรจะมีรายการส่งท้ายปี Super Series Final เป็นครั้งแรก ก็ไม่มี เพราะว่ากาตาร์เจ้าภาพหาสปอนเซอร์ไม่พอ คงพอจะอนุมานได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับกว่าจะมีวันนี้ โดยหลังจากปีแรก การแข่งขันก็มีการพัฒนามาเรื่อยๆ ทั้งในแง่การถ่ายทอด เงินรางวัล และระดับรายการ ในปี 2011 ซึ่งถือว่า Cycle ที่ 2 (ประมูลลิขสิทธิ์ใหม่) มีการยกระดับบางรายการขึ้นเป็น Super Series Premier เป็นครั้งแรก จำนวนเงินรางวัลก็เพิ่มมากขึ้นอีก มากถึง 60% ในปีนี้

เดินกันมาเรื่อยๆ จนถึงปีนี้ 2017 นับเป็นปีสุดท้ายของ Cycle ที่ 3 (2014-2017) ก็ถึงเวลาสำหรับความเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้ง ก็คือการเข้ามาแทนที่ของ World Tour นั่นเอง มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นว่าไม่มีอีกแล้วครับ SS และ GPG ตั้งแต่ปีหน้าจะมีแค่ HSBC BWF World Tour หนึ่งเดียวเท่านั้น (และติ่ง BWF Tour) และจะถูกแบ่งย่อยออกเป็น 5 Levels (+1) คือ
- Level 1 [World Tour Finals] : 1 รายการ จัดที่เมือง Guangzhou ประเทศจีน
- Level 2 [World Tour Super 1000] : 3 รายการ คือ All England, China, Indonesia
- Level 3 [World Tour Super 750] : 5 รายการ คือ Denmark, French, Malaysia, Japan, China Masters
- Level 4 [World Tour Super 500] : 7 รายการ คือ Korea, Singapore, Hong Kong, India, Thailand, Indonesia Masters, Malaysia Masters
- Level 5 [World Tour Super 300]: 11 รายการ (max 15) คือ Australia, New Zealand, U.S., Spain, Chinese Taipei, Swiss, German, Syed Modi (India), Macau, Thailand Masters, Korea Masters
- Level 6 [Tour Super 100]: ไม่ได้กำหนด แต่ปี 2018 มีทั้งหมด 11 รายการครับ
***Tour Super 100 ไม่รวมอยู่ใน HSBC BWF World Tour เป็นเพียง BWF Tour แต่คะแนนสะสมจะถูกคิดรวมใน World Tour Ranking
แล้วเทียบกับ SS, GPG เดิมได้ยังไง จากตารางนี้น่าจะเห็นภาพครับ Level 2 ไม่เคยมีมาก่อน (ก็เหมือนตอนปี 2011 ที่ SS Premier ก็เพิ่งมีครั้งแรกนั่นแหละครับ) เงินรางวัลขั้นต่ำของแต่ละระดับ ก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ตามลำดับครับ

ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ นอกจากชื่อรายการแล้ว ส่วนตัวผมว่ามีอีก 4 เรื่องดังนี้ครับ
1. “TOP COMMITTED PLAYER” OBLIGATIONS
คือกฎที่บังคับให้นักกีฬาระดับท๊อปของโลก
ต้องลงแข่งขันตามรายการที่ BWF กำหนด ถ้าไม่ลงแข่งขันโดยไม่มีเหตุผล (เช่น บาดเจ็บ) จะถูกปรับเงิน ซึ่งอย่างที่เราทราบกัน ในปัจจุบันก็มีกฎทำนองนี้อยู่แล้ว คือนักกีฬา Top 10 ของโลกในทุกประเภทการแข่งขัน ต้องลงแข่งในระดับ Super Series Premier ทุกรายการ (5 รายการ) และระดับ Super Series อีกอย่างน้อย 3 รายการ (จาก 7 รายการ) สรุปก็คือ BWF บังคับให้ลงอย่างน้อย 8 รายการ
