++พลังบวก++พี่ตูน++ช่วยแก้ปัญหารพ.ศูนย์++

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวว่าคิดอยู่นานว่าจะตั้งกระทู้นี้ดีไหม แต่หวังว่ากระทู้นี้จะสะท้อนอีกมุมมองส่วนตัวเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน

โครงการก้าวคนละก้าว ที่มีคุณตูน บอดี้แสลม เป็นผู้นำทีม ส่วนตัวประทับใจในความคิดของคุณตูนมาก โดยเฉพาะความเสียสละ และ ความคิดบวกๆทุกครั้งที่คุณตูนให้สัมภาษณ์ออกสื่อ แม้ว่าคุณตูนจะทราบดีว่า การวิ่งจากเบตงถึงแม่สายนั้นจะไม่ได้แก้ปัญหาที่รากเหง้าของระบบสาธารณสุขไทยก็ตาม แต่ก็ไม่นิ่งเฉยและขอลุกขึ้นมาวิ่งเพื่อระดมทุนบริจาคให้ รพ.ดั่งที่เราท่านทราบกันดี แต่ผมเชื่อว่า คุณตูนทำให้พวกเราเกือบทั้งประเทศและผู้ใหญ่ในประเทศนี้ได้เห็นพลังบวกของคนไทย ทั้งการเสียสละ การบริจาค การออกกำลังกาย และ ความสามัคคี จะช่วยบรรเทาปัญหาต่างๆได้บ้าง และช่วยทำให้มีพลังบวกอีกมากมาย ส่วนตัวก็ขอขอบคุณคุณตูนในกระทู้นี้เลยล่ะกันครับ

ปัญหาระบบสาธารณสุขไทย นั้นมีมานานมากแล้ว แต่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนก็มีการยืนยันเรื่องปัญหางบดุลของ รพ.ศูนย์ใหญ่ๆในประเทศ ตามลิงค์นี้
https://mgronline.com/drama/detail/9600000035084
เมื่อดูตัวเลขแล้วจะเห็นว่า พี่ตูนต้องวิ่งอย่างน้อยปีละ 2-3 ครั้งถึงจะช่วยแก้หนี้สินนี้ได้(แต่ละครั้งต้องได้ 800 ล้านบาทด้วย) คำถามอะไรคือต้นเหตุของหนี้เหล่านี้เหรอ

ส่วนตัวผมเองมีเพื่อนในวงการสาธารณสุขไทย ได้เดินเข้าออก รพ.รัฐ ทั้งใน กรุงเทพ และต่างจังหวัด อะไรคือสาเหตุที่มาของหนี้เหล่านี้กันครับ
1. ระบบการรักษาและการเบิกจ่ายยาและเวชภัณฑ์ หัวนี้ค่อนข้างกว้างขวางมาก มาไล่กันทีละประเด็น

1.1 เรื่องสิทธิ์การรักษา ในที่นี้ผมไม่กล่าวถึง สิทธิ์ประกันสังคมเพราะ เค้าเก็บเงินผู้ประกันตน แล้วนำเงินไปบริหารเอง...แต่เรื่องการเข้าถึงบริการและคุณภาพการรักษาก็ขึ้นกับดุลยพิจนิจของแต่ละท่านเองครับ ที่นี้สิทธิ์ที่จะกล่าวถึง คือ สิทธิ์ 30 บาทรักษาทุกโรค และ สิทธิ์ข้าราชการ ซื่งเป็นคนไข้ส่วนใหญ่ใน รพ.ศูนย์และรพ.รัฐทั้งหลายเหล่านี้

