!SPOILER ALERT!
.
.
.
.
.
เริ่มด้วยการบันทึกเวลา เสียงนาฬิกาดังขึ้น และเราได้รู้ว่าแมลงชีปะขาว สัตว์ที่เป็นตัวชี้วัดความสะอาดของแหล่งน้ำ เนื่องจากมันมีความไวต่อมลพิษทางน้ำ มันมีชีวิตเพียงแค่หนึ่งวันเมื่อพ้นจากผืนน้ำหลังจากที่มันเป็นตัวอ่อนหลายอาทิตย์ หรือบางตัวก็เป็นปี ชีวิตในวันนั้นของมันจึงเป็นการผสมพันธุ์เพื่อสืบทอดเชื้อสาย แล้วก็ตายไป
Die Tomorrow เป็นการบันทึกความทรงจำภายหลังการรัฐประหารปี 49 (2550-2559) ผ่านเรื่องเล่าขนาดสั้นเจ็ดเรื่องที่ยึดโยงกันด้วยการเผชิญหน้ากับความตาย ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจตาย โดยพบว่ามีการนำฉากที่เป็นเหตุการณ์ภายหลัง “การเปลี่ยนแปลง” ของหนังสั้นตอนพี่เติ้ง ซันนี่ น้าค้อม และสัมภาษณ์คุณเปรม มาไว้ก่อน
นอกจากนี้ยังมีการนำหนังสั้นตอนเดียวที่ไม่มีฉากก่อนตาย (คือมีแค่ฉากตายแล้ว) มาใส่ในตอนแรก คือฉากนักธุรกิจหนุ่มนอนตายกว่า 5 ชั่วโมงในตลาดหุ้น ที่เต็มไปด้วยผู้คน ในวันที่ 11 (เหมือนกับเลขบิงโก และเลขหุ้น) ซึ่งต่างจากการตัดต่อเรื่องอื่นๆ ที่จะนำเหตุการณ์ “ก่อนเสียชีวิต” นำมาก่อน (สี่สาวกำลังจะรับปริญญา พี่สาวน้องชายบนดาดฟ้า เต้ยแย่งชิงแบรนด์ แอมบาสเดอร์
หนังใช้การเอาภาพเหตุการณ์หลังการเปลี่ยนแปลงมาใส่ก่อน เห็นวีแต่งตัวด้วยเสื้อเรียบร้อย เดินกลับเข้าห้องประตูสีขาว ที่มีระเบียงสีขาวกับต้นไม้สีเขียว ในโทนสีฟ้า แต่เมื่อเธอเปิดไฟหน้าห้องก็จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงสีเป็นโทนสว่างขาวเหลือง หรืออย่างตอนซันนี่ที่เราเห็นห้องที่ทั้งสองพลอดรักกัน แต่มีเพียงหนังสือ Lonely Planet วางอยู่กลางเตียง ไม่มีถังออกซิเจนสีเขียว มีเพียงแจกันใสใส่ดอกไม้สีขาวกับกวางสีขาวสองตัว
หรืออย่างฉากน้าค้อมที่กลายเป็นลูกสาวใส่เสื้อโทนสีขาวนอนตรงที่ๆ พ่อเธอเสียชีวิตอย่างสงบ เธอเองก็นอนหลับในตอนบ่ายอย่างสงบเช่นกัน และภาพสุดท้ายก่อนเข้าเรื่องสีสาวเราก็เห็นว่าเป็นที่นั่งว่างเปล่าของคุณเปรม มีรูปปั้นพระเยซูข้างผนัง ภาพทั้งหมดถูกถ่ายในเห็นเต็มจอ อันแทนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการณ์เปลี่ยนแปลง ก่อนที่ภาพจะตัดไปที่เหตุกาณ์ก่อนมีการเสียชีวิตในหนังสั้นเรื่องแรก