แต่ภายใต้ระบบใหม่ และกฎใหม่ จะมีความเปลี่ยนแปลงก็คือ BWF บังคับนักกีฬา Top 15 ในประเภทเดี่ยว และ Top 10 ในประเภทคู่ให้ลงทำการแข่งขันใน World Tour อย่างน้อย 12 รายการต่อปี (เพิ่มมา 4) ได้แก่
- Finals : ทุกรายการ (แต่มีรายการเดียว และไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์ ดังนั้นไม่นับแล้วกันครับ)
- Super 1000 : ทุกรายการ (รวม 3 รายการ)
- Super 750 : ทุกรายการ (รวม 5 รายการ)
- Super 500 : อย่างน้อย 4 ใน 7 รายการ
= 12 รายการ
แล้วนักกีฬา Top10, Top15 จะนับอันดับตอนไหน ในกรณีนี้ BWF ระบุว่าให้ยึดตามอันดับหลังจากจบ World Tour Finals (หรือ SS Finals) ของปีก่อนหน้าครับ เช่น ถ้าอันดับสุดท้ายหลังจบ Finals 2017 น้องครีมอยู่อันดับที่ 16 ของโลก แต่พอขึ้นปี 2018 ไปได้ซักพัก น้องครีมทำอันดับขึ้นมาอยู่ที่ 15 ของโลก ก็ยังไม่ถือว่าเข้ากฎข้อนี้ครับ ยังคงเลือกลงรายการได้ตามใจชอบ อันดับจะถูกดูใหม่อีกครั้งตอนครึ่งปีครับ เดือน 7
2. จำนวนนักกีฬาในแต่ละรายการ
ข้อนี้ก็เรื่องใหญ่ครับ ใจความสำคัญก็คือ BWF ต้องการลดจำนวนนักกีฬาในแต่ละทัวร์นาเมนต์ลง เพื่อให้การแข่งขันกระชับและดูสนุกมากขึ้น ดังนี้ครับ

Level 2-3 ที่เทียบกับ SSP เดิม จะ
ไม่มีรอบ Qualify เลย บวกกับกฎเรื่อง Commitment ในข้อที่แล้วเท่ากับว่ารายการในระดับนี้ จะถูก occupied ด้วยนักกีฬามือท๊อปไปแล้วซะ 15 ที่สำหรับประเภทเดียว และ 10 ที่สำหรับประเภทคู่ เท่ากับว่าในประเภทเดี่ยว จะเหลืออีกแค่ 17 ที่เท่านั้นสำหรับนักกีฬาคนอื่นๆ
แต่ที่กระทบมากกว่า ผมคิดว่าเป็น GPG เดิม หรือ Super 300 ในระบบใหม่ครับ เพราะของเดิม ชายเดี่ยวจะมีนักกีฬาทั้งหมดถึง 96 คน แต่ระบบใหม่จำกัดไว้แค่ 48 คนเท่านั้น ลดลงถึงครึ่งนึง ในประเภทอื่นๆ ก็กระทบบ้างแต่ไม่มากเท่า แต่ก็มากพอที่ทำให้พีช พรทิพย์ ไม่สามารถลงเล่นในรายการ Thailand Masters ต้นปีหน้าได้ครับ
สรุปแล้ว ผลก็คือรายการใหญ่ๆ คุณภาพจะอัดแน่นให้คุ้มกับที่ Sponsors ยอมเพิ่มเงินรางวัลให้สูงขึ้น นักกีฬามือท๊อปส่วนตัวคิดว่าไม่กระทบมากขนาดนั้น เพราะยังแย่งกันชิงคะแนนได้ แต่ที่น่าเห็นใจคือนักกีฬาอันดับท้ายๆ เช่น 11-15 ของประเภทเดี่ยวมากกว่า คือถูกบังคับให้เล่นรายการใหญ่มากขนาดนั้น คะแนนก็ไม่ค่อยจะได้เพราะโดนมือท๊อป(กว่า)ปัดตกหมด จะไปเล่นรายการระดับรองลงมาก็ไม่รู้จะหาเวลาที่ไหนไปเล่น ส่วนตัวผมคิดว่า 15 คนมากเกินไป ถ้า Top10 ของทุกประเภทน่าจะกำลังดีกว่าครับ แต่ก็นั่นแหละเค้ากำหนดมาแล้วก็รอดูผลกระทบกันต่อไป
