คุณเคยรู้สึกมั้ย?
รู้สึกเครียดกับงานจนทำให้ตัวเองรุ้สึกแย่ พอเครียดมากๆเข้า สมาธิในการโฟกัสงานก็แตกกระเจิง ไม่สามารถทำงานที่อยู่ข้างหน้าได้ ไม่รู้จะผลักดันงานต่อไปได้อย่างไร...
“ความเครียดก็เหมือนโรคร้ายที่ไม่มีใครอยากเป็นและอยากรักษา ถึงแม้จะไม่หายขาดแต่ถ้าทำให้มันทุเลาลงก็คงดี”
ความเครียดที่ผู้เขียนพูดถึงนี้เป็นความเครียดที่น่ากลัวที่สุด เรียกว่า “ความเครียดเรื้อรัง” เป็นอาการความเครียดที่เกิดจากการสั่งสมเป็นระยะเวลาหนึ่ง เป็นอาการที่ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออก หรือทำงานแล้วหัวหน้าก็ตำหนิว่า ผิดพลาดทุกที ทำดีอย่างไรก็ไม่ถูกวันยังค่ำทำให้เกิดความทุกข์ใจ เสียสุขภาพจิต ท้อแท้ สิ้นหวัง หยุดคิด หยุดทุกสิ่งอย่าง
สุดท้ายคือแก้ปัญหาด้วย
การลาออก!!!
การลาออก สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้จริงหรือ? ทำไมไม่อยู่กับตัวเอง ตั้งสติ คิดปัญหาดังกล่าวสิว่า มันมีทางออกที่จะแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างไร?
หากใครยังไม่สามารถจัดการกับชีวิตตนเองได้สักที ลองดูวิธีแก้ปัญหา หรือวิธีการจัดการกับความเครียดของผู้เขียนไปใช้ดูสิคะ
1. ความเครียดมักจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
ให้มองเสียว่า เกิดเป็นมนุษย์ทุกคนก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา
ทุกคนเลือกไม่เครียดไม่ได้!! แต่เลือกที่จะจัดการกับความเครียดได้อย่างไรต่างหากล่ะ ในความเห็นส่วนตัวมองว่า ยิ่งตัวเองเครียดมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องactive ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ไม่เข้าใจงาน ก็แค่หมั่นฝึกฝน หาความรู้เพิ่มเติม ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปแล้วความสำเร็จจะตามหาคุณเอง
2. ตั้งเป้าหมาย
เทคนิคของผู้เขียนคือจะเขียนปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวันใส่กระดาษ List เป็นข้อๆเขียนแค่คีย์เวิร์ดหลักๆคือ
เครียดเรื่องอะไร—เกี่ยวกับใคร—แล้วกระทบใครบ้าง จากนั้นหยิบกระดาษมาอีกแผ่นหนึ่งที่เปรียบเสมือนกระดาษทด เขียนสมการปัญหาดังกล่าว
ปัญหา = สาเหตุ + ความผิดพลาด
วิธีการหาคำตอบของปัญหาก็คือ การที่เรารู้สาเหตุของปัญหาและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เมื่อรู้แล้วก็หาทางออก ทางออกดังกล่าวเราไม่จำเป็นต้องคิดเองเหมือนในห้องสอบ ที่ตัวใครตัวมัน แต่นี่คือการทำงาน คุณจะใช้ตัวช่วยอะไรก็ได้ ตัวช่วยมีตั้งเยอะแยะ internet/ google ที่เราไม่รู้อะไร สื่อเหล่านี้สามารถตอบโจทย์ผู้เขียนมาหลายครั้งแล้ว แต่ถ้าฉลาดหน่อย ลองอาศัยทางลัด เช่น ลองถามเพื่อนร่วมงาน หรือว่าถ้าเป็นเด็กจบใหม่จะมีพี่เลี้ยง ก็ลองถามพี่เลี้ยงดูก็ได้ ไม่เสียหายอะไรหรอก พวกเค้าเหล่านั้น ไม่มีใคร ไม่อยากช่วยคุณหรอก ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะบวกหรือลบ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้รู้จักการแก้ปัญหาและที่สำคัญความเครียดของคุณอาจจะลดน้อยลงก็ได้นะคะ
