อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ หลายๆคนอาจจะอยากมีแฟนเพราะกลัวเหงา แต่เราไม่กล้ามีแฟนเพราะเรารู้ตัวว่าตัวเองกำลังเหงาและอ้างว้างมากๆ
เราคิดว่าเราอาจจะกำลังเป็นโรคซึมเศร้า กระทู้นี้จึงเป็นการระบายความรู้สึกและทบทวนตัวเองไปในตัว เราต้องการกำลังใจและคำแนะนำค่ะ
พ่อเราเสียตั้งแต่เราหนึ่งขวบ แม่เราเป็นเสาหลักของครอบครัว ท่านทำงานหาเงินเลี้ยงดูเราและส่งเราเรียนด้วยความยากลำบาก เราไม่เคยคิดจะมีแฟนในวัยเรียน เพราะอยากทุ่มเทเรื่องเรียนให้เต็มที่ ให้สมกับที่แม่ลำบากส่งเราเรียน และเราคิดว่าเราจะมีแฟนก็ต่อเมื่อเราดูแลรับผิดชอบตัวเองได้แล้วเท่านั้น
เราเรียนจบและได้ทำงานที่ดีและมั่นคงระดับหนึ่ง ทุกอย่างเริ่มลงตัว แต่เพิ่งทำงานได้ไม่ถึงปี แม่ก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลาม และหกเดือนหลังจากนั้นท่านก็เสียชีวิต
เราหัวใจสลาย เราเพิ่งเรียนจบและเริ่มทำงาน เรายังไม่ทันได้เลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณแม่เลย ซึ่งที่เราพยายามมาทั้งหมดก็เพื่อสิ่งนี้
หลังจากแม่เสีย เราเคว้งคว้างมาก (เพลงเขียนถึงคนบนฟ้า บอกความรู้สึกเราได้ดี) ปู่ย่าตายายพ่อและแม่ของเราเสียไปหมดแล้ว เรารู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว
ตอนนี้ผ่านมากว่าสามปีแล้ว ภายนอกเราดูเข้มแข็ง เราใช้ชีวิตตามปกติ หัวเราะเฮฮาเมื่อเจอเพื่อน แต่เรารู้ว่าใจเรามันยังพัง เราแอบนอนร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ บางครั้งก็ไม่ได้อยากร้องไห้แต่น้ำตามันไหลออกมาเอง และเราคงไม่กล้ารับรักใครทั้งที่ใจตัวเองยังพังอย่างนี้ได้
เราคิดว่าหากเราต้องการใครสักคนเข้ามาเพียงเพื่อแก้เหงา มันช่างไม่แฟร์กับเขาคนนั้นเลย
เราอยากรักใครสักคนในแบบที่ความรักในตัวเรามันเต็มล้นจนเผื่อไปถึงเขา ไม่ใช่ดึงความรักของเขามาเติมในส่วนที่เราขาด
ความรักสำหรับเรา มันคือการดูแลกันและกัน แต่ตอนนี้เราดูแลใจตัวเองยังไม่ได้เลย แล้วจะดูแลใจคนอื่นได้อย่างไร
เรากลัวความรักที่เกิดจากความขาดอะไรบางอย่างในใจเรา จะกลายเป็นการเรียกร้องความรักจากเขาจนทำให้เขาเหนื่อยหรืออึดอัดใจ
เรากลัวว่าจะเสพติดการพึ่งพิงจากเขาจนขาดเขาไปไม่ได้
เรานึกถึงภาพงานแต่งงานที่ไม่มีพ่อแม่เราอยู่ด้วยแล้วน้ำตาก็ไหล
เราคิดว่าหากเรามีแฟนในขณะที่ใจเรายังขาด เราคงจะอ่อนไหวง่ายมากจนอาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของเราในที่สุด
เราอาจจะขี้หึงขี้หวงจนเกินเหตุเพราะความไม่มั่นใจในตัวเอง เราไม่อยากเป็นแฟนที่งี่เง่า
เราอาจจะยอมทำเพื่อเขาทุกอย่างจนสูญเสียความเป็นตัวเองเพราะกลัวถูกทิ้ง (แทนที่จะเป็นการทำเพื่อเขาเพราะปรารถนาดีต่อเขา แรงขับเคลื่อนพฤติกรรมมันต่างกัน)