อีกประการคือนักกีฬาระดับรองๆ ลงไปต้องลงแข่งขันตามอันดับโลกของตัวเอง แล้วค่อยๆไต่ระดับขึ้นมาในระดับที่สูงขึ้น เหตุการณ์แบบ Japan Open ที่นักกีฬาโลคอลโนเนมพลิกล็อกขึ้นมาคว้าแชมป์ระดับ Super Series คงเป็นไปได้ยากแล้วครับ
3. การนับ Ranking เพื่อคัดนักกีฬาไปเล่นรายการสุดท้าย
ในข้อนี้ผมไม่มั่นใจ 100% ครับ แต่จากที่ศึกษา และโดย Logic แล้ว World Tour Ranking ที่จะมาแทน SS Ranking
ก็ควรจะ นับคะแนนรวมทั้งหมดจากทุกรายการใน HSBC BWF World Tour Super 1000-300 รวมทั้ง BWF Tour Super 100 ด้วยครับ (เทียบกับปัจจุบันก็คือรวม GPG GP ด้วย) คะแนนก็คล้ายๆ เดิมครับ
4. เงินรางวัล

BWF ย้ำว่าเค้าบังคับให้นักกีฬาลงแข่งขันมากขึ้นก็จริง แต่ผลตอบแทนของนักกีฬาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เรามาดูกันครับว่าสรุปแล้วเป็นยังไงบ้าง ตารางนี้คือสรุปเงินรางวัลของรายการต่างๆ ตั้งแต่ระดับ Super Series จนถึง Grand Prix ในปัจจุบันครับ จะเห็นได้ว่าเงินรางวัลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในปีแรกของ Cycle ใหม่ (2014 และ 2018) โดยในปีหน้า เงินรางวัลรวมของทั้ง Circuit จะเพิ่มขึ้นถึง 41% ครับ หรือถ้าเทียบกับปี 2012 ก็เพิ่มมากว่าเท่าตัวแล้ว
ลองมาดูจำนวนเงินรางวัลของรายการแต่ละระดับกันครับ จากเดิมที่ทุกรายการ การแบ่ง Prize Money จะใช้เกณฑ์เดียวหมด ในระบบใหม่นี้ BWF แบ่งการกระจายเงินออกเป็น 3 แบบครับ คือ ของ Finals, Level 2-3, และ 4-6 ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดก็คือ Level 2-3 นักกีฬามือท๊อปถูกบังคับให้ลงแข่งทุกรายการ ดังนั้นแม้จะตกรอบแรก ก็ยังได้เงินรางวัลครับ
Level 1 - World Tour Finals
Level 2 - Super 1000
Level 3 - Super 750
Level 4 - Super 500
Level 5 - Super 300

(มีต่อที่ความคิดเห็นที่ 13)
(และข้อมูลเพิ่มเติมที่
https://pantip.com/topic/37261474)
ว่าด้วย BWF World Tour 2018 และความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในวงการแบดมินตัน
อย่างที่ทราบกันครับว่าตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป BWF จะเปลี่ยนระบบการแข่งขันเป็นแบบใหม่ มีชื่อว่า "World Tour" โดยจะเข้ามาแทนที่ระบบเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2007 ทั้ง "Super Series" และ "Grand Prix" พูดง่ายๆว่า จากปีหน้าเป็นต้นไปจะไม่มีคำว่าซูเปอร์ ซีรีย์และกรังด์ปรีด์ โกลด์ให้เราได้ยินอีก คงจะต้องค่อยๆ ปรับตัวกันไปครับ
ระบบใหม่ของ BWF จะแบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 GRADE (เมื่อก่อนเรียก LEVEL) และ World Tour จะถูกจัดอยู่ใน GRADE 2 แบ่งย่อยเป็นอีก 5+1 LEVEL