3. การเปิดใจพูดคุยกัน
วิธีนี้เป็นวิธีผู้เขียนเลือกใช้น้อยที่สุด เพราะการเปิดใจพูดคุยกัน ถ้าเราไม่รู้จักวิธีพูดกับผู้ฟังหรือไม่ระมัดระวังในการพูด สิ่งเหล่านี้จะคอยซ้ำเติมหรือทำลายความรู้สึกผู้ฟังทางอ้อม และอาจะทำให้ความเครียดของเราเองยิ่งแย่ไปกว่าเก่า
ในทางกลับกันถ้ามองโลกในแง่ดี วิธีนี้กลับเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วในการแก้ปัญหา
แค่ยึดหลักง่ายๆคือ
อย่ามโน!! บางทีสิ่งที่เรามองว่าเป็นปัญหา คนอื่นอาจจะมองว่าไม่เป็นปัญหาก็ได้นะคะ
ยกตัวอย่าง ปัญหาระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง
ลูกน้องคิด: จะทำแบบนี้ มันดีมั้ยน้า
มโน:มันไม่ใช่แน่ๆ แก้ไม่ได้หรอก หัวหน้าต้องไม่พอใจแหงๆ
หัวหน้าคิด: เอ๊..ไอ้เด็กคนนี้ทำไมมันทำงานช้าจัง นี่ไม่เห็นมาถามเราเลย งานที่ให้มันง่ายซะที่ไหนกัน
มโน: สงสัยไม่ชอบงานแน่ๆ
จะเห็นว่าทั้งสองคนต่างคิดกันไปต่างๆนาๆ เผลอๆถ้าไม่พูดกันคงจบไม่ได้สักที ไอ้หัวหน้าก็ได้แต่รองานลูกน้อง พอรอนานเข้าหน่อยก็เครียด ตำหนิว่ากล่าว ส่วนไอ้ลูกน้องก็ได้แต่มี question ต่างๆนๆ ทำอะไรยังไง จุดประสงค์เจ้านายคืออะไร สุดท้ายแล้วก็ต้องมาลงเอยด้วยการคุยกันอยู่ดี
4.เครียดไปก็ไม่ช่วยอะไร
วิธีนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาแต่เป็นวิธีทำใจ และสร้างแรงจูงใจในการก้าวต่อ
จริงอยู่ค่ะ ที่ทุกคนมีความรู้สึกที่อยู่ๆก็เครียด หงุดหงิด เบื่อ อะไรๆก็ไม่ได้ดั่งใจ แบบว่า
อะไรกันวะเนี่ย? นี่ชั้นจะเอายังไงกับชีวิต? งานตรงหน้านี่ก็ไม่ขยับ? หัวหน้านี่ก็จับผิดตลอดเวลา ลูกเมียไม่รักรึไง?
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่บั่นทอนสุขภาพจิตของคุณเป็นอย่างมากเลยค่ะ ลองปล่อยวาง ปล่อยมันไปสักพัก ใช้เวลากับตัวเอง หาอะไรที่ผ่อนคลาย ไม่คิดเรื่องงานดูบ้าง แต่ละคนก็จะมีวิธีคลายความเครียดที่ไม่เหมือนกัน อย่างผู้เขียนจะเลือกใช้วิธี หลังเลิกงานทุกสัปดาห์จะนั่งฟังเพลง หาอะไรเย็นๆจิบ ปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลง หรือบางวันเลือกที่จะไปดูหนังกับเพื่อน แต่ส่วนใหญ่ดูหนังคนเดียวค่ะ (เพราะโสด555) ประหยัดหน่อยก็นอนดูหนังที่ห้อง ดูรายการตลกผ่อนคลายอารมณ์ของเราเองให้ไม่ตึงเครียดเกินไป พร้อมรับกับแรงกดดันและความเครียดใหม่ที่จะเจอในอนาคต แค่นี้เองค่ะ
สุดท้ายฝากให้ไปคิดกับบทความของ
T J Hoisington เจ้าของหนังสือ if you think you can ว่า
“คนที่ล้มเหลวกับชีวิตการทำงาน ถ้าเค้าคนนั้นสามารถหาเหตุผลมารองรับว่าอะไรที่เป็นสาเหตุให้ตัวเองไม่ประสบความสำเร็จได้ คนล้มเหลวคนนั้นก็สามารถกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต”
จบครัช สวัสดี
วิกานดา เรียบเรียง
วิธีการจัดการความเครียดกับงานให้ได้ผลดีที่สุด
คุณเคยรู้สึกมั้ย?