เราจึงปิดหัวใจตัวเองเรื่อยมา ทั้งๆที่จริงๆแล้วเราก็ต้องการใครสักคน (มันช่างย้อนแย้งในตัวเองสิ้นดี)
เราจึงพยายามจะอยู่คนเดียวให้ได้ ก่อนจะเปิดรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต
การที่เราอยู่คนเดียวได้ จิตใจมั่นคงพอ จะทำให้เราไม่ต้องไปรบกวนพื้นที่ส่วนตัวเขามากนัก เราคิดว่าแม้เป็นแฟนกัน แต่ละคนต่างก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองบ้าง
นี่เราคิดมากไปมั้ย
รุ่นน้องเรา(ผู้ชาย)คนหนึ่งบอกว่า เราคิดเหมือนผู้ชาย คือ เราขอดูแลตัวเองให้ได้ก่อนค่อยมีแฟน จะมีแฟนก็ต่อเมื่อเราดูแลเขาได้ เราไม่อยากเป็นภาระคนอื่น รุ่นน้องบอกว่า ปล่อยให้ผู้ชายเขาได้ดูแลผู้หญิงบ้าง
ตอนนี้เราทำงานดูแลตัวเองได้ แต่สภาพจิตใจยังไม่แข็งแรง
เราเคยคิดจะไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยานะคะ เผื่อจะปลดล็อคใจเราได้ แต่ก็ยังไม่ได้ไปเสียที
เราควรจะไปรักษาใจตัวเองให้แข็งแรงก่อน ค่อยเปิดรับใครสักคนเข้ามา
หรือว่าเราควรเปิดให้ใครเข้ามาดูแลเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีคะ
ถ้าเราเปิดรับใครสักคนเข้ามาตอนนี้ เราคงเป็นแบบโลกทั้งใบให้นายคนเดียว และจะโหยหาความรักจากเขามากๆอ่ะค่ะ เรากลัวเขาจะเบื่อเสียก่อน และสภาพจิตใจเราตอนนี้ก็ยังไม่พร้อมอกหักจริง ๆ ค่ะ
ไม่กล้ามีความรักเพราะรู้สึกเหงาและอ้างว้างมากๆ ขอกำลังใจค่ะ
เราคิดว่าเราอาจจะกำลังเป็นโรคซึมเศร้า กระทู้นี้จึงเป็นการระบายความรู้สึกและทบทวนตัวเองไปในตัว เราต้องการกำลังใจและคำแนะนำค่ะ
พ่อเราเสียตั้งแต่เราหนึ่งขวบ แม่เราเป็นเสาหลักของครอบครัว ท่านทำงานหาเงินเลี้ยงดูเราและส่งเราเรียนด้วยความยากลำบาก เราไม่เคยคิดจะมีแฟนในวัยเรียน เพราะอยากทุ่มเทเรื่องเรียนให้เต็มที่ ให้สมกับที่แม่ลำบากส่งเราเรียน และเราคิดว่าเราจะมีแฟนก็ต่อเมื่อเราดูแลรับผิดชอบตัวเองได้แล้วเท่านั้น
เราเรียนจบและได้ทำงานที่ดีและมั่นคงระดับหนึ่ง ทุกอย่างเริ่มลงตัว แต่เพิ่งทำงานได้ไม่ถึงปี แม่ก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลาม และหกเดือนหลังจากนั้นท่านก็เสียชีวิต
เราหัวใจสลาย เราเพิ่งเรียนจบและเริ่มทำงาน เรายังไม่ทันได้เลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณแม่เลย ซึ่งที่เราพยายามมาทั้งหมดก็เพื่อสิ่งนี้
หลังจากแม่เสีย เราเคว้งคว้างมาก (เพลงเขียนถึงคนบนฟ้า บอกความรู้สึกเราได้ดี) ปู่ย่าตายายพ่อและแม่ของเราเสียไปหมดแล้ว เรารู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว
ตอนนี้ผ่านมากว่าสามปีแล้ว ภายนอกเราดูเข้มแข็ง เราใช้ชีวิตตามปกติ หัวเราะเฮฮาเมื่อเจอเพื่อน แต่เรารู้ว่าใจเรามันยังพัง เราแอบนอนร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ บางครั้งก็ไม่ได้อยากร้องไห้แต่น้ำตามันไหลออกมาเอง และเราคงไม่กล้ารับรักใครทั้งที่ใจตัวเองยังพังอย่างนี้ได้
เราคิดว่าหากเราต้องการใครสักคนเข้ามาเพียงเพื่อแก้เหงา มันช่างไม่แฟร์กับเขาคนนั้นเลย
เราอยากรักใครสักคนในแบบที่ความรักในตัวเรามันเต็มล้นจนเผื่อไปถึงเขา ไม่ใช่ดึงความรักของเขามาเติมในส่วนที่เราขาด
ความรักสำหรับเรา มันคือการดูแลกันและกัน แต่ตอนนี้เราดูแลใจตัวเองยังไม่ได้เลย แล้วจะดูแลใจคนอื่นได้อย่างไร
เรากลัวความรักที่เกิดจากความขาดอะไรบางอย่างในใจเรา จะกลายเป็นการเรียกร้องความรักจากเขาจนทำให้เขาเหนื่อยหรืออึดอัดใจ
เรากลัวว่าจะเสพติดการพึ่งพิงจากเขาจนขาดเขาไปไม่ได้
เรานึกถึงภาพงานแต่งงานที่ไม่มีพ่อแม่เราอยู่ด้วยแล้วน้ำตาก็ไหล
เราคิดว่าหากเรามีแฟนในขณะที่ใจเรายังขาด เราคงจะอ่อนไหวง่ายมากจนอาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของเราในที่สุด
เราอาจจะขี้หึงขี้หวงจนเกินเหตุเพราะความไม่มั่นใจในตัวเอง เราไม่อยากเป็นแฟนที่งี่เง่า
เราอาจจะยอมทำเพื่อเขาทุกอย่างจนสูญเสียความเป็นตัวเองเพราะกลัวถูกทิ้ง (แทนที่จะเป็นการทำเพื่อเขาเพราะปรารถนาดีต่อเขา แรงขับเคลื่อนพฤติกรรมมันต่างกัน)
เราจึงปิดหัวใจตัวเองเรื่อยมา ทั้งๆที่จริงๆแล้วเราก็ต้องการใครสักคน (มันช่างย้อนแย้งในตัวเองสิ้นดี)
เราจึงพยายามจะอยู่คนเดียวให้ได้ ก่อนจะเปิดรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต
การที่เราอยู่คนเดียวได้ จิตใจมั่นคงพอ จะทำให้เราไม่ต้องไปรบกวนพื้นที่ส่วนตัวเขามากนัก เราคิดว่าแม้เป็นแฟนกัน แต่ละคนต่างก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองบ้าง
นี่เราคิดมากไปมั้ย
รุ่นน้องเรา(ผู้ชาย)คนหนึ่งบอกว่า เราคิดเหมือนผู้ชาย คือ เราขอดูแลตัวเองให้ได้ก่อนค่อยมีแฟน จะมีแฟนก็ต่อเมื่อเราดูแลเขาได้ เราไม่อยากเป็นภาระคนอื่น รุ่นน้องบอกว่า ปล่อยให้ผู้ชายเขาได้ดูแลผู้หญิงบ้าง
ตอนนี้เราทำงานดูแลตัวเองได้ แต่สภาพจิตใจยังไม่แข็งแรง
เราเคยคิดจะไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยานะคะ เผื่อจะปลดล็อคใจเราได้ แต่ก็ยังไม่ได้ไปเสียที
เราควรจะไปรักษาใจตัวเองให้แข็งแรงก่อน ค่อยเปิดรับใครสักคนเข้ามา
หรือว่าเราควรเปิดให้ใครเข้ามาดูแลเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีคะ
ถ้าเราเปิดรับใครสักคนเข้ามาตอนนี้ เราคงเป็นแบบโลกทั้งใบให้นายคนเดียว และจะโหยหาความรักจากเขามากๆอ่ะค่ะ เรากลัวเขาจะเบื่อเสียก่อน และสภาพจิตใจเราตอนนี้ก็ยังไม่พร้อมอกหักจริง ๆ ค่ะ