ช่วงนี้ ตาแซ็ก เป็นประเด็นมาม่ามาก แต่ดิชั้นจะไม่ขอพูดถึงประเด็นนั้นก็แล้วกัน ที่ดิชั้นสนใจคือ จากการที่ ตาแซ็ก ได้เข้าไปกำกับดูแลหนังในส่วนของ DC EU ซึ่งก็จะมีหลายๆ คน ก็มักจะมาออกความเห็นหรือแขวะ แซะ กัด ว่า ไม่เห็นว่าหนังของตาแซ็กจะมีปรัชญาอะไรเลย อวยกันเว่อร์ไปรึเปล่า หรือที่หนักไปกว่านั้น คือ บอกว่าเป็นปรัชญากลวงๆ เลยทีเดียว (ซึ่งมันเป็นการแสดงความเห็นที่ตื่นเขิลไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไรเสียเลย) แหม เห็นแล้วมันคันไม้คันมือเหลือเกิน และนี่ก็เป็นสาเหตุให้ดิชั้นได้มาตั้งกระทู้เขียนเรียงความเกี่ยวกับหนังของตาแซ็กที่เค้าได้ให้อะไรที่มากกว่า หนังตลาดดาดๆ ทั่วไป (ใครจะว่าดิชั้นอวยก็ได้นะคะ ดิชั้นไม่รังเกียจ)
Zack Snyder หรือ ที่ดิชั้นเรียกของดิชั้นว่า ตาแซ็ก (ขอเรียกตามนิสัยคนไทยก็แล้วกัน คือ เรียกทุกคนที่ไม่รู้จักประหนึ่งเป็นญาติ) ตาแซ็กเป็นผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ที่มีผลงานในสไตล์ของตัวเองที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นบทที่สอดแทรกสิ่งละอันพันละน้อยให้ได้ขบคิดไปกับมันอยู่เสมอ การวางองค์ประกอบภาพที่สวยราวกับภาพวาดสีน้ำมัน และการดีไซด์คิวบู๊ได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์
ดิชั้นจะขอพูดถึงในส่วนที่ตาแซ็กแกมีส่วนรวมเยอะๆ ก็แล้วกันนะคะ
ตาแซ็ก กำกับหนังครั้งแรกในปี 2004 Dawn Of The Dead เป็นหนังซอมบี้รีเมคที่เสนอ ซอมบี้ในมุมมองใหม่ คือ ซอมบี้จากเดิมที่เดินต้อมเติ้ม เป็นซอมบี้ที่วิ่งได้ด้วยแรงกระหาย ตัวหนังเองไม่มีอะไรมาก ยังเหมือนหนังตลาดธรรมดาๆ อยู่
ผลงานต่อมาในปี 2006 เรื่อง 300 หนังเรื่องนี้มีความเป็นเอกลักษณ์ของตาแซ็กมาก สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยภาพที่สวยดั่งภาพเขียนสีน้ำมัน และการดีไซด์คิวบู๊ที่มันส์ได้ใจ แต่ก็ยังไม่ได้ชูประเด็นอะไรมากมาย
Watchmen ในปี 2009 เป็นหนังฮีโร่ที่เล่าเรื่องราวได้ดราม่าที่สุด ชูประเด็นฮีโร่ในยุคสงครามเย็น ที่ฮีโร่ก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป คือ มีดี มีชั่ว มีร่วงโรย และ เรื่องของสันติภาพ ที่บางทีก็ต้องแรกมาด้วยการสูญเสีย (ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา) และเรื่องนี้ก็ยังคงความเป็นตาแซ็กได้ ไม่ว่าจะเป็นบทที่สอดแทรกข้อคิด ภาพที่สวยและคิวบู๊ การสโลวภาพที่เรียกได้ว่ากินขาดเลยทีเดียว
ต่อมาเป็นหนังแอนนิเมชั่น เรื่อง Legend of the Guardians: The Owls of Ga'Hoole ในปี 2010 อันนี้ดิชั้นยังไม่ได้ดู จึงไม่ขอพูดถึงนะคะ (แต่เมื่อเขียนเรียงความนี้เสร็จแล้วก็ว่าจะดูแล้วค่ะ ไปซื้อแผ่น บลูเรย์ มาเรียบร้อยแล้ว)