1.1.1 สิทธิ์ 30 บาท เรื่องนี้มีทั้งแง่ที่ดีมากก็คือ ทำให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เพราะ ถ้าอยู่ต่างจังหวัดคุณจะเข้าใจครับว่า มีคนไข้ไม่น้อยเลย ที่อยู่นอกเมืองมากๆ และการเดินทางลำบาก กว่าจะถึง รพ. ได้จะต้องเหมารถลา ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายหลักร้อยบาทแล้ว แต่อีกด้านหนึ่ง คือ ผู้ป่วยในระดับรากหญ้าก็มีความรู้น้อย ไม่ค่อยดูแลสุขภาพ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และทานอาหารที่เป็นอันตรายกับตนเอง เช่น เห็ดพิษ หรือ สมุนไพร โดยไม่รู้ถึงอันตราย ทำให้เค้าเกิดความเจ็บป่วย หรือ สร้างโรคให้ตนเอง จนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล ... พูดง่ายๆคือ ระบบสาธารณสุขไทย ไม่สามารถเข้าถึงประชาชนทุกระดับ ในการส่งเสริมสุขภาพ เพื่อป้องกันการเกิดความเจ็บป่วย ซึ่งจุดนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดครับ เพราะป้องกันใช้ค่าใช้จ่ายน้อยกว่ารักษาพยาบาล ... เรื่องนี้วิธีแก้คือ ระบบสาธารณสุขเพิ่มประสิทธิภาพการส่งเสริมสุขภาพให้เหมาะสมในแต่ละชุมชนแต่ละบริบทครับ

คนไข้ที่ป่วยแล้ว ส่วนใหญ่ต้องอาศัยยา และเวชภัณฑ์ในการรักษาพยาบาล ซึ่งค่าใช้จ่ายสูง และสูงมาก ทำไมถึงสูง เพราะว่ายาและเวชภัณฑ์ส่วนใหญ่ประเทศไทยไม่สามารถผลิตเองได้ทั้งหมด แต่ต้องนำเข้า หรือนำมาบรรจุเม็ดเองเท่านั้น ... ดังนั้นหากจะแก้ปัญหานี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายและแก้ได้เร็ว แต่ต้องอาศัยการวางแผนและนโยบายระยะยาว ในความคิดเห็นส่วนตัว คิดว่า รัฐบาลไทยต้องจัดสรรเงิน เพื่อสนับสนุนทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และ วิศวะทางการแพทย์ และนักวิจัย เพื่อวางแผนในการพัฒนาและผลิตบุคคลากรของเราเอง ให้สามารถ วิจัย วิเคราะห์ ผลิดยาเอง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และยากมากอันนี้ผมทราบ แต่เราไม่มีการสนับสนุนเรื่องเหล่านี้เลย หรือมีก็น้อยนิดมากครับ นอกจากนั้น ทีมวิจัย พัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ก็สำคัญมาก เพราะทุกวันนี้ รพ. ต้องมีค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น Infusion pump, Monitorต่างๆ,Ventilator ต่างๆและอีกมากมายที่เราต้องซื่อ นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนตัวมองว่า เราต้องพัฒนาบุคคลากร และหน่วยงานเฉพาะเพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะคงใช้เวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี เราถึงมีทีมและโรงงานที่สามารถผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เองได้ และที่สำคัญคือเรื่องคุณภาพด้วย ซึ่งหากเราทำให้เราจะไม่ต้องเสียเงินไปกับส่วนต่างกำไร แถมเราสามารถผลิตและสร้างรายได้เข้าประเทศได้ด้วย ... แน่นอนครับว่านี่ไม่ง่าย แต่ผมเชื่อว่าเราต้องมีจินตนาการ เราต้องมีการวางแผน เราต้องทำครับ ... เพราะถ้าเราไม่ทำ บอกได้เลยว่าประเทศไทยจะต้องรับภาระเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเทคโนโลยีรวดเร็วและมีค่าตัวสูงขึ้นทุกวัน

