ก่อนอื่นต้องกราบขออภัยหากอ่านกระทู้ของผมยากด้วยนะครับ
หลายคนอาจจะคิดว่า ผมแต่งเรื่องรึเปล่า แต่อันนี้เป็นเกี่ยวกับครอบครัวผมครับ
วันนี้ผมได้ว่างและมีโอกาสมาแบ่งปันเกี่ยวกับแผลเบาหวานครับ
ผู้สูงอายุที่เป็นแผลซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ก็ควรไปปฐมพยาบาลครับแต่ในกรณีแผลเบาหวานผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างทันทีเนื่องจากแผลเบาหวานสมารถหายเองได้ยากหรืออาจจะไม่หายได้ ซื้อหากไม่มีการรักษาอาจจะทำให้แผลติดเชื้อ ซึ่งหากดำเป็นจุดเล็กน้องก็ให้หมอทำการคว้านเนื้อที่ตายออกครับ แต่หากเป็นเนื้อที่ตายสะสมมากแล้ว ทางหมอจะเป็นผู้พิจรณา การผ่าตัดครับผม
ต่อไปจะเป็นเรื่องราวในครอบครัวผมนะครับ
ครอบครัวผมจะผลัดให้คุณตา-ยายได้ไปผักผ่อนที่บ้านลูกๆครับ เพราะคุณตา-ยาย จะชอบบอกว่า อยู่ที่เดิมๆนานๆมันเบื่อ มันไม่มีอะไรทำ จะไปไหนก็ไม่ได้ ซึ่งเขาก็จะพูดเสมอว่า อยากจะกลับบ้านเกิดของเขาเอง ซึ่งทางลูกๆก็คุยกันหลายรอบว่า"ถ้าเอากลับไปแล้ว พ่อกับแม่จะอยู่กันอย่างไง" อยู่ที่นี่ดีกว่าไหม ลูกๆหลานๆก็เวียนมาหากันได้ สรุปแล้วคุณตา-ยาย ก็ยอมที่จะอยู่บ้านลูกๆของเขาโดยผลัดกันไปบ้านละ1เดือน(มีลูกทั้งหมด3คน)
เมื่อปลายกรกฏาคม พ.ศ. 2560 คุณยายก็โทรมาบอกว่า ตาเขาไปเข้าห้องน้ำ แล้วไปลื่นเตะอะไรก็ไม่รู้ เป็นแผลที่นิ้วโป้ง เดี๋ยวจะส่งมาที่บ้านพี่คนกลางให้นะ(เพราะว่ามีพื้นที่เหมาะสมกว่า) น้องชายคนเล็กจึงส่งมา แล้วผม(เป็นหลาน)ก็เข้าไปดูแผลที่นิ้วโป้งเท้า ก็เห็นว่า เป็นแผลเหมือนแผลสด ที่ยังไม่แห้ง ตอนนั้นผมก็ ถามพ่อกับแม่ผมว่า พาไปหาหมอไหม ทุกคนก็ต่างปฏิเสธทุกครั้งเวลาผมถาม จนกระทั่งนิ้วเริ่มมีจุดดำๆ แต่ก็ยังได้รับการปฏิเสธทุกครั้ง และ นิ้วก็เริ่มดำขึ้น ก็ยังได้รับคำตอบเดิมคือ ปฏิเสธ จนผมทนไม่ไหวแล้ว ตะโกนออกมาแบบไม่คิด "ระวังจะได้ตัดนิ้วถ้ายังไม่พาไปกันซักที" แต่ก็ยังได้รับการปฏิเสธเหมือนเดิม จนกระทั่ง.....
เมื่อต้นสิงหาคม พ.ศ.2560 คุณตา เริ่มมีอาการเหนื่อยเล็กน้อย (เนื่องจาก น่าจะเริ่มติดเชื้อแล้ว) จึงได้มีการส่งเข้าโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา แต่สุดท้ายหมอให้คำตอบมาคือ ต้องตัดบริเวณ นิ้วที่ดำไปแล้ว (ตอนนั้นนึกในใจ เป็นไงหล่ะ พอใจกันรึยัง!!!!) ทุกคนก็เริ่มเข้าสู้สถานะการ์ณที่ตึงเครียดเพราะ มันสายไปเสียแล้ว..... สุดท้ายมีการพูดคุยว่า จะดำเนินการให้หมอผ่าตัด ก็เข้าสู้กระบวกการเซ็นเอกสาร (หากผ่าตัดแล้ว มีอะไรไม่คาดคิด ก็จะยอมรับความเสี่ยงอะไรประมาณนี้) ก็เซนเอกสารยินยอมการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย เมื่อผ่าตัดเสร็จ ก็ได้นำออกมาเพื่อที่จะไปห้องICU การผ่าตัดไปเป็นที่เรียบร้อยดี พักอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ2-3อาทิตย์ และหมอก็อนุญาติให้คนไข้กลับบ้านได้ แต่.....