จะเห็นได้ว่า ระดับ 1 ยังอยู่เหมือนเดิม คือรายการระดับเมเจอร์ต่างๆ ทั้งชิงแชมป์โลก และรายการระดับชาติประเภททีม ทั้งสุธีรมาน โทมัส อูเบอร์ ในระดับนี้ยังรวมถึงเยาวชนชิงแชมป์โลกด้วยครับ แต่เดี๋ยวจะไปสับสนกับรายการระดับเยาวชนอื่นๆ ในที่นี้เลยละไว้ไม่พูดถึงดีกว่า
รายการระดับ 2 (Super Series) และระดับ 3 (GPG, GP) เดิม จะถูกยุบรวมมาอยู่ในร่มเดียวกันคือ GRADE 2 - HSBC BWF WORLD TOUR แล้วแบ่งย่อยเป็นอีก 5 LEVELS (เหมือนกับที่เมื่อก่อน Super Series แบ่งเป็น Final, Premier, SS ธรรมดา และ Grand Prix Gold กับ Grand Prix ธรรมดา)
แต่ในแบบใหม่นี้ จนถึงวันนี้ผมคิดว่าคงจะไม่มีชื่อเรียกเฉพาะแล้วครับ คือเรียกเป็นตัวเลขเลเวลนี่แหละโดยใช้ชื่อเรียกว่า HSBC BWF World Tour Super 1000 750 500 และ 300 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีติ่งแยกออกมาอีก 1 ระดับ คือ BWF Tour Super 100 ซึ่งไม่รวมอยู่ใน HSBC BWF World Tour แต่คะแนนสะสมจะถูกนับรวมในการคิด ranking สำหรับรายการ Final ด้วย(ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นเรื่องสปอนเซอร์ คือ HSBC อาจจะอยากสนับสนุนแค่ Super 1000-300 รายการระดับ Super 100 เลยกลายเป็นติ่งที่ถูกแยกออกไปแบบแปลกๆครับ)
และระดับที่รองลงไป คือ International Challenge, International Series และ Future Series ยังคงอยู่เหมือนเดิมครับ แต่จะถูกจัดเป็น Grade 3 ที่เรียกเป็น Continental Circuit นั้นก็เพราะว่ารายการในระดับนี้จะถูกรับผิดชอบโดยสมาพันธ์ระดับทวีป เช่น Badminton Asia ก็รับผิดชอบรายการในทวีปเอเชียครับ จะเห็นได้ว่าเราไม่สามารถเช็ครายชื่อนักกีฬาจากเว็บ BWF ได้ แต่ต้องเข้าไปเช็คในเว็บไซต์ของสมาพันธ์นั้นๆ เองครับ
นอกจากนี้ ยังมีรายการประเภทอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกจัดเป็นเกรด คือ รายการระดับทวีป (เช่นชิงแชมป์เอเชีย ทั้งเดี่ยวและประเภททีม) มหกรรมกีฬา (เช่น
โอลิมปิกเอเชียนเกมส์) และรายการระดับเยาวชนครับ (เดี๋ยวนี้แบ่งเป็น Grand Prix, Inter. Challenge, Inter. Series อย่างรายการของบ้านทองหยอดเป็นระดับ Chellenge ครับ)ด้วยความที่ความเปลี่ยนแปลงหลัก อยู่ที่ Super Series + Grand Prix = World Tour + Tour เรามาเน้นกันตรงนี้ดีกว่า