สี่สาวกำลังจะรับปริญญาในวันรุ่งขึ้น จุดเริ่มต้นของการพูดถึงความฝันของแต่ละคนเริ่มจากที่มีใครคนหนึ่งอ่านดวงในนิตยสารที่กำลังจะปิดตัว พวกเธอล้วนมีความฝันที่จะได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น ที่ไม่ตรงกับที่พวกเธอสอบติด และร่ำเรียน ตรากตรำจนจบมาได้ บางคนอยากขายต้นไม้กับแม่ อยากเป็นนักดีไซเนอร์ชื่อดัง อยากใช้ชีวิตที่นิวยอร์ก มีสามี หางาน (อะไรก็ไม่รู้) ทำ และถึงกับเอ่ยปากว่าจะไม่กลับมาไทยอีก เพราะไม่ตรงจริต
มีเพียงสาวคนเดียวที่ฝันสูงสุดของเธอคือการมีครอบครัวที่อบอุ่น อยู่กันพร้อมหน้าเมื่อเธอกลับจากทำงานในตอนเย็น นี่กลายเป็นความฝันที่เพื่อนคนอื่นมองว่าไม่ท้าทาย ไม่ทะเยอทะยายแบบคนอื่น แต่แท้จริงแล้วนี่คือการเติมเต็มปมในจิตใจที่เธอไม่ได้มีครอบครัวที่พร้อมสนับสนุนแบบคนอื่น หนังสั้นตอนนี้จึงอาจะเรียกได้ว่ามันเป็นภาคต่อของแมรี่ฯ เมื่อแมรี่ได้เข้ามหาฯลัย ชีวิตวุ่นวายสับสนตอนมัธยมฯ แม้ว่าเธอกำลังจะรับปริญญาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า จิตใจเธอก็ยังร้อนรุ่ม ไม่ต่างจากตอนนั้น
พี่เต๋อยังคงชอบเล่นตลกร้าย เมื่อเขาให้ใครคนหนึ่งต้องตายแบบเหลือเชื่อ และเช้าวันรุ่นขึ้นคงเป็นวันหายนะของเพื่อนๆกลุ่มนี้ วันที่พวกเธอจะมีความสุขหลังจากผ่านอุปสรรคมากมายตอนเรียน วัยนักเรียนกำลังจะหมดไป และชีวิตของวัยทำงานกำลังจะเข้ามา ภายในห้องพักนั้นที่เดิมเคยใช้โทนสว่าง ในช่วงที่พวกเธอพูดถึงความฝัน ตอนนี้กลายเป็นสีออกฟ้าน้ำเงิน มีแจกันสีฟ้าใส่อกไม้สีขาวตั้งอยู่โดยที่เราไม่ได้สังเกตจากฉากแรก ฐานเตียงและพื้นพรมในห้องใช้ลายดอกไม้ นิตยสารดูดวงยังวางไว้บนโซฟา จนแม่บ้านเข้ามาเก็บมันทิ้งลงถุงดำ เหมือนอนาคตของพวกเธอที่ได้จบลงแล้วเช่นกัน หนังเลือกที่จะไม่บอกว่าใครตาย เสียงดนตรี่คล้าย Arabesque ของ Debussy ดังขึ้น
ภาพถ่ายฟิล์ม (กล้องถ่ายรูปที่หายไปจากตลาด และกำลังจะกลับมา) ถูกถ่ายโดยพี่ทราย 36 อีกครั้ง เธอถ่ายรูปชีวิตที่นิวยอร์ก หนังสั้นเรื่องที่สามจึงเสมือนหนึ่งเป็นการเล่าเรื่องชีวิตภาคต่อของหนังสั้นตอนแรก ถ้าจูนจูนได้ไปดังที่เธอหวัง มีภาพที่บันได เขียนว่า ถ้าเห็นอะไร จงพูดออกมา ซึ่งมันตลกมากตรงที่ตอนระหว่างนั่งดูคือมันเงียบ และไม่มีใครพุอะไรออกมาเลย ทั้งๆที่เราเห็นภาพมากมายผ่านตา ภาพป้ายห้อยหัว เมืองริมทะเล ภาพเหมือนคนเหมือนพี่อนุชา บุญยวรรธนะเดินลงจากเครื่องบิน ต้นไม้สีเขียวข้างมุ้งลวด ภาพเธอไปเที่ยวทะเลกับใครสักคน ลูกโป่งยิ้มลอยติดเพดานภาพตัดกับน้องฉายที่ไม่ยอมยิ้ม และภาพสุดท้ายในชีวิตของเธอคือน้องหมาริมถนน