หลังจากออกโรงพยาบาลได้ไม่ถึง 48 ชั่วโมง ก็เริ่มมีอาการเหนื่อยอีกครั้ง ลูกๆหลานๆ จึงรีบนำคุณตา ไปส่งที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งครั้ง หมอก็บอกว่า ต้องซื้อเครื่องช่วยหายใจ(ที่ประกอบไปด้วย ถังออกซิเจน+สายช่วยในการหายใจ) และต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิด ทีนี้ทุกคนยิ่งมีอาการเครียดมากกว่าเดิม จึงได้ตัดสินใจคุยกันอีกครั้งว่า จะให้ไปอยู่บ้านใคร ผมที่เป็นหลานก็ลองคุยกับแม่ผมเองว่า "เราเอามาอยู่บ้านเราได้ไหม บ้านเรากว้างนะ มันใกล้โรงพยาบาลด้วย มีพื้นที่ดูแลรักษา มีพี่กับน้อง จะช่วยพลัดกันดูก็ได้นะ สุดท้ายผมก็โดนปฏิเสธ เลยได้ข้อตกลงว่าไปอยู่บ้านลุง ซึ่งผมก็หัวร้อนมาก(สภาพคือ ยังจะเอาไปอีก!!!) แต่ผมก็พูดอะไรไม่ได้ และอีกประมาณ 2อาทิตย์ หมอก็อนุญาติให้กลับบ้านได้ และแล้ว........
ความโชคดีอาจจะเริ่มจางเพราะ ความประมาทหรือไม่?
พี่สาวที่เป็นหลานโทรแจ้งมาหาผมและทางครอบครัวผมว่า คุณตาหยุดหายใจ รถEMS กำลังมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Emergency Medical Services หรือรถที่ต้องการความช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเร่งด่วน และรีบวิ่งไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ระหว่างทางนั้นมีการCPR
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้CPR คือ การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ เพื่อช่วยฟื้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด ที่หยุดทำงานอย่างกระทันหัน เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นเองได้ตามปกติ โดยไม่เกิดความพิการของสมองกันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 20 นาที ก็โทรแจ้งมาว่า ปั้มขึ้นมาได้แล้ว ในความที่หลายๆคนดีใจแต่ ผมกลับรู้สึกว่า เขาหมดหน้าที่แล้วหรอทำไมถึงจากเราไป......
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เนื่องจากสมองขาดออกซิเจนเป็นเวลานานแล้ว สมองจึงตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หมอก็สั่งดูอาการ และโรงพยาบาลก็ให้ตัดสินใจในการเลือก ว่าจะย้ายกลับไปที่ต้นสังกัด หรือ จะรักษาที่นี่ต่อ(ค่าใช้จ่ายสูงมาก) ลูกๆทั้ง3จึงตกลงกันว่า จะกลับไปที่ต้นสังกัด(คิดว่าน่าจะทราบกันแล้วว่าสมองตายเป้นที่เรียบร้อยแล้ว) จึงเตรียมตัววางแผนกัน....และ.....
วันที่เขามีความหวังและวันที่เศร้าที่สุดของลูกๆ
เมื่อวันที่14/09/2560ระหว่างการเคลื่อนย้าย ยาย ซึ่งรู้สึกมีความหวังมาก ว่า ถ้ากลับไปแล้ว หายเป็นปกติแล้ว เขาอยากจะทำอาหารอร่อยๆให้ตาได้กิน และคุณตา ก็ได้ไปถึง โรงงพยาบาลต้นสังกัด เวลาประมาณ 16.00 จากนั้นคุณยายก็ตามมาติดๆ และแล้ว ทางทีมแพทย์ก็ไม่ได้ใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจอีกต่อไป เพราะอยากปล่อยให้หลับสบาย เวลาประมาณ 16.20 ก็ได้จากพวกเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สร้างความโศกเศร้า ให้แก่ลูกๆ หลานๆและ บรรดาญาติต่างๆ และได้นำร่างมาประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป.................
ต่อไปจะเป็นช่วงส่งท้ายนะครับ
การรักษา แผลเบาหวานสามารถรักษาได้อย่างทันที จงอย่าปล่อยให้เขาทรมาณและจากเราไปอย่างไม่มีวันกลับนะครับ....