Sucker Punch ในปี 2011 ที่ชูประเด็น เฟมินิสท์ อย่างมาก ว่าด้วย ความรุนแรงที่มีต่อผู้หญิง การค้ามนุษย์ สิ่งผิดกฏหมายที่แฝงตัวอยู่ภายใต้ซอกหลีบของสังคม นักการเมือง การเสียสละตัวเองให้แก่ผู้อื่นที่เค้ายังสามารถที่จะไปไกลได้มากกว่า พร้อมกับฉากแอ็กชั่นที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์การกระทำของตัวละครในช่วงนั้นๆ และแน่นอนที่สุด หนังก็ยังคงความเป็นตาแซ็กทั้งภาพและเสียงได้อย่างดี และที่ดิชั้นชอบมากที่สุดคือบทนำของหนังที่ว่าด้วยเรื่องเทพผู้คุ้มครองประจำตัว
Man Of Steel ในปี 2013 นี่คืองานที่ทำให้ดิชั้นหันมาสนใจซุปเปอร์ฮีโร่ของดีซี หนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่ครบรสมาก มีทั้งดราม่า มีทั้งบู๊ที่มันส์สะใจ มันกันเต็มๆ ครึ่งเรื่องเลยทีเดียว เรื่องนี้ดิชั้นไม่ได้ไปดูในโรงด้วย จนออกมาเป็นแผ่นแล้วถึงได้ดู บอกเลยว่าชอบมาก ในส่วนของดราม่า พูดถึงการที่ต้องถูกมองเป็นตัวประหลาด แต่ก็ตัวประหลาดตัวนี้แหละที่สามารถที่จะช่วยโลกไว้ได้ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ถึงแม้จะถูกมองว่าเป็นส่วนเกิน การรู้บุญคุณของแผ่นดินที่อาศัยอยู่ถึงแม้นว่าจะไม่ใช่บ้านเกิดของตัวเอง ความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตัวเอง พ่อที่เป็นมนุษย์โลกซึ่งไม่ใช่พ่อแท้ๆ ยอมที่จะเอาชีวิตตัวเองปกป้องลูกเอาไว้ไม่ให้ถูกมองเป็นสิ่งแปลกปลอม ซึ่งตาแซ็กนี่ก็เป็นพ่อที่มีทั้งลูกในอกของตัวเองถึง 4 คน และมีลูกเลี้ยงอีก 4 คน และขอชื่นชมในการกำกับให้พี่ซุปของเราออกมาเป็นที่ดูน่าสงสาร ดูเป็นคนอมทุกข์ที่แสดงผ่านสีหน้าและแววตาของ เฮนรี่ คาวิลล์ ได้อย่างดีเลย หนังเรื่องนี้ก็ยังคงความเป็นตาแซ็กได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการผสมผสานความเป็นแฟนตาซีของตัวละครได้อย่างดี
300 Rise Of An Empire ในปี 2014 งานนี้ตาแซ็กนั่งเป็นโปรดิวเซอร์ แต่ก็คงจะมีส่วนช่วยอยู่เยอะเลยทีเดียว เพราะยังคงความเป็นตาแซ็กได้แบบที่เรียกได้ว่า เหมือนตาแซ็กมากับกับเองเลย เรื่องนี้ มีความเป็นเฟมินิสท์ผ่านตัวละครอเธมิเชีย แม่ทัพหญิงแห่งกองเรือเปอร์เซีย ประเด็นประเพณีการทำสงครามของกษัตริย์ในโลกโบราณ กัดพวกตะวันออกลาง (ระเบิดพลีชีพ) กัดนักการเมือง ภาพออกมาสวยเหมือนภาพวาดสีน้ำมัน การสโลวภาพที่ลงตัว การดีไซด์คิวบู๊ ที่ยังคงมาตฐานตาแซ็กได้อย่างดีเยี่ยม
Batman v Superman: Dawn of Justice ในปี 2016 เป็นงานที่ได้อนิสงฆ์มาจาก Man Of Steel ซึ่งจริงๆ ตาแซ็กเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำภาคต่ออะไร แต่ก็ได้มาทำต่อใน Batman v Superman: Dawn of Justice และยังได้นั่งเป็นโปรดิวเซอร์คุมโทนหนังใน DC EU อีกด้วย หนังมีโทนที่หม่นกว่าหนังเรื่องอื่น คงจะเพราะว่ามีพี่แบทเป็นตัวหลัก ซึ่งสโลแกนของพี่แบทก็คืออัศวินรัตติกาล ซึ่งมันก็เป็นการตีความที่ถูกกับหนัง