เรื่องค่ารักษาพยาบาล ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ใช้เท่ากันทุกคน เพราะว่า ประเทศไทยไม่ได้มีรายได้มากพอที่จะรับภาระให้ทุกคนโดยทุกคนจ่ายแค่ 30 บาทได้(กล่าวตามความเป็นจริงนะครับ) แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ ก่อนจะทำได้ อันดับแรกระบบฐานข้อมูลเรื่องรายได้ของประชาชนทุกคน และ บริษัท หรือหน่วยงานรัฐและเอกชน หน่วยงานของรัฐต้องสามารถเข้าถึง ตรวจสอบได้อย่างถูกต้องทุกกรณีก่อน ซึ่งจะทำให้สิ่งที่ผมคิดทำให้จริงวิธีแก้ไขส่วนตัวมีความคิดเห็น 2 แบบ
- หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสวัสดิการ 30 บาท จะให้ทุกคนใช้สิทธิ์เช่นเดิมได้ ประเทศจะต้องมี GDP มากกว่านี้ซึ่งคงไม่ใช่อะไรที่ทำได้ทันที อีกวิธีคือ ระบบสรรพากรต้องมีการจัดเก็บภาษีที่มากขึ้น ซึ่งก็คงเดือดร้อนกันแน่ เพราะ แค่จะเพิ่ม Vat 7% => 8% ประชาชนยังโวยวายกันเลย
- หากเรามีเงินจำกัด แน่นอนคงต้องให้ประชาชนร่วมชำระค่าใช้จ่ายบ้าง ซื่งตรงนี้คงมีรายละเอียดที่ต้อง จัดกลุ่มประชากรที่ไม่มีรายได้ หรือรายได้น้อยอย่างแท้จริง และ กลุ่มที่พอมีรายได้  และกลุ่มที่มีรายได้มาก และ กลุ่มที่มีรายได้มากๆ ซื่งแน่นอนก็ย่อมมีการร่วมชำระตามหลักเกณฑ์ที่รัฐจะต้องไปวางแผนเอาเองตามความเหมาะสม ซึ่งที่สุดจะทำให้ รพ.รัฐมีรายได้จากประชาชนที่ร่วมจ่ายได้จริงเข้า รพ.ด้วยเช่นกัน

1.1.2 สิทธิ์ข้าราชการ ส่วนตัวก็เห็นใจข้าราชการทั้งระดับล่าง กลาง ที่มีรายได้ไม่มากนัก แต่เข้ามาทำงานเพื่อหวังเรื่องสิทธิ์ข้าราชการให้ตนเองและครอบครัว อันนี้เข้าใจได้ แต่หากไปดูข้อมูลการใช้สิทธิ์ราชการในการรักษาพยาบาลแล้วจะเห็นได้ว่า มีค่าใช้จ่ายบานปลายมาก โดยเฉพาะเรื่องยา ซึ่งบัญชีการเบิกจ่ายยาข้าราชการ จะมียาที่มีค่าใช้จ่ายสูงอยู่ด้วย ซึ่งในบางราย รายจ่ายต่อปีไม่ต่ำกว่า 6 หลัก โดยเฉพาะยารักษามะเร็ง หรือหากจะกล่าวเรื่องเงินที่สูญไปแบบเปล่าประโยชน์ ก็ดูไม่ยากนะครับ เมื่อหลายปีก่อน รัฐจัดโครงการเอายาเก่ามาแลกไข่ พบว่ามียาที่ไม่ได้ใช้มาคืนเป็นจำนวนมาก ... ปัจจุบันข้าราชการที่เบิกจ่ายตรง เวลามารับการรักษาจ่ายยา แต่ละครั้งไม่ต้องชำระเงินเลย ท่านทั้งหลายเคยทราบไหมว่าต้นทุนราคายาของ คนไข้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจ มะเร็งแต่ละครั้งที่รับยาสูงแค่ไหนต่อคน โดยประมาณน่าจะอยู่ที่ 1000 - 10000 บาทต่อ2-3 เดือน หรือมากกว่านั้น หากคนไข้เอายาไปแล้วทานให้ครบก็คงไม่น่าเสียดาย แต่ส่วนใหญ่ทานอาจจะไม่ครบ ซึ่งมีเงินที่เสียไปกับส่วนนี้ไม่น้อยเลย ... ในแง่เรื่องการส่งเสริมสุขภาพ สำหรับราชการก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ดูได้จาก ข้าราชการไม่น้อย ที่ยังสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคตับ โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ และอื่นๆ ซึ่งทำให้สูญเสียเงินมากมาย