รู้สึกเครียดกับงานจนทำให้ตัวเองรุ้สึกแย่ พอเครียดมากๆเข้า สมาธิในการโฟกัสงานก็แตกกระเจิง ไม่สามารถทำงานที่อยู่ข้างหน้าได้ ไม่รู้จะผลักดันงานต่อไปได้อย่างไร...
“ความเครียดก็เหมือนโรคร้ายที่ไม่มีใครอยากเป็นและอยากรักษา ถึงแม้จะไม่หายขาดแต่ถ้าทำให้มันทุเลาลงก็คงดี”
ความเครียดที่ผู้เขียนพูดถึงนี้เป็นความเครียดที่น่ากลัวที่สุด เรียกว่า “ความเครียดเรื้อรัง” เป็นอาการความเครียดที่เกิดจากการสั่งสมเป็นระยะเวลาหนึ่ง เป็นอาการที่ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออก หรือทำงานแล้วหัวหน้าก็ตำหนิว่า ผิดพลาดทุกที ทำดีอย่างไรก็ไม่ถูกวันยังค่ำทำให้เกิดความทุกข์ใจ เสียสุขภาพจิต ท้อแท้ สิ้นหวัง หยุดคิด หยุดทุกสิ่งอย่าง
สุดท้ายคือแก้ปัญหาด้วยการลาออก!!!
การลาออก สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้จริงหรือ? ทำไมไม่อยู่กับตัวเอง ตั้งสติ คิดปัญหาดังกล่าวสิว่า มันมีทางออกที่จะแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างไร?
หากใครยังไม่สามารถจัดการกับชีวิตตนเองได้สักที ลองดูวิธีแก้ปัญหา หรือวิธีการจัดการกับความเครียดของผู้เขียนไปใช้ดูสิคะ
1. ความเครียดมักจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
ให้มองเสียว่า เกิดเป็นมนุษย์ทุกคนก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา ทุกคนเลือกไม่เครียดไม่ได้!! แต่เลือกที่จะจัดการกับความเครียดได้อย่างไรต่างหากล่ะ ในความเห็นส่วนตัวมองว่า ยิ่งตัวเองเครียดมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องactive ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ไม่เข้าใจงาน ก็แค่หมั่นฝึกฝน หาความรู้เพิ่มเติม ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปแล้วความสำเร็จจะตามหาคุณเอง
2. ตั้งเป้าหมาย
เทคนิคของผู้เขียนคือจะเขียนปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวันใส่กระดาษ List เป็นข้อๆเขียนแค่คีย์เวิร์ดหลักๆคือ เครียดเรื่องอะไร—เกี่ยวกับใคร—แล้วกระทบใครบ้าง จากนั้นหยิบกระดาษมาอีกแผ่นหนึ่งที่เปรียบเสมือนกระดาษทด เขียนสมการปัญหาดังกล่าว
ปัญหา = สาเหตุ + ความผิดพลาด
วิธีการหาคำตอบของปัญหาก็คือ การที่เรารู้สาเหตุของปัญหาและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เมื่อรู้แล้วก็หาทางออก ทางออกดังกล่าวเราไม่จำเป็นต้องคิดเองเหมือนในห้องสอบ ที่ตัวใครตัวมัน แต่นี่คือการทำงาน คุณจะใช้ตัวช่วยอะไรก็ได้ ตัวช่วยมีตั้งเยอะแยะ internet/ google ที่เราไม่รู้อะไร สื่อเหล่านี้สามารถตอบโจทย์ผู้เขียนมาหลายครั้งแล้ว แต่ถ้าฉลาดหน่อย ลองอาศัยทางลัด เช่น ลองถามเพื่อนร่วมงาน หรือว่าถ้าเป็นเด็กจบใหม่จะมีพี่เลี้ยง ก็ลองถามพี่เลี้ยงดูก็ได้ ไม่เสียหายอะไรหรอก พวกเค้าเหล่านั้น ไม่มีใคร ไม่อยากช่วยคุณหรอก ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะบวกหรือลบ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้รู้จักการแก้ปัญหาและที่สำคัญความเครียดของคุณอาจจะลดน้อยลงก็ได้นะคะ