แบทแมนเปลียบดั่งรัตติกาล ส่วนซุปเปอร์แมนเปรียบดั่ง รุ่งอรุณ และการตีความอีกส่วนคือ พี่ซุปเป็นดั่งพระเจ้า และยังมีการอ้างอิงภาพเขียนหลายๆ ชิ้นด้วย เช่น Allegory of the Peace of Westphalia, Jesus Carrying The Cross, Jesus Christ Ecce Homo, The bath เป็นต้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่สนุกสนานมาก สำหรับคนที่เรียนศิลปะมาอย่างดิชั้น เนื่อเรื่องยังพูดถึงการที่พระเจ้าต้องมาสู้กับมนุษย์จากการมองในคนละมุมมอง ทั้งจากมุมมองของพระเจ้าที่มองว่ามนุษย์นั้นเป็นภัยต่อมนุษย์ด้วยกันเอง และมนุษย์ก็มองว่า พระเจ้าก็สามารถที่จะเป็นภัยต่อมนุษย์ได้เช่นกัน พระเจ้าไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปในเมื่อมนุษย์สามารถที่จะปกครองกันเองได้แล้ว และด้วยแรงยุของมนุษย์อีกคนที่ต้องการที่จะกำจัดทั้งพระเจ้าและมนุษย์ที่เป็นใหญ่ ทั้งหมดเพื่อความสะใจ ไม่ใช่ที่จะต้องการเป็นใหญ่ และหนังก็ยังมีแผนสอง ถ้าหากไม่เป็นไปตามแผนแรกโดยการปลูกสิ่งที่เหนือกว่าขึ้นมา หนังจบไปที่ความสิ้นหวังของโลกเทื่อพระเจ้าจากไป มันไม่ใช่แค่หนังฮีโร่ตีกัน มันมีอะไรที่มากกว่า ซึ่งบางคนอาจจะไม่เข้าใจ ที่ไม่เข้าใจเพราะอาจจะเข้าไม่ถึงเอง ด้วยสติปัญญาและรสนิยมที่ไม่มากพอ หรืออคติที่กั้นขวางไว้ อย่าไปโทษหนังเลยค่ะ โทษตัวเองน่าจะดีกว่า เข้าไม่ถึงเอง ก็อย่างว่าแหละค่ะ รสนิยม การเข้าถึง ความรู้ความเข้าใจ ของคนเรา มันไม่เหมือนกัน
Wonder Woman ในปี 2017 ตาแซ็กมีส่วนในเรื่องนี้มาก ทั้งช่วยเรื่องบท มาช่วยเรื่องคิวบู๊ หนังชูความเป็นเฟมินิสท์อย่างหนักหน่วงและความไร้เดียงสาของผู้หญิงคนนึง ที่ต้องมาอยู่ในสังคมใหม่ท่ามกลางความโหดร้ายของสงคราม
งานต่อมา ดิชั้นไม่ขอพูดถึงในที่นี้แล้วกัน บอกคำเดียว เสียดายของมาก แต่ก็ยังมีการเปรียบเปรยอิง ภาพเขียน อดัมแตะนิ้วกับพระเจ้า ยังมีบางส่วนที่ดูออกว่านี่คือของตาแซ็กแน่ๆ เสียดายโทนสีที่เปลี่ยนไป เสียดายเสน่ห์ที่หายไป จากการก้าวก่ายที่ไม่เข้าเรื่องของ WB ก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก รายได้มันสวนทางกับสิ่งที่ WB อยากให้เป็น คือ มันเจ๊ง เจ๊งเพราะเปลี่ยนแนว คำตอบไม่มีอะไรมาก คำตอบอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว
ภาพยนต์ของตาแซ็กให้อะไรที่มากกว่าภาพยนต์ในตลาดทั่วๆ ไป ที่พอไปดูแล้วได้มาแค่ความบันเทิง ความสนุก แต่ก็ไม่มีอะไรที่น่าจดจำ ไม่มีอะไรที่อยากจะพูดถึงอีก ไม่มีอะไรที่สามารถที่จะเก็บเกี่ยวได้ ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเลย และนี่เองที่เป็นสิ่งที่ดิชั้นรู้สึกชอบผู้กำกับคนนี้มาก เพราะเค้าได้ให้อะไรที่มากกว่าหนังทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็น การวางองค์ประกอบภาพที่สวยงามดั่งภาพเขียน เพลงประกอบที่ติดหู ฟังปุ๊บรู้ปั๊บว่านี่คือเพลงของตัวละครอะไร คิวบู๊ที่อลังการมันส์ได้ใจ การใส่สิ่งละอันพันละน้อยให้ได้ค้นหา การใส่ประเด็นให้ได้ขบคิดตกผลึก ตาแซ็กเป็นผู้กำกับที่มีความละเอียดอ่อนและให้อะไรที่มากกว่ากับผู้ชม หนังของตาแซ็กดูซ้ำไปซ้ำมาได้อย่างไม่มีเบื่อ และมันก็คุ้มค่าต่อการซื้อหนังเก็บไว้