ขอให้กระทู้นี้เป็น แนวทางสำหรับ การักษาแผลเบาหวาน และอยากให้รักษาอย่างทันที
กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะ ด่าว่าต่อสถานพยาบาล และ บุคคลกร ในโรงพยาบาลนะครับ
ขอขอบคุณที่ตั้งใจอ่านนะครับ ถึงแม้อาจจะอ่านยากก็ตาม
ร่วมแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ อันไหนที่ผมพอจะตอบได้ผมก็จะตอบให้นะครับ
เจ้าของกระทู้พึ่งอายุ15ปีนะครับ
แผลเบาหวาน กับอันตรายที่ใกล้ตัว
หลายคนอาจจะคิดว่า ผมแต่งเรื่องรึเปล่า แต่อันนี้เป็นเกี่ยวกับครอบครัวผมครับ
วันนี้ผมได้ว่างและมีโอกาสมาแบ่งปันเกี่ยวกับแผลเบาหวานครับ
ผู้สูงอายุที่เป็นแผลซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ก็ควรไปปฐมพยาบาลครับแต่ในกรณีแผลเบาหวานผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างทันทีเนื่องจากแผลเบาหวานสมารถหายเองได้ยากหรืออาจจะไม่หายได้ ซื้อหากไม่มีการรักษาอาจจะทำให้แผลติดเชื้อ ซึ่งหากดำเป็นจุดเล็กน้องก็ให้หมอทำการคว้านเนื้อที่ตายออกครับ แต่หากเป็นเนื้อที่ตายสะสมมากแล้ว ทางหมอจะเป็นผู้พิจรณา การผ่าตัดครับผม
ต่อไปจะเป็นเรื่องราวในครอบครัวผมนะครับ
ครอบครัวผมจะผลัดให้คุณตา-ยายได้ไปผักผ่อนที่บ้านลูกๆครับ เพราะคุณตา-ยาย จะชอบบอกว่า อยู่ที่เดิมๆนานๆมันเบื่อ มันไม่มีอะไรทำ จะไปไหนก็ไม่ได้ ซึ่งเขาก็จะพูดเสมอว่า อยากจะกลับบ้านเกิดของเขาเอง ซึ่งทางลูกๆก็คุยกันหลายรอบว่า"ถ้าเอากลับไปแล้ว พ่อกับแม่จะอยู่กันอย่างไง" อยู่ที่นี่ดีกว่าไหม ลูกๆหลานๆก็เวียนมาหากันได้ สรุปแล้วคุณตา-ยาย ก็ยอมที่จะอยู่บ้านลูกๆของเขาโดยผลัดกันไปบ้านละ1เดือน(มีลูกทั้งหมด3คน)
เมื่อปลายกรกฏาคม พ.ศ. 2560 คุณยายก็โทรมาบอกว่า ตาเขาไปเข้าห้องน้ำ แล้วไปลื่นเตะอะไรก็ไม่รู้ เป็นแผลที่นิ้วโป้ง เดี๋ยวจะส่งมาที่บ้านพี่คนกลางให้นะ(เพราะว่ามีพื้นที่เหมาะสมกว่า) น้องชายคนเล็กจึงส่งมา แล้วผม(เป็นหลาน)ก็เข้าไปดูแผลที่นิ้วโป้งเท้า ก็เห็นว่า เป็นแผลเหมือนแผลสด ที่ยังไม่แห้ง ตอนนั้นผมก็ ถามพ่อกับแม่ผมว่า พาไปหาหมอไหม ทุกคนก็ต่างปฏิเสธทุกครั้งเวลาผมถาม จนกระทั่งนิ้วเริ่มมีจุดดำๆ แต่ก็ยังได้รับการปฏิเสธทุกครั้ง และ นิ้วก็เริ่มดำขึ้น ก็ยังได้รับคำตอบเดิมคือ ปฏิเสธ จนผมทนไม่ไหวแล้ว ตะโกนออกมาแบบไม่คิด "ระวังจะได้ตัดนิ้วถ้ายังไม่พาไปกันซักที" แต่ก็ยังได้รับการปฏิเสธเหมือนเดิม จนกระทั่ง.....
เมื่อต้นสิงหาคม พ.ศ.2560 คุณตา เริ่มมีอาการเหนื่อยเล็กน้อย (เนื่องจาก น่าจะเริ่มติดเชื้อแล้ว) จึงได้มีการส่งเข้าโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา แต่สุดท้ายหมอให้คำตอบมาคือ ต้องตัดบริเวณ นิ้วที่ดำไปแล้ว (ตอนนั้นนึกในใจ เป็นไงหล่ะ พอใจกันรึยัง!!!!) ทุกคนก็เริ่มเข้าสู้สถานะการ์ณที่ตึงเครียดเพราะ มันสายไปเสียแล้ว..... สุดท้ายมีการพูดคุยว่า จะดำเนินการให้หมอผ่าตัด ก็เข้าสู้กระบวกการเซ็นเอกสาร (หากผ่าตัดแล้ว มีอะไรไม่คาดคิด ก็จะยอมรับความเสี่ยงอะไรประมาณนี้) ก็เซนเอกสารยินยอมการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย เมื่อผ่าตัดเสร็จ ก็ได้นำออกมาเพื่อที่จะไปห้องICU การผ่าตัดไปเป็นที่เรียบร้อยดี พักอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ2-3อาทิตย์ และหมอก็อนุญาติให้คนไข้กลับบ้านได้ แต่.....