ย้อนอดีตกันซักนิดระดับ SS + GP ที่เรารู้จักคุ้นเคยกันดี จริงๆแล้วมันเพิ่งมีมาเมื่อ 10 ปีนี้เองครับ คือเริ่มเมื่อปี 2007 ก่อนหน้านั้นรายการต่างๆ เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ระดับถูกกำหนดด้วย "ดาว" ขึ้นลงตามจำนวนเงินรางวัล ผลก็คือการจัดการแข่งขันรายการต่างๆ เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ เงินรางวัลขึ้นๆลงๆตามสภาวะเศรษฐกิจ การจะโปรโมตกีฬาแบดมินตันในวงกว้างก็เป็นไปได้ยาก ดังนั้น BWF จึงเริ่มจัดระเบียบการแข่งขันเป็น Circuit ขึ้น โดยมัดรายการทั้งหลายรวมกันเป็น Super Series และ Grand Prix กำหนดจำนวนรายการแน่นอน มีการประมูลสิทธิ์การจัดการแข่งขัน เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับกีฬาแบดมินตันทั้งวงการ ซึ่งก็ได้ผลทีเดียวครับ คือเงินรางวัลรวมเพิ่มขึ้นทันทีถึง 20% ในปี 2007 (BWF กำหนดเงินรางวัลขั้นต่ำ สำหรับ Super Series ไว้ที่ $200,000)
ลองนึกภาพว่า ในปี 2007 ปีเริ่มต้นนั้น จากที่ควรจะมีรายการส่งท้ายปี Super Series Final เป็นครั้งแรก ก็ไม่มี เพราะว่ากาตาร์เจ้าภาพหาสปอนเซอร์ไม่พอ คงพอจะอนุมานได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับกว่าจะมีวันนี้ โดยหลังจากปีแรก การแข่งขันก็มีการพัฒนามาเรื่อยๆ ทั้งในแง่การถ่ายทอด เงินรางวัล และระดับรายการ ในปี 2011 ซึ่งถือว่า Cycle ที่ 2 (ประมูลลิขสิทธิ์ใหม่) มีการยกระดับบางรายการขึ้นเป็น Super Series Premier เป็นครั้งแรก จำนวนเงินรางวัลก็เพิ่มมากขึ้นอีก มากถึง 60% ในปีนี้
เดินกันมาเรื่อยๆ จนถึงปีนี้ 2017 นับเป็นปีสุดท้ายของ Cycle ที่ 3 (2014-2017) ก็ถึงเวลาสำหรับความเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้ง ก็คือการเข้ามาแทนที่ของ World Tour นั่นเอง มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นว่าไม่มีอีกแล้วครับ SS และ GPG ตั้งแต่ปีหน้าจะมีแค่ HSBC BWF World Tour หนึ่งเดียวเท่านั้น (และติ่ง BWF Tour) และจะถูกแบ่งย่อยออกเป็น 5 Levels (+1) คือ
- Level 1 [World Tour Finals] : 1 รายการ จัดที่เมือง Guangzhou ประเทศจีน
- Level 2 [World Tour Super 1000] : 3 รายการ คือ All England, China, Indonesia
- Level 3 [World Tour Super 750] : 5 รายการ คือ Denmark, French, Malaysia, Japan, China Masters
- Level 4 [World Tour Super 500] : 7 รายการ คือ Korea, Singapore, Hong Kong, India, Thailand, Indonesia Masters, Malaysia Masters
- Level 5 [World Tour Super 300]: 11 รายการ (max 15) คือ Australia, New Zealand, U.S., Spain, Chinese Taipei, Swiss, German, Syed Modi (India), Macau, Thailand Masters, Korea Masters
- Level 6 [Tour Super 100]: ไม่ได้กำหนด แต่ปี 2018 มีทั้งหมด 11 รายการครับ