Zack Snyder กับงานภาพยนต์ที่ให้อะไรมากกว่าภาพยนต์ในตลาดทั่วไป
Zack Snyder หรือ ที่ดิชั้นเรียกของดิชั้นว่า ตาแซ็ก (ขอเรียกตามนิสัยคนไทยก็แล้วกัน คือ เรียกทุกคนที่ไม่รู้จักประหนึ่งเป็นญาติ) ตาแซ็กเป็นผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ที่มีผลงานในสไตล์ของตัวเองที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นบทที่สอดแทรกสิ่งละอันพันละน้อยให้ได้ขบคิดไปกับมันอยู่เสมอ การวางองค์ประกอบภาพที่สวยราวกับภาพวาดสีน้ำมัน และการดีไซด์คิวบู๊ได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์
ดิชั้นจะขอพูดถึงในส่วนที่ตาแซ็กแกมีส่วนรวมเยอะๆ ก็แล้วกันนะคะ
ตาแซ็ก กำกับหนังครั้งแรกในปี 2004 Dawn Of The Dead เป็นหนังซอมบี้รีเมคที่เสนอ ซอมบี้ในมุมมองใหม่ คือ ซอมบี้จากเดิมที่เดินต้อมเติ้ม เป็นซอมบี้ที่วิ่งได้ด้วยแรงกระหาย ตัวหนังเองไม่มีอะไรมาก ยังเหมือนหนังตลาดธรรมดาๆ อยู่
ผลงานต่อมาในปี 2006 เรื่อง 300 หนังเรื่องนี้มีความเป็นเอกลักษณ์ของตาแซ็กมาก สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยภาพที่สวยดั่งภาพเขียนสีน้ำมัน และการดีไซด์คิวบู๊ที่มันส์ได้ใจ แต่ก็ยังไม่ได้ชูประเด็นอะไรมากมาย
Watchmen ในปี 2009 เป็นหนังฮีโร่ที่เล่าเรื่องราวได้ดราม่าที่สุด ชูประเด็นฮีโร่ในยุคสงครามเย็น ที่ฮีโร่ก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป คือ มีดี มีชั่ว มีร่วงโรย และ เรื่องของสันติภาพ ที่บางทีก็ต้องแรกมาด้วยการสูญเสีย (ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา) และเรื่องนี้ก็ยังคงความเป็นตาแซ็กได้ ไม่ว่าจะเป็นบทที่สอดแทรกข้อคิด ภาพที่สวยและคิวบู๊ การสโลวภาพที่เรียกได้ว่ากินขาดเลยทีเดียว
ต่อมาเป็นหนังแอนนิเมชั่น เรื่อง Legend of the Guardians: The Owls of Ga'Hoole ในปี 2010 อันนี้ดิชั้นยังไม่ได้ดู จึงไม่ขอพูดถึงนะคะ (แต่เมื่อเขียนเรียงความนี้เสร็จแล้วก็ว่าจะดูแล้วค่ะ ไปซื้อแผ่น บลูเรย์ มาเรียบร้อยแล้ว)
Sucker Punch ในปี 2011 ที่ชูประเด็น เฟมินิสท์ อย่างมาก ว่าด้วย ความรุนแรงที่มีต่อผู้หญิง การค้ามนุษย์ สิ่งผิดกฏหมายที่แฝงตัวอยู่ภายใต้ซอกหลีบของสังคม นักการเมือง การเสียสละตัวเองให้แก่ผู้อื่นที่เค้ายังสามารถที่จะไปไกลได้มากกว่า พร้อมกับฉากแอ็กชั่นที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์การกระทำของตัวละครในช่วงนั้นๆ และแน่นอนที่สุด หนังก็ยังคงความเป็นตาแซ็กทั้งภาพและเสียงได้อย่างดี และที่ดิชั้นชอบมากที่สุดคือบทนำของหนังที่ว่าด้วยเรื่องเทพผู้คุ้มครองประจำตัว
