คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
1. เงินก้อนแรกที่คุณได้ มา 5ล้านบาท ดอกเบี้ย 4% โดยการซื้อ fix asset แล้วเอาหลักทรัพย์ กู้ บสย.
ธนาคารที่ให้กู้ทำเรื่องให้ บสย.มาค้ำ เพิ่มวงเงินให้อีก 15 ล้าน เรื่องนี้ ปกติ ไม่น่ากู้ผ่านได้เลย
เพราะการกู้ 5ล้านแรก ผิดวัตถุประสงค์ตั้งแต่ต้น แต่คิดว่า sme ที่คุณเป็นกรรมการ คงมียอดขายที่น่าประทับใจ
ธนาคารเลยอยากให้กู้ เอาเป็นว่า 5ล้านนี้ ไม่น่าห่วงเป็นทรัพย์สินของบ. และคิดว่ามีความสามารถในการผ่อนได้
2. วงเงินที่ได้ มา 15 ล้าน หากคุณเอาไปลงทุน fix asset อีก ก็จะมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง
เงินกู้ที่ได้มา ก็ไม่ได้มีดบ. ที่ต่ำมาก และหาก ธ.ยกเลิก (ประเมินงบ sme ทุกปี) คุณจะต้องหาเงินมาคืนไม่ทัน
สรุป ใช้เงินกู้ให้ถูกประเภทครับ เงิน กู้จากบสย. ควรเอามาลงทุนใน sme ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง
การซื้ออสังหา ลงทุน ส่วนตัว แยกแหล่งเงินกู้ออกมา เพราะการที่ sme ให้กู้แก่กรรมการ ไม่มี ดอกเบี้ย สรรพากรก็ไม่ยอมครับ
ธนาคารที่ให้กู้ทำเรื่องให้ บสย.มาค้ำ เพิ่มวงเงินให้อีก 15 ล้าน เรื่องนี้ ปกติ ไม่น่ากู้ผ่านได้เลย
เพราะการกู้ 5ล้านแรก ผิดวัตถุประสงค์ตั้งแต่ต้น แต่คิดว่า sme ที่คุณเป็นกรรมการ คงมียอดขายที่น่าประทับใจ
ธนาคารเลยอยากให้กู้ เอาเป็นว่า 5ล้านนี้ ไม่น่าห่วงเป็นทรัพย์สินของบ. และคิดว่ามีความสามารถในการผ่อนได้
2. วงเงินที่ได้ มา 15 ล้าน หากคุณเอาไปลงทุน fix asset อีก ก็จะมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง
เงินกู้ที่ได้มา ก็ไม่ได้มีดบ. ที่ต่ำมาก และหาก ธ.ยกเลิก (ประเมินงบ sme ทุกปี) คุณจะต้องหาเงินมาคืนไม่ทัน
สรุป ใช้เงินกู้ให้ถูกประเภทครับ เงิน กู้จากบสย. ควรเอามาลงทุนใน sme ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง
การซื้ออสังหา ลงทุน ส่วนตัว แยกแหล่งเงินกู้ออกมา เพราะการที่ sme ให้กู้แก่กรรมการ ไม่มี ดอกเบี้ย สรรพากรก็ไม่ยอมครับ
แสดงความคิดเห็น
หากได้เงินกู้ธุรกิจ (loan) ที่ดอกเบี้ย 4% จะเอาไปใช้อะไรคุ้มที่สุดครับ
1. ซื้อ Fixed asset โดยซื้อที่ fair value ราคาตลาด = เงินกู้ที่ได้มา คือ 5 ล้านบาท และ ซื้อเงินสด หลังจาก นั้น ก็เอาไปเป็นหลักประกันธนาคาร โดยได้วงเงิน 300% ของ ราคาตลาด เป็น fixed asset 100% ของวงเงิน ที่เหลืออีก 200% บสย. ค้ำ โดย ฟรีค่าธรรมเนียม บสย. 4 ปี หลังจากนั้น จ่ายที่ 1.75% ต่อปี ทำให้ได้วงเงิน เพิ่มมา 3 เท่า โดย ค่าธรรมเนียม บสย. จะเป็น 1.75% ของ 5 ล้าน รวมกับ 1.75% ของเงินที่เหลือ หลังปีที่ 4 , ค่าจำนอง 1% ของยอดเงินกู้ , ค่าธรรมเนียมให้กู้ 1.25% ของ วงเงิน 15 ล้าน
1.1 ใช้ทำ w/c เช่น O/D controlled อัตราดอกเบี้ย MOR-3 (ค่อนข้างได้มาต่ำ) กรณีนี้จ่ายได้เบี้ยตามเงินที่ใช้ แต่มีต้นทุนของ 5.75% ก้อนแรก กับค่าธรรมเนียม บสย.
1.2 เอาหลักทรัพย์ก้อนนี้ค้ำเพื่อซื้อ อสังหาปล่อย เช่า โดยที่ผ่อน 30 ปี อัตราดอกเบี้ย EIR=4.25 เงื่อนไขที่จะทำให้ไม่ขาดทุนที่ตรงนี้ ค่างวดผ่อน + ดอกเบี้ยต่อเดือนของ เงิน 5 ล้าน และ เงิน 15 ล้าน <= ค่าเช่า
อันนี้ผมคิดถูกไหมครับ ประเด็นนี้อาจจะมีปัญหานิดนึงคือ นิติบุคคลเป็นเจ้าของ Fixed asset ที่ซื้อ แต่ผมซื้ออสังหาในนามบุคคลธรรมดา เพราะธนาคารไม่ปล่อยนิติบุคคลซื้อที่อยู่อาศัย อันนี้ต้องรับรู้ดอกเบี้ยรับไหมครับ แล้วคุ้มไหม?
2. เอาไปฝากประจำ แล้วค้ำ O/D ก็จะได้เงิน O/D รวม 15 ล้าน จ่ายดอกเบี้ยตามเงินใช้จริง จ่ายค่าธรรมเนียม บสย. 1.75% อัตราดอกเบี้ย O/D +1 ของยอดเงินฝาก อันนี้ไม่ชัวร์ว่าที่เหลือ อีก 10 ล้าน นอกหลักประกันที่ติดธนาคาร เค้าจะยอมคิดดอกเบี้ย 1% เท่ากันไหมครับ
3. เอาไปซื้ออย่างอื่น ที่ใช้เป็นหลักประกันได้ แล้วเอาเข้า 300% ตามแบบแรก เพื่อมาใช้หมุนเวียน เคสนี้ condition ที่จะทำให้ไม่ขาดทุน คือ ผลตอบแทนเฉลี่ยต้องเท่าไหร่ครับ เป็นหลักประกันอะไรดีครับ
ที่จริง เงินนี้จะเอาไปใช้หมุนเวียน หรือ ซื้อสินทรัพย์ เลยก็ได้ครับ แบบง่ายที่สุด ไม่ต้องไปกู้สองรอบ แต่ผมคิดว่าไม่ค่อยคุ้มเลย ถ้าเกิดเรามีความสามารถชำระหนี้สูง D/E ต่ำมาก แล้วสามารถทำให้ความเสี่ยงต่ำจากการถือสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนในตัวเองได้ ไม่ทราบว่าแนวคิดนี้มีข้อผิดพลาดอะไรไหมครับ
ขอบคุณมากครับ