***Tour Super 100 ไม่รวมอยู่ใน HSBC BWF World Tour เป็นเพียง BWF Tour แต่คะแนนสะสมจะถูกคิดรวมใน World Tour Ranking
แล้วเทียบกับ SS, GPG เดิมได้ยังไง จากตารางนี้น่าจะเห็นภาพครับ Level 2 ไม่เคยมีมาก่อน (ก็เหมือนตอนปี 2011 ที่ SS Premier ก็เพิ่งมีครั้งแรกนั่นแหละครับ) เงินรางวัลขั้นต่ำของแต่ละระดับ ก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ตามลำดับครับ
ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ นอกจากชื่อรายการแล้ว ส่วนตัวผมว่ามีอีก 4 เรื่องดังนี้ครับ
1. “TOP COMMITTED PLAYER” OBLIGATIONS
คือกฎที่บังคับให้นักกีฬาระดับท๊อปของโลก ต้องลงแข่งขันตามรายการที่ BWF กำหนด ถ้าไม่ลงแข่งขันโดยไม่มีเหตุผล (เช่น บาดเจ็บ) จะถูกปรับเงิน ซึ่งอย่างที่เราทราบกัน ในปัจจุบันก็มีกฎทำนองนี้อยู่แล้ว คือนักกีฬา Top 10 ของโลกในทุกประเภทการแข่งขัน ต้องลงแข่งในระดับ Super Series Premier ทุกรายการ (5 รายการ) และระดับ Super Series อีกอย่างน้อย 3 รายการ (จาก 7 รายการ) สรุปก็คือ BWF บังคับให้ลงอย่างน้อย 8 รายการ
แต่ภายใต้ระบบใหม่ และกฎใหม่ จะมีความเปลี่ยนแปลงก็คือ BWF บังคับนักกีฬา Top 15 ในประเภทเดี่ยว และ Top 10 ในประเภทคู่ให้ลงทำการแข่งขันใน World Tour อย่างน้อย 12 รายการต่อปี (เพิ่มมา 4) ได้แก่
- Finals : ทุกรายการ (แต่มีรายการเดียว และไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์ ดังนั้นไม่นับแล้วกันครับ)
- Super 1000 : ทุกรายการ (รวม 3 รายการ)
- Super 750 : ทุกรายการ (รวม 5 รายการ)
- Super 500 : อย่างน้อย 4 ใน 7 รายการ
= 12 รายการ
แล้วนักกีฬา Top10, Top15 จะนับอันดับตอนไหน ในกรณีนี้ BWF ระบุว่าให้ยึดตามอันดับหลังจากจบ World Tour Finals (หรือ SS Finals) ของปีก่อนหน้าครับ เช่น ถ้าอันดับสุดท้ายหลังจบ Finals 2017 น้องครีมอยู่อันดับที่ 16 ของโลก แต่พอขึ้นปี 2018 ไปได้ซักพัก น้องครีมทำอันดับขึ้นมาอยู่ที่ 15 ของโลก ก็ยังไม่ถือว่าเข้ากฎข้อนี้ครับ ยังคงเลือกลงรายการได้ตามใจชอบ อันดับจะถูกดูใหม่อีกครั้งตอนครึ่งปีครับ เดือน 7
2. จำนวนนักกีฬาในแต่ละรายการ
ข้อนี้ก็เรื่องใหญ่ครับ ใจความสำคัญก็คือ BWF ต้องการลดจำนวนนักกีฬาในแต่ละทัวร์นาเมนต์ลง เพื่อให้การแข่งขันกระชับและดูสนุกมากขึ้น ดังนี้ครับ
Level 2-3 ที่เทียบกับ SSP เดิม จะไม่มีรอบ Qualify เลย บวกกับกฎเรื่อง Commitment ในข้อที่แล้วเท่ากับว่ารายการในระดับนี้ จะถูก occupied ด้วยนักกีฬามือท๊อปไปแล้วซะ 15 ที่สำหรับประเภทเดียว และ 10 ที่สำหรับประเภทคู่ เท่ากับว่าในประเภทเดี่ยว จะเหลืออีกแค่ 17 ที่เท่านั้นสำหรับนักกีฬาคนอื่นๆ
แต่ที่กระทบมากกว่า ผมคิดว่าเป็น GPG เดิม หรือ Super 300 ในระบบใหม่ครับ เพราะของเดิม ชายเดี่ยวจะมีนักกีฬาทั้งหมดถึง 96 คน แต่ระบบใหม่จำกัดไว้แค่ 48 คนเท่านั้น ลดลงถึงครึ่งนึง ในประเภทอื่นๆ ก็กระทบบ้างแต่ไม่มากเท่า แต่ก็มากพอที่ทำให้พีช พรทิพย์ ไม่สามารถลงเล่นในรายการ Thailand Masters ต้นปีหน้าได้ครับ