Man Of Steel ในปี 2013 นี่คืองานที่ทำให้ดิชั้นหันมาสนใจซุปเปอร์ฮีโร่ของดีซี หนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่ครบรสมาก มีทั้งดราม่า มีทั้งบู๊ที่มันส์สะใจ มันกันเต็มๆ ครึ่งเรื่องเลยทีเดียว เรื่องนี้ดิชั้นไม่ได้ไปดูในโรงด้วย จนออกมาเป็นแผ่นแล้วถึงได้ดู บอกเลยว่าชอบมาก ในส่วนของดราม่า พูดถึงการที่ต้องถูกมองเป็นตัวประหลาด แต่ก็ตัวประหลาดตัวนี้แหละที่สามารถที่จะช่วยโลกไว้ได้ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ถึงแม้จะถูกมองว่าเป็นส่วนเกิน การรู้บุญคุณของแผ่นดินที่อาศัยอยู่ถึงแม้นว่าจะไม่ใช่บ้านเกิดของตัวเอง ความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตัวเอง พ่อที่เป็นมนุษย์โลกซึ่งไม่ใช่พ่อแท้ๆ ยอมที่จะเอาชีวิตตัวเองปกป้องลูกเอาไว้ไม่ให้ถูกมองเป็นสิ่งแปลกปลอม ซึ่งตาแซ็กนี่ก็เป็นพ่อที่มีทั้งลูกในอกของตัวเองถึง 4 คน และมีลูกเลี้ยงอีก 4 คน และขอชื่นชมในการกำกับให้พี่ซุปของเราออกมาเป็นที่ดูน่าสงสาร ดูเป็นคนอมทุกข์ที่แสดงผ่านสีหน้าและแววตาของ เฮนรี่ คาวิลล์ ได้อย่างดีเลย หนังเรื่องนี้ก็ยังคงความเป็นตาแซ็กได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการผสมผสานความเป็นแฟนตาซีของตัวละครได้อย่างดี
300 Rise Of An Empire ในปี 2014 งานนี้ตาแซ็กนั่งเป็นโปรดิวเซอร์ แต่ก็คงจะมีส่วนช่วยอยู่เยอะเลยทีเดียว เพราะยังคงความเป็นตาแซ็กได้แบบที่เรียกได้ว่า เหมือนตาแซ็กมากับกับเองเลย เรื่องนี้ มีความเป็นเฟมินิสท์ผ่านตัวละครอเธมิเชีย แม่ทัพหญิงแห่งกองเรือเปอร์เซีย ประเด็นประเพณีการทำสงครามของกษัตริย์ในโลกโบราณ กัดพวกตะวันออกลาง (ระเบิดพลีชีพ) กัดนักการเมือง ภาพออกมาสวยเหมือนภาพวาดสีน้ำมัน การสโลวภาพที่ลงตัว การดีไซด์คิวบู๊ ที่ยังคงมาตฐานตาแซ็กได้อย่างดีเยี่ยม
Batman v Superman: Dawn of Justice ในปี 2016 เป็นงานที่ได้อนิสงฆ์มาจาก Man Of Steel ซึ่งจริงๆ ตาแซ็กเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำภาคต่ออะไร แต่ก็ได้มาทำต่อใน Batman v Superman: Dawn of Justice และยังได้นั่งเป็นโปรดิวเซอร์คุมโทนหนังใน DC EU อีกด้วย หนังมีโทนที่หม่นกว่าหนังเรื่องอื่น คงจะเพราะว่ามีพี่แบทเป็นตัวหลัก ซึ่งสโลแกนของพี่แบทก็คืออัศวินรัตติกาล ซึ่งมันก็เป็นการตีความที่ถูกกับหนัง แบทแมนเปลียบดั่งรัตติกาล ส่วนซุปเปอร์แมนเปรียบดั่ง รุ่งอรุณ และการตีความอีกส่วนคือ พี่ซุปเป็นดั่งพระเจ้า และยังมีการอ้างอิงภาพเขียนหลายๆ ชิ้นด้วย เช่น Allegory of the Peace of Westphalia, Jesus Carrying The Cross, Jesus Christ Ecce Homo, The bath เป็นต้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่สนุกสนานมาก