ความเห็นส่วนตัวมองว่า สิทธิ์ราชการเบิกรักษาได้เหมือนเดิมเลยครับ แต่มีวงเงินจำกัดในแต่ละปี โดยให้ข้าราชการทุกคนเท่ากัน คุณจะใช้ยาดีแค่ไหนก็ได้ แต่โดยรวมไม่เกินสิทธิ์ในแต่ละปี เช่นค่ารักษา OPD ไม่เกินปีละ 20,000-50,000 บาท สำหรับ IPD ไม่เกินปีละ 200,000-500,000 บาทเป็นต้น หรืออาจจะปรับเกณฑ์ตามความเหมาะสมที่รัฐเห็นสมควร ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนเกินนั้น ข้าราชการก็ควรต้องรับผิดชอบร่วมชำระเอง ซึ่งแบบนี้จะทำให้รัฐไม่ต้องรับภาระแบบไม่มีข้อกำจัดเหมือนปัจจุบัน นอกจากนี้ เรื่องครอบครับ ส่วนตัวคิดว่า ควรจะลดสิทธิ์กับ บิดา มารดา ภรรยา และลูก แต่เรื่องนี้ เนื่องจากรัฐเป็นผู้ร่างนโยบาย ก็ยากที่จะปรับเปลี่ยน แต่หากรัฐคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง ก็ยากที่จะพัฒนาระบบสาธารณสุขให้ดีกว่านี้ได้ คงต้องรอให้คนดีๆมาวิ่งหาเงินต่อไปครับ

2. ทิศทางการพัฒนาบุคคลากรทางการแพทย์

คุณตูนกล่าวไว้ ผมอ่านเจอว่า คุณตูนไม่ใช่ฮีโร่ แต่ฮีโร่ตัวจริงคือ คุณหมอและพยาบาลที่ทำงาน แต่แค่พวกเค้าไม่มี Spotlight มาส่องเท่านั้นเอง .... ผมชอบนะ ทำให้เชื่อได้ว่าคุณตูนมองเห็นสภาพความเป็นจริง

เพื่อนผมอยู่ รพ.จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน เพิ่งจบแพทย์ใหม่ๆเมื่อ 10+ ปีก่อน เค้าต้องดูแลคนไข้ ตรวจคนไข้ตอนกลางวัน และช่วงเย็นและกลางคืนต้องอยู่เวรดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ และสมอง เป็นเวลารวมกัน 60 วัน 60 คืนที่เค้าต้องทำงานตลอด ซึ่งเป็นช่วง Rotation  ที่เค้าต้องรับผิดชอบ มันหนักที่สุดสำหรับเค้า แต่เค้าก็ผ่านมาได้ หมอท่านนี้บอกผมว่า เค้าเหนื่อยนะ แต่มีคนเหนื่อยกว่าเค้าอีก คือ อาจารย์และรุ่นพี่ที่อยู่ในห้องผ่าตัดที่ทำงานรักษาผู้ป่วย ผ่าตัดหัวใจ ผ่าตัดสมอง ตลอดเหมือนกัน แต่หมอทุกคนในทีมกำลังทำอะไร...กำลังช่วยเหลือผู้ป่วยที่ รพ.แห่งนั้น ซึ่งมีคิวรอรับการผ่าตัดยาวข้ามปีเลยทีเดียว แล้วแบบนี้จะให้หมอเหล่านี้หยุดได้อย่างไร อาจารย์แพทย์เคยพูดแบบนี้ไว้

