ทำไม! ชอปปิ้งเพลิน เดินจนห้างปิด


มีใครเคยเปิดตู้เสื้อผ้ามาแล้วเจอของที่ทำให้ต้องคิดว่า เอ๊ะเราไปได้มันมาตอนไหนน้า เสื้อผ้าที่สีคล้ายกันมาก และไม่ใช่แค่ซ้ำ 2 ตัว หรือจำนวนกางเกงยีนส์ที่แทบจะใส่ไม่ซ้ำกันได้ใน 1 เดือน หรือการซื้อเครื่องสำอางที่บางทีก็ไม่เคยได้ใช้หยิบมาดูอีกทีก็หมดอายุซะอย่างงั้น เคยสงสัยกันไหมว่าพฤติกรรมเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

วันนี้ K-Expert ขอแนะนำแนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics) บางประเด็นมานำเสนอ อย่าเพิ่งเบื่อกันน้าไม่วิชาการขนาดน้านนน เพราะอาจจะช่วยให้การตัดสินใจชอปปิงในครั้งต่อไปของเพื่อนมีสติกันมากขึ้น

ประเด็นแรกเราซื้อเพราะถูกกระตุ้น (Impulse Buying) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ หากให้พูดเลยก็คือเราซื้อสินค้าด้วยอารมณ์ชั่ววูบเพราะได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าหรือแรงจูงใจ เช่น 2 ชั่วโมงพิเศษลด 60% ถ้าหมดเวลาหรือไม่รีบตัดสินใจจะทำให้ไม่ได้ส่วนลดหรือสินค้าดังกล่าว หรือโปรท่องเที่ยวแบบทัวร์ไฟไหม้ที่หากเดินทางไปในช่วงเวลาที่กำหนดจะได้ส่วนลดพิเศษบางคนจองแล้วไม่ได้ไปก็มีให้เห็นบ่อยๆ เกิดอาการทิ้งตั๋วด้วยน้ำตากันเลยทีเดียว สิ่งเหล่านี้ทำให้สมองส่วนในของมนุษย์ถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าหรือแรงจูงใจ ทำให้ตัดสินใจกระทำโดยปราศจาการใช้เหตุผลด้วยสมองส่วนหน้า

วิธีแก้ คือเราต้องมีสติกำหนดลมหายใจ (ยุบหนอ พองหนอ) ยับยั้งการตัดสินใจด้วยอารมณ์ของเราให้ได้ภายในเวลาประมาณ 6 ถึง 7 วินาทีแรกที่รับรู้ข้อมูล ลองนึกดูว่า จำเป็นมั้ย จะได้ใช้จริงเหรอ ที่บ้านมีหรือยัง ไม่มีมันเราอยู่มาได้ยังไง ก่อนตัดสินใจซื้อ

ประเด็นต่อมาเราตัดสินใจซื้อเพราะคิดว่าคุ้มในเชิงเปรียบเทียบ (Relativity) เพราะเราไม่สามารถจะประเมินได้ว่าสินค้าหรือบริการนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่ได้จนกว่าจะมีอีกสิ่งให้เปรียบเทียบที่ใกล้เคียงกัน ยกตัวอย่างผลิตสินค้าใหม่ออกมาสู่ตลาดและยังไม่เคยมีใครทำเลย คนซื้อก็จะเกิดการลังเลไม่กล้าซื้อเพราะไม่รู้ว่าราคาที่ตั้งนั้นถูกหรือแพง (ซื้อถูกกว่าไม่ว่า ถ้าซื้อแพงกว่าอายเค้า) แต่ถ้าป้ายนั้นขีดราคาเดิมออกแล้วเขียนราคาใหม่ที่ลด 30% เข้าไปสินค้านั้นก็จะเกิดความน่าสนใจขึ้นทันที เพราะสมองเริ่มเกิดการเปรียบเทียบราคาเก่าและใหม่แล้วในเชิงความคุ้มค่า หรือยกตัวอย่างขนม 1 ห่อ 20 บาทแต่ถ้าซื้อ 2 ห่อเหลือ 30 บาทคนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกซื้อ 2 ห่อคุ้าค่าปริมาณ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

วิธีแก้ คือเทคโนโลยีสมัยนี้น่าจะช่วยได้ดีในประเด็นนี้ เพราะเพียงเรากดมือถือแล้วค้นหาสินค้าหรือบริการดังกล่าวเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ ก็น่าจะพอเห็นความคุ้มค่าได้

ประเด็นสุดท้ายที่จะนำเสนอคือการเลี่ยงการสูญเสีย (Loss Aversion) คนเรามักจะให้คุณค่าในด้านการสูญเสียมากกว่าสิ่งที่ได้รับ โดยในเชิงการลงทุนนั้นเคยมีผู้ทำวิจัยไว้ว่าการลงทุนแล้วขาดทุน 100 บาทกับการได้กำไร 100 บาท คนจะรู้สึกรุนแรงในเรื่องของการขาดทุนมากกว่าการได้กำไร คนส่วนใหญ่จึงมักที่จะเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจสร้างความสูญเสียให้กับตนเอง
แล้วเกี่ยวอะไรกับการชอปปิงล่ะ เรื่องนี้อาจยกตัวอย่างจากลักษณะการใช้บัตรเครดิต เพราะสร้างพฤติกรรมที่ทำให้เราไม่รับรู้ถึงการเสียเงินที่รูดไป โดยในขณะที่เรารูดปื๊ดเราก็ได้สินค้ากลับมาแบบ “ฟรี” (ยังไม่รับรู้ถึงรายจ่ายที่จะตามมา) ต่างกับการจ่ายเงินสด เพราะจะทำให้เราทราบทันทีว่าเราเสียอะไรและได้อะไรกลับมา โดยเทคนิคนี้บริษัทมากมายมักนิยมนำมาใช้เช่น การสมัครสมาชิกรายปีหรือการกินอาหารแบบบุฟเฟต์ เพราะเราจ่ายแค่ครั้งเดียวจะใช้หรือกินอะไรก็ได้ตามสิทธิที่ได้รับตามระยะเวลาที่กำหนด สิ่งสำคัญคือไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ดังนั้นแม้เราจะใช้บริการไม่เต็มที่ หรือกินไม่ไหวแล้วก็จะไม่รู้สึกสูญเสียอะไรมากนักกับเงินก้อนที่จ่ายไป เพราะสมองกล่อมเราว่าไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมนั่นเอง

วิธีแก้ คือลองหันกลับมาใช้เงินสดสักพัก เพื่อบอกสมองให้รับรู้ว่า การซื้อจะเกิดการสูญเสียเพื่อแลกกับสิ่งที่ได้รับนะ มันไม่ใช่ของฟรี ทุกสิ่งต้องมีการแลกเปลี่ยนเสมอ

หวังว่าเทคนิคการแก้ไขสำหรับพฤติกรรม 3 ประเภทนี้คงช่วยเพื่อนๆ ใช้เป็นแนวทางในการชอปปิงครั้งต่อไปกันน้า หรือใครมีประสบการณ์ตรงจะมาแบ่งปันกันก็ร่วมคอมเม้นกันได้เลย เช่นพ่อบ้านใจกล้าทั้งหลายที่เคยยืนรอสาวๆที่ร้านเครื่องสำอางตามห้างอะไรอย่างงี้ เป็นต้น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่