สำหรับคนที่เรียนศิลปะมาอย่างดิชั้น เนื่อเรื่องยังพูดถึงการที่พระเจ้าต้องมาสู้กับมนุษย์จากการมองในคนละมุมมอง ทั้งจากมุมมองของพระเจ้าที่มองว่ามนุษย์นั้นเป็นภัยต่อมนุษย์ด้วยกันเอง และมนุษย์ก็มองว่า พระเจ้าก็สามารถที่จะเป็นภัยต่อมนุษย์ได้เช่นกัน พระเจ้าไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปในเมื่อมนุษย์สามารถที่จะปกครองกันเองได้แล้ว และด้วยแรงยุของมนุษย์อีกคนที่ต้องการที่จะกำจัดทั้งพระเจ้าและมนุษย์ที่เป็นใหญ่ ทั้งหมดเพื่อความสะใจ ไม่ใช่ที่จะต้องการเป็นใหญ่ และหนังก็ยังมีแผนสอง ถ้าหากไม่เป็นไปตามแผนแรกโดยการปลูกสิ่งที่เหนือกว่าขึ้นมา หนังจบไปที่ความสิ้นหวังของโลกเทื่อพระเจ้าจากไป มันไม่ใช่แค่หนังฮีโร่ตีกัน มันมีอะไรที่มากกว่า ซึ่งบางคนอาจจะไม่เข้าใจ ที่ไม่เข้าใจเพราะอาจจะเข้าไม่ถึงเอง ด้วยสติปัญญาและรสนิยมที่ไม่มากพอ หรืออคติที่กั้นขวางไว้ อย่าไปโทษหนังเลยค่ะ โทษตัวเองน่าจะดีกว่า เข้าไม่ถึงเอง ก็อย่างว่าแหละค่ะ รสนิยม การเข้าถึง ความรู้ความเข้าใจ ของคนเรา มันไม่เหมือนกัน
Wonder Woman ในปี 2017 ตาแซ็กมีส่วนในเรื่องนี้มาก ทั้งช่วยเรื่องบท มาช่วยเรื่องคิวบู๊ หนังชูความเป็นเฟมินิสท์อย่างหนักหน่วงและความไร้เดียงสาของผู้หญิงคนนึง ที่ต้องมาอยู่ในสังคมใหม่ท่ามกลางความโหดร้ายของสงคราม
งานต่อมา ดิชั้นไม่ขอพูดถึงในที่นี้แล้วกัน บอกคำเดียว เสียดายของมาก แต่ก็ยังมีการเปรียบเปรยอิง ภาพเขียน อดัมแตะนิ้วกับพระเจ้า ยังมีบางส่วนที่ดูออกว่านี่คือของตาแซ็กแน่ๆ เสียดายโทนสีที่เปลี่ยนไป เสียดายเสน่ห์ที่หายไป จากการก้าวก่ายที่ไม่เข้าเรื่องของ WB ก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก รายได้มันสวนทางกับสิ่งที่ WB อยากให้เป็น คือ มันเจ๊ง เจ๊งเพราะเปลี่ยนแนว คำตอบไม่มีอะไรมาก คำตอบอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว
ภาพยนต์ของตาแซ็กให้อะไรที่มากกว่าภาพยนต์ในตลาดทั่วๆ ไป ที่พอไปดูแล้วได้มาแค่ความบันเทิง ความสนุก แต่ก็ไม่มีอะไรที่น่าจดจำ ไม่มีอะไรที่อยากจะพูดถึงอีก ไม่มีอะไรที่สามารถที่จะเก็บเกี่ยวได้ ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเลย และนี่เองที่เป็นสิ่งที่ดิชั้นรู้สึกชอบผู้กำกับคนนี้มาก เพราะเค้าได้ให้อะไรที่มากกว่าหนังทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็น การวางองค์ประกอบภาพที่สวยงามดั่งภาพเขียน เพลงประกอบที่ติดหู ฟังปุ๊บรู้ปั๊บว่านี่คือเพลงของตัวละครอะไร คิวบู๊ที่อลังการมันส์ได้ใจ การใส่สิ่งละอันพันละน้อยให้ได้ค้นหา การใส่ประเด็นให้ได้ขบคิดตกผลึก ตาแซ็กเป็นผู้กำกับที่มีความละเอียดอ่อนและให้อะไรที่มากกว่ากับผู้ชม หนังของตาแซ็กดูซ้ำไปซ้ำมาได้อย่างไม่มีเบื่อ และมันก็คุ้มค่าต่อการซื้อหนังเก็บไว้