ถ้าเอาจริงแล้วก็จริงอย่างที่คุณตูนบอกว่า ฮีโร่ตัวจริงคือคุณหมอและพยาบาลที่เสียสละเพื่อคนไข้ ... แต่สำหรับผม คุณตูนก็เป็นฮีโร่อีกคน ที่ทำให้คนไทยหลายๆคน มีกำลังใจ มีแรงใจ มีพลังบวกให้กัน และเผื่อแผ่ให้คนอื่นที่ขาดโอกาส ... ขอบคุณครับคุณตูน

กลับมาเรื่องบุคคลากรทางการแพทย์ต่อ ... หากเรามองปัญหาสุขภาพคนไทย คงต้องมองตั้งแต่ยังไม่เป็นโรคมากกว่า ดังนั้น วิธีการแก้ไขคือ
1. ส่งเสริม ป้องกัน ดูแลสุขภาพ เป็นสิ่งที่รัฐต้องลงมือทำให้สำเร็จ ตอนนี้อาจทำแล้วแต่ยังไม่สำเร็จไง...ทำไงล่ะ... คงต้องหาคนที่ตีโจทย์ให้แตก
2. ค้นหาโรค เพื่อรักษา รัฐต้องให้ความรู้ประชาชนว่าการค้นหา รักษาโรคแต่เนิ่นคือสิ่งที่สำคัญ ... ในที่สุดรัฐก็จะมีค่าใช้จ่ายน้อยลงในการดูแลรักษา
3. พัฒนาองค์กร และบุคคลากร เพื่อให้สามารถเกิดทีม วิจัย พัฒนา ด้านยาป้องกัน ยารักษา อุปกรณ์เวชภัณฑ์ เพื่อใช้ในการป้องกัน ดูแลรักษาคนในประเทศ เพื่อหวังจะลดภาระค่าใช้จ่ายในการนำเข้าจากต่างประเทศในที่สุด ... เอาจริงประเทศไทย มีเด็กเก่ง และดี มีความสามารถอยู่มากแต่รัฐ ไม่รู้จักเก็บและส่งเสริมเค้าให้ถูกทางตามที่เด็กต้องการเท่านั้นเอง

จริงๆแล้วปัญหาเรื่องนี้มีเหตุอีกหลายประเด็น แต่ประเด็นที่กล่าวไปนั้นเป็นเรื่องใหญ่ที่เงินรั่วไหลออกไป และควรเริ่มได้แล้ว

ลองย้อนไปดูว่า

ทำไม สิงคโปร์ มีระบบการศึกษาที่ดีเยี่ยม ... เพราะเค้ามองทะลุปัญหาการศึกษา และ มองไปข้างหน้าตามทันโลกแห่งความเป็นจริง เค้ามีวิสัยทัศน์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนปลายทาง ไม่ใช่มองการพัฒนาเป็นจุดจุดอย่างที่รัฐบาลไทยทำกันมา ... จึงทำให้เค้ามีบุคคลากรครูที่ยอดเยี่ยมและระบบที่ดีเยี่ยม

ทำไม สิงคโปร์ มีระบบสาธารณสุขที่ดีเยี่ยมในภูมิภาคนี้ ... เพราะผู้นำเข้าใจ และมองทะลุปัญหา และ วางแผนแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง
ซึ่งทั้งหมดนี้ประเทศ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สวีเดน สวิซ และอื่นๆนั้น ไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆเลย ในการพัฒนาจนมาถึงทุกวันนี้

ส่วนตัวก็เป็นแค่สมาชิกคนหนึ่งในสังคม ที่อยากสะท้อนความคิดเห็น ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็เป็นได้ แต่มองว่าปัจจุบัน ผู้นำไทย และคนไทยส่วนใหญ่ไม่เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร และ ปัญหาเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กที่ใครสักคนจะแก้ไขได้ แต่ต้องอาศัย ผู้นำที่เก่งมาก และดีมาก และทีมผู้นำที่เก่งมาก และดีมาก และ ประชาชนที่เข้าใจปัญหา และพร้อมจะเสียสละเพื่อทำให้เกิดการปรับปรุง พัฒนาได้อย่างยั่งยืนมากกว่านี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่