3. การเปิดใจพูดคุยกัน
วิธีนี้เป็นวิธีผู้เขียนเลือกใช้น้อยที่สุด เพราะการเปิดใจพูดคุยกัน ถ้าเราไม่รู้จักวิธีพูดกับผู้ฟังหรือไม่ระมัดระวังในการพูด สิ่งเหล่านี้จะคอยซ้ำเติมหรือทำลายความรู้สึกผู้ฟังทางอ้อม และอาจะทำให้ความเครียดของเราเองยิ่งแย่ไปกว่าเก่า
ในทางกลับกันถ้ามองโลกในแง่ดี วิธีนี้กลับเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วในการแก้ปัญหา
แค่ยึดหลักง่ายๆคือ อย่ามโน!! บางทีสิ่งที่เรามองว่าเป็นปัญหา คนอื่นอาจจะมองว่าไม่เป็นปัญหาก็ได้นะคะ
ยกตัวอย่าง ปัญหาระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง
ลูกน้องคิด: จะทำแบบนี้ มันดีมั้ยน้า มโน:มันไม่ใช่แน่ๆ แก้ไม่ได้หรอก หัวหน้าต้องไม่พอใจแหงๆ
หัวหน้าคิด: เอ๊..ไอ้เด็กคนนี้ทำไมมันทำงานช้าจัง นี่ไม่เห็นมาถามเราเลย งานที่ให้มันง่ายซะที่ไหนกัน
มโน: สงสัยไม่ชอบงานแน่ๆ
จะเห็นว่าทั้งสองคนต่างคิดกันไปต่างๆนาๆ เผลอๆถ้าไม่พูดกันคงจบไม่ได้สักที ไอ้หัวหน้าก็ได้แต่รองานลูกน้อง พอรอนานเข้าหน่อยก็เครียด ตำหนิว่ากล่าว ส่วนไอ้ลูกน้องก็ได้แต่มี question ต่างๆนๆ ทำอะไรยังไง จุดประสงค์เจ้านายคืออะไร สุดท้ายแล้วก็ต้องมาลงเอยด้วยการคุยกันอยู่ดี
4.เครียดไปก็ไม่ช่วยอะไร
วิธีนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาแต่เป็นวิธีทำใจ และสร้างแรงจูงใจในการก้าวต่อ
จริงอยู่ค่ะ ที่ทุกคนมีความรู้สึกที่อยู่ๆก็เครียด หงุดหงิด เบื่อ อะไรๆก็ไม่ได้ดั่งใจ แบบว่า
อะไรกันวะเนี่ย? นี่ชั้นจะเอายังไงกับชีวิต? งานตรงหน้านี่ก็ไม่ขยับ? หัวหน้านี่ก็จับผิดตลอดเวลา ลูกเมียไม่รักรึไง?
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่บั่นทอนสุขภาพจิตของคุณเป็นอย่างมากเลยค่ะ ลองปล่อยวาง ปล่อยมันไปสักพัก ใช้เวลากับตัวเอง หาอะไรที่ผ่อนคลาย ไม่คิดเรื่องงานดูบ้าง แต่ละคนก็จะมีวิธีคลายความเครียดที่ไม่เหมือนกัน อย่างผู้เขียนจะเลือกใช้วิธี หลังเลิกงานทุกสัปดาห์จะนั่งฟังเพลง หาอะไรเย็นๆจิบ ปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลง หรือบางวันเลือกที่จะไปดูหนังกับเพื่อน แต่ส่วนใหญ่ดูหนังคนเดียวค่ะ (เพราะโสด555) ประหยัดหน่อยก็นอนดูหนังที่ห้อง ดูรายการตลกผ่อนคลายอารมณ์ของเราเองให้ไม่ตึงเครียดเกินไป พร้อมรับกับแรงกดดันและความเครียดใหม่ที่จะเจอในอนาคต แค่นี้เองค่ะ
สุดท้ายฝากให้ไปคิดกับบทความของ
T J Hoisington เจ้าของหนังสือ if you think you can ว่า
วิกานดา เรียบเรียง