
ไม่ใช่ว่าผมอายุครบ 60 ปี ห้ารอบบริบูรณ์ ไม่ใช่ว่าผมสามารถทำงานน้อยลงตามที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ว่าผมจัดการกับงาน เงิน
ส่วนตัวและครอบครัวได้อย่างลงตัวอย่างมีสมดุลเท่านั้น
ผมยังจัดการให้ตัวเองมีความสุขในแบบที่ต้องการได้ด้วยครับ
ผมลองนึกย้อนกลับไปว่า ตัวเองทำงานลงหลักปักฐานเป็นเรื่องเป็นราวตอนอายุสัก 24 ทำงานต่อเนื่องมาสามสิบหกปี (ไม่เคยเปลี่ยนงาน แต่เปลี่ยนที่ทำงาน ซึ่งก็น้อยมากเพียงแค่สองแห่งเท่านั้นเอง) ส่วนจะทำต่อไปอีกกี่ปีและจะทำอะไรต่อไปมากไปกว่านี้ ต้องบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน
ถ้าหากใช้มาตรฐานด้วยเกณฑ์การยืนยาวของชีวิตในปัจจุบัน ผมว่าเต็มที่จากนี้ไปสิบปีสิบห้าปีผมก็ม่องเท่งแล้ว ถ้าหากสั้นกว่านั้นก็แย่หน่อย (งานได้ผลแต่เงินยังไม่ได้ผลาญ) แต่ถ้าหากยาวกว่านั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าดีกว่าหรือแย่กว่ากัน เอาไว้ถึงเวลาค่อยมาเขียนให้อ่านคุยให้ฟังก็แล้วกัน ตอนนี้ยังเร็วเกินไปครับ แต่ถึงจะเป็นเช่นไร
ผมคิดแต่ไม่เครียดครับ
พระท่านบอกว่า เรื่องอื่นๆ อาจจะเลือกได้ว่าเอาไม่เอา แต่เรื่อง “การเกิด-การตาย” เป็นของคู่กัน ไม่สามารถเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งใด เมื่อมีเกิดก็ต้องมีตาย
แต่เราก็ไม่ค่อยคิดกันจริงๆจังๆ ก็เลยเป็นปัญหากับเรื่องธรรมดาสามัญของชีวิต
ถ้าหากวางตารางเวลาในชีวิตไว้แบบนี้ ตั้งแต่เกิดจนแก่สิริรวม 60 ปีและสามารถมีชีวิตก่อนตายโดยเกณฑ์เฉลี่ยคนไทยปัจจุบันคือ 75 ปีคืออีกสิบห้าปีนับจากนี้ไป
เท่ากับผมผ่านหมุดหมายจาก หนึ่ง สอง สามและสี่มาเรียบร้อยแล้ว จากนี้คือช่วงเวลาเดินจากหมุดหมายที่สี่ไปสู่ห้า
ระยะทางบนถนนแจ้งวัฒนะจากหลักสี่ไปห้าแยกปากเกร็ดสั้นนิดเดียว !
จะด้วยเจอของจริงในชีวิตแบบนี้หรือเปล่าไม่ทราบได้ ผมสังเกตดูตัวเองในระยะหลังมีพฤติกรรมที่คนอื่นๆก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่า กล้า ใช้เงินมากขึ้น
เข้าเรื่อง “เงินก็ได้ผลาญ” เสียที หลังจากหลอกล่อคุณๆ อยู่เป็นนานสองนาน
จริงครับว่า ผมกล้าใช้เงินกว่าเมื่อก่อน มันมีคนข้างในคอยบอกอยู่บ่อยๆ ว่าซื้อเลย ซื้อเลย เวลาลังเลว่าจะเอาดีไม่ดี จะซื้อไม่ซื้อดี
ปี 2560 สำหรับผมแล้วต้องบอกว่าเป็นปีที่มหัศจรรย์พันลึกที่สุดในชีวิตครับ - วีระ ธีรภัทรานนท์
ไม่ใช่ว่าผมอายุครบ 60 ปี ห้ารอบบริบูรณ์ ไม่ใช่ว่าผมสามารถทำงานน้อยลงตามที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ว่าผมจัดการกับงาน เงิน
ส่วนตัวและครอบครัวได้อย่างลงตัวอย่างมีสมดุลเท่านั้น
ผมยังจัดการให้ตัวเองมีความสุขในแบบที่ต้องการได้ด้วยครับ
ผมลองนึกย้อนกลับไปว่า ตัวเองทำงานลงหลักปักฐานเป็นเรื่องเป็นราวตอนอายุสัก 24 ทำงานต่อเนื่องมาสามสิบหกปี (ไม่เคยเปลี่ยนงาน แต่เปลี่ยนที่ทำงาน ซึ่งก็น้อยมากเพียงแค่สองแห่งเท่านั้นเอง) ส่วนจะทำต่อไปอีกกี่ปีและจะทำอะไรต่อไปมากไปกว่านี้ ต้องบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน
ถ้าหากใช้มาตรฐานด้วยเกณฑ์การยืนยาวของชีวิตในปัจจุบัน ผมว่าเต็มที่จากนี้ไปสิบปีสิบห้าปีผมก็ม่องเท่งแล้ว ถ้าหากสั้นกว่านั้นก็แย่หน่อย (งานได้ผลแต่เงินยังไม่ได้ผลาญ) แต่ถ้าหากยาวกว่านั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าดีกว่าหรือแย่กว่ากัน เอาไว้ถึงเวลาค่อยมาเขียนให้อ่านคุยให้ฟังก็แล้วกัน ตอนนี้ยังเร็วเกินไปครับ แต่ถึงจะเป็นเช่นไร
ผมคิดแต่ไม่เครียดครับ
พระท่านบอกว่า เรื่องอื่นๆ อาจจะเลือกได้ว่าเอาไม่เอา แต่เรื่อง “การเกิด-การตาย” เป็นของคู่กัน ไม่สามารถเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งใด เมื่อมีเกิดก็ต้องมีตาย
แต่เราก็ไม่ค่อยคิดกันจริงๆจังๆ ก็เลยเป็นปัญหากับเรื่องธรรมดาสามัญของชีวิต
ถ้าหากวางตารางเวลาในชีวิตไว้แบบนี้ ตั้งแต่เกิดจนแก่สิริรวม 60 ปีและสามารถมีชีวิตก่อนตายโดยเกณฑ์เฉลี่ยคนไทยปัจจุบันคือ 75 ปีคืออีกสิบห้าปีนับจากนี้ไป
เท่ากับผมผ่านหมุดหมายจาก หนึ่ง สอง สามและสี่มาเรียบร้อยแล้ว จากนี้คือช่วงเวลาเดินจากหมุดหมายที่สี่ไปสู่ห้า
ระยะทางบนถนนแจ้งวัฒนะจากหลักสี่ไปห้าแยกปากเกร็ดสั้นนิดเดียว !
จะด้วยเจอของจริงในชีวิตแบบนี้หรือเปล่าไม่ทราบได้ ผมสังเกตดูตัวเองในระยะหลังมีพฤติกรรมที่คนอื่นๆก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่า กล้า ใช้เงินมากขึ้น
เข้าเรื่อง “เงินก็ได้ผลาญ” เสียที หลังจากหลอกล่อคุณๆ อยู่เป็นนานสองนาน
จริงครับว่า ผมกล้าใช้เงินกว่าเมื่อก่อน มันมีคนข้างในคอยบอกอยู่บ่อยๆ ว่าซื้อเลย ซื้อเลย เวลาลังเลว่าจะเอาดีไม่ดี จะซื้อไม่ซื้อดี