หลังจากออกโรงพยาบาลได้ไม่ถึง 48 ชั่วโมง ก็เริ่มมีอาการเหนื่อยอีกครั้ง ลูกๆหลานๆ จึงรีบนำคุณตา ไปส่งที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งครั้ง หมอก็บอกว่า ต้องซื้อเครื่องช่วยหายใจ(ที่ประกอบไปด้วย ถังออกซิเจน+สายช่วยในการหายใจ) และต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิด ทีนี้ทุกคนยิ่งมีอาการเครียดมากกว่าเดิม จึงได้ตัดสินใจคุยกันอีกครั้งว่า จะให้ไปอยู่บ้านใคร ผมที่เป็นหลานก็ลองคุยกับแม่ผมเองว่า "เราเอามาอยู่บ้านเราได้ไหม บ้านเรากว้างนะ มันใกล้โรงพยาบาลด้วย มีพื้นที่ดูแลรักษา มีพี่กับน้อง จะช่วยพลัดกันดูก็ได้นะ สุดท้ายผมก็โดนปฏิเสธ เลยได้ข้อตกลงว่าไปอยู่บ้านลุง ซึ่งผมก็หัวร้อนมาก(สภาพคือ ยังจะเอาไปอีก!!!) แต่ผมก็พูดอะไรไม่ได้ และอีกประมาณ 2อาทิตย์ หมอก็อนุญาติให้กลับบ้านได้ และแล้ว........
ความโชคดีอาจจะเริ่มจางเพราะ ความประมาทหรือไม่?
พี่สาวที่เป็นหลานโทรแจ้งมาหาผมและทางครอบครัวผมว่า คุณตาหยุดหายใจ รถEMS กำลังมา[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ และรีบวิ่งไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ระหว่างทางนั้นมีการCPR[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ กันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 20 นาที ก็โทรแจ้งมาว่า ปั้มขึ้นมาได้แล้ว ในความที่หลายๆคนดีใจแต่ ผมกลับรู้สึกว่า เขาหมดหน้าที่แล้วหรอทำไมถึงจากเราไป...... [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ หมอก็สั่งดูอาการ และโรงพยาบาลก็ให้ตัดสินใจในการเลือก ว่าจะย้ายกลับไปที่ต้นสังกัด หรือ จะรักษาที่นี่ต่อ(ค่าใช้จ่ายสูงมาก) ลูกๆทั้ง3จึงตกลงกันว่า จะกลับไปที่ต้นสังกัด(คิดว่าน่าจะทราบกันแล้วว่าสมองตายเป้นที่เรียบร้อยแล้ว) จึงเตรียมตัววางแผนกัน....และ.....
วันที่เขามีความหวังและวันที่เศร้าที่สุดของลูกๆ
เมื่อวันที่14/09/2560ระหว่างการเคลื่อนย้าย ยาย ซึ่งรู้สึกมีความหวังมาก ว่า ถ้ากลับไปแล้ว หายเป็นปกติแล้ว เขาอยากจะทำอาหารอร่อยๆให้ตาได้กิน และคุณตา ก็ได้ไปถึง โรงงพยาบาลต้นสังกัด เวลาประมาณ 16.00 จากนั้นคุณยายก็ตามมาติดๆ และแล้ว ทางทีมแพทย์ก็ไม่ได้ใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจอีกต่อไป เพราะอยากปล่อยให้หลับสบาย เวลาประมาณ 16.20 ก็ได้จากพวกเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สร้างความโศกเศร้า ให้แก่ลูกๆ หลานๆและ บรรดาญาติต่างๆ และได้นำร่างมาประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป.................
ต่อไปจะเป็นช่วงส่งท้ายนะครับ
การรักษา แผลเบาหวานสามารถรักษาได้อย่างทันที จงอย่าปล่อยให้เขาทรมาณและจากเราไปอย่างไม่มีวันกลับนะครับ....
ขอให้กระทู้นี้เป็น แนวทางสำหรับ การักษาแผลเบาหวาน และอยากให้รักษาอย่างทันที
กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะ ด่าว่าต่อสถานพยาบาล และ บุคคลกร ในโรงพยาบาลนะครับ
ขอขอบคุณที่ตั้งใจอ่านนะครับ ถึงแม้อาจจะอ่านยากก็ตาม
ร่วมแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ อันไหนที่ผมพอจะตอบได้ผมก็จะตอบให้นะครับ
เจ้าของกระทู้พึ่งอายุ15ปีนะครับ