มาอีกแล้วกับอัพเดทล่าสุด เกี่ยวกับบทบาทของหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมโลก ที่มีผลต่อแรงงานคน แต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตก เราเคยเจอเหตุการณ์คล้าย ๆ กันมาแล้ว เพียงแค่ปรับตัว ก็ไปต่อได้สบาย ๆ ...
สถาบันแมคคินซีย์ โกลบอล ได้เปิดเผยรายงานการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 800 อาชีพ ใน 46 ประเทศ พบว่า อีก 13 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 2030 หุ่นยนต์จะเข้ามาแทนที่แรงงานคนถึง 800 ล้านตำแหน่ง หรือคิดเป็นผลกระทบต่อคนประมาณ 1 ใน 5 ของตลาดแรงงานโลก
โดยกลุ่มงานที่เสี่ยงต่อการถูกหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่มากที่สุด อาทิ งานที่ต้องปฏิบัติงานกับเครื่องจักร งานเตรียมอาหาร งานที่เกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูลและประมวลผล เช่น ผู้ช่วยทนายความ นักบัญชี เสมียน นายหน้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย และผู้ดูแลระบบประมวลผลหลังบ้าน
ส่วนกลุ่มงานที่เสี่ยงต่อการถูกหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่น้อยกว่า อาทิ งานที่ต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เช่น แพทย์ ทนายความ ครู บาร์เทนเดอร์ รวมถึงงานที่รายได้น้อย เช่น คนสวน ช่างประปา และผู้ดูแลเด็ก คนชรา และคนเจ็บ
ทั้งนี้ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ตลาดจะต้องการวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษามากขึ้น ส่วนงานที่ใช้ระดับการศึกษาไม่สูงจะมีจำนวนลดลง โดยงานในสหรัฐฯ ประมาณ 39 ถึง 73 ล้านตำแหน่งจะหายไป แต่จะมีแรงงานประมาณ 20 ล้านคนที่สามารถย้ายไปทำงานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ และตำแหน่งงานในสหราชอาณาจักรประมาณร้อยละ 20 จะเปลี่ยนไปเป็นระบบอัตโนมัติ
สำหรับประเทศที่มีเงินลงทุนกับเทคโนโลยีอัตโนมัติน้อย ก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เช่น อินเดียจะมีตำแหน่งงานเพียงร้อยละ 9 ที่ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่
อย่างไรก็ตาม โลกเราได้ผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกันนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว ในช่วงศตวรรษที่ 1900 ซึ่งอาชีพเกษตรกรรมถูกเปลี่ยนมาเป็นงานในโรงงานอุตสาหกรรม
จึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจว่าคนจะตกงาน เพราะเทคโนโลยีใหม่ก็จะทำให้เกิดอาชีพใหม่ จะมีการสร้างตำแหน่งงานใหม่ ๆ อีกหลายบทบาท โดยคนจะต้องเข้าฝึกอบรมพัฒนาทักษะในสาขาใหม่ ๆ ที่แตกต่างออกไป
และหากรัฐบาลของแต่ละประเทศออกมาตรการรองรับ รวมถึงสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการลงทุนขนาดใหญ่ หรือมีโครงการฝึกอบรมพัฒนาทักษะใหม่ ๆ สำหรับแรงงานเข้าสู่ยุคการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ก็จะเป็นตัวช่วยให้ช่วงเปลี่ยนผ่านราบรื่นมากยิ่งขึ้น
ที่มาข่าวจากบีบีซีไทยและประชาชาติธุรกิจ
หุ่นยนต์-คน-งาน สัมพันธ์กันอย่างไรในปี 2030
สถาบันแมคคินซีย์ โกลบอล ได้เปิดเผยรายงานการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 800 อาชีพ ใน 46 ประเทศ พบว่า อีก 13 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 2030 หุ่นยนต์จะเข้ามาแทนที่แรงงานคนถึง 800 ล้านตำแหน่ง หรือคิดเป็นผลกระทบต่อคนประมาณ 1 ใน 5 ของตลาดแรงงานโลก
โดยกลุ่มงานที่เสี่ยงต่อการถูกหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่มากที่สุด อาทิ งานที่ต้องปฏิบัติงานกับเครื่องจักร งานเตรียมอาหาร งานที่เกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูลและประมวลผล เช่น ผู้ช่วยทนายความ นักบัญชี เสมียน นายหน้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย และผู้ดูแลระบบประมวลผลหลังบ้าน
ส่วนกลุ่มงานที่เสี่ยงต่อการถูกหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่น้อยกว่า อาทิ งานที่ต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เช่น แพทย์ ทนายความ ครู บาร์เทนเดอร์ รวมถึงงานที่รายได้น้อย เช่น คนสวน ช่างประปา และผู้ดูแลเด็ก คนชรา และคนเจ็บ
ทั้งนี้ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ตลาดจะต้องการวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษามากขึ้น ส่วนงานที่ใช้ระดับการศึกษาไม่สูงจะมีจำนวนลดลง โดยงานในสหรัฐฯ ประมาณ 39 ถึง 73 ล้านตำแหน่งจะหายไป แต่จะมีแรงงานประมาณ 20 ล้านคนที่สามารถย้ายไปทำงานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ และตำแหน่งงานในสหราชอาณาจักรประมาณร้อยละ 20 จะเปลี่ยนไปเป็นระบบอัตโนมัติ
สำหรับประเทศที่มีเงินลงทุนกับเทคโนโลยีอัตโนมัติน้อย ก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เช่น อินเดียจะมีตำแหน่งงานเพียงร้อยละ 9 ที่ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่
อย่างไรก็ตาม โลกเราได้ผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกันนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว ในช่วงศตวรรษที่ 1900 ซึ่งอาชีพเกษตรกรรมถูกเปลี่ยนมาเป็นงานในโรงงานอุตสาหกรรม จึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจว่าคนจะตกงาน เพราะเทคโนโลยีใหม่ก็จะทำให้เกิดอาชีพใหม่ จะมีการสร้างตำแหน่งงานใหม่ ๆ อีกหลายบทบาท โดยคนจะต้องเข้าฝึกอบรมพัฒนาทักษะในสาขาใหม่ ๆ ที่แตกต่างออกไป
และหากรัฐบาลของแต่ละประเทศออกมาตรการรองรับ รวมถึงสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการลงทุนขนาดใหญ่ หรือมีโครงการฝึกอบรมพัฒนาทักษะใหม่ ๆ สำหรับแรงงานเข้าสู่ยุคการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ก็จะเป็นตัวช่วยให้ช่วงเปลี่ยนผ่านราบรื่นมากยิ่งขึ้น
ที่มาข่าวจากบีบีซีไทยและประชาชาติธุรกิจ