สรุปแล้ว ผลก็คือรายการใหญ่ๆ คุณภาพจะอัดแน่นให้คุ้มกับที่ Sponsors ยอมเพิ่มเงินรางวัลให้สูงขึ้น นักกีฬามือท๊อปส่วนตัวคิดว่าไม่กระทบมากขนาดนั้น เพราะยังแย่งกันชิงคะแนนได้ แต่ที่น่าเห็นใจคือนักกีฬาอันดับท้ายๆ เช่น 11-15 ของประเภทเดี่ยวมากกว่า คือถูกบังคับให้เล่นรายการใหญ่มากขนาดนั้น คะแนนก็ไม่ค่อยจะได้เพราะโดนมือท๊อป(กว่า)ปัดตกหมด จะไปเล่นรายการระดับรองลงมาก็ไม่รู้จะหาเวลาที่ไหนไปเล่น ส่วนตัวผมคิดว่า 15 คนมากเกินไป ถ้า Top10 ของทุกประเภทน่าจะกำลังดีกว่าครับ แต่ก็นั่นแหละเค้ากำหนดมาแล้วก็รอดูผลกระทบกันต่อไป
อีกประการคือนักกีฬาระดับรองๆ ลงไปต้องลงแข่งขันตามอันดับโลกของตัวเอง แล้วค่อยๆไต่ระดับขึ้นมาในระดับที่สูงขึ้น เหตุการณ์แบบ Japan Open ที่นักกีฬาโลคอลโนเนมพลิกล็อกขึ้นมาคว้าแชมป์ระดับ Super Series คงเป็นไปได้ยากแล้วครับ
3. การนับ Ranking เพื่อคัดนักกีฬาไปเล่นรายการสุดท้าย
ในข้อนี้ผมไม่มั่นใจ 100% ครับ แต่จากที่ศึกษา และโดย Logic แล้วWorld Tour Ranking ที่จะมาแทน SS Rankingก็ควรจะนับคะแนนรวมทั้งหมดจากทุกรายการใน HSBC BWF World Tour Super 1000-300 รวมทั้ง BWF Tour Super 100 ด้วยครับ (เทียบกับปัจจุบันก็คือรวม GPG GP ด้วย) คะแนนก็คล้ายๆ เดิมครับ4. เงินรางวัล
BWF ย้ำว่าเค้าบังคับให้นักกีฬาลงแข่งขันมากขึ้นก็จริง แต่ผลตอบแทนของนักกีฬาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เรามาดูกันครับว่าสรุปแล้วเป็นยังไงบ้าง ตารางนี้คือสรุปเงินรางวัลของรายการต่างๆ ตั้งแต่ระดับ Super Series จนถึง Grand Prix ในปัจจุบันครับ จะเห็นได้ว่าเงินรางวัลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในปีแรกของ Cycle ใหม่ (2014 และ 2018) โดยในปีหน้า เงินรางวัลรวมของทั้ง Circuit จะเพิ่มขึ้นถึง 41% ครับ หรือถ้าเทียบกับปี 2012 ก็เพิ่มมากว่าเท่าตัวแล้ว
ลองมาดูจำนวนเงินรางวัลของรายการแต่ละระดับกันครับ จากเดิมที่ทุกรายการ การแบ่ง Prize Money จะใช้เกณฑ์เดียวหมด ในระบบใหม่นี้ BWF แบ่งการกระจายเงินออกเป็น 3 แบบครับ คือ ของ Finals, Level 2-3, และ 4-6 ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดก็คือ Level 2-3 นักกีฬามือท๊อปถูกบังคับให้ลงแข่งทุกรายการ ดังนั้นแม้จะตกรอบแรก ก็ยังได้เงินรางวัลครับ
Level 1 - World Tour Finals
Level 2 - Super 1000
Level 3 - Super 750
Level 4 - Super 500
Level 5 - Super 300
(มีต่อที่ความคิดเห็นที่ 13)
(และข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://pantip.com/topic/37261474)