พี่ทรายกลับขึ้นไปบนดาดฟ้า (อีกครั้ง) ที่เมืองสุพรรณบุรี ในบรรยากาศโทนฟ้า เธอและทูใส่เสื้อสีฝ้า มีดอกไม้ข้างเธอสีฟ้าและแดง บทสนทนาเมื่อสองพี่น้องไม่ได้เจอกันนานกว่าแปดปี เครื่องเสียงที่เคยฝากซื้อที่ตกเทรนไปแล้ว ทูซักถึงสาเหตุที่ทำให้พี่สาวเธอจู่ๆก็กลับมาที่บ้าน แต่ก็พบว่ามันไม่ได้มีเหตุผล ทั้งๆที่ทุกอย่างไปได้ด้วยดี แต่ถึงเธอจะเกลียดเมืองไทยขนาดไหน สายไฟข้างทางจะย้วยไปถึงพื้น รัฐจะไม่เข้ามาจัดการ แต่ผืนแผ่นดินนี้ก้เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ความทรงจำตั้งแต่เกิดถุกบรรจุอัดไว้ณ แห่งนี้ จึงไม่แปลกถ้าหากพี่ทรายอยากกลับบ้าน
พี่ทรายหิวและบ่นอยากกินอาหารร้านเจ้าเก่า ทูปฏิเสธเพียงเพราะวันนั้นคนที่ร้านจะแน่นเป็นพิเศษ แต่ใครจะไปรู้ว่าพี่ทรายจะไม่มีโอกาสได้กิน ทูกลับขึ้นมาบนดาด้าอีกครั้ง โทนสีถูกเปลี่ยนเป็นสว่างจ้า ดอกไม้สีแดงฟ้าถูกเอาออกไป เหลือเพียงต้นไม้สีเขียวแก่หงอยต้นเดียว กับผ้าปูสีขาวที่ถูกตากทิ้งไว้ ทูขึ้นไปสูบบุหรี่อีกครั้ง เดียวดายเหมือนแปดปีที่ผ่านมา และตลอดไป
น้องมรรคเป็นเด็กที่ตอบคำถามความตายได้เกินวัย โดยปกติถ้าหากเด็กอายุสามขวบจะยังไม่เข้าใจถึงความ irreversibility ของความตาย (มีเข้าใจเพียงร้อยละ 10) เมื่อเทียบกับสี่ขวบที่เขาใจถึงร้อยละ 58 แต่ถ้าหากประมาณ 5-7 ขวบจะเริ่มเข้าใจถึงความ nonfunctionality ของร่างกายหลังจากที่ตายแล้ว เป็นที่เข้าใจกันดีว่าความตายเป็นสากล คือทุกสิ่งมีชีวิตสักวันก็ต้องตาย แต่เด็กบางส่วนจะเข้าใจว่าพ่อแม่ ครูหรือตัวเขาเองสามารถปกกันตัวเองจากภาวะนี้ได้ ดังนั้นเด็กจะเข้าใจว่าก่อนที่คนจะตายเขาจะต้องรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองกำลังจะตาย และถึงแม้ว่าเด็กๆจะเข้าใจถึงความสากลของความตาย เขาหรือเธอก็จะรู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องอันแสนไกล ความตายเป็นเรื่องของคนแก่
อย่างไรก็ตามพบว่ามีเด็กบางส่วนที่จะเข้าใจความตายได้อย่างถ่องแท้ โดยปัจจัยที่สัมพันธืคือการมีปมทางจิตใจ การพรากจากตั้งแต่วัยเด็ก จะทำให้เข้าใจความสากลของความตายเร็วกว่าคนในวัยเดียวกัน เราไม่ได้กำลังจะบอกว่าน้องมรรคปมแต่เราเห็นว่าน้องมรรค (ชื่อทำให้นึกถึงอดีตนายกฯ) เข้าใจความตายได้ไม่เหมือนเพื่อนในวัยเดียวกัน อย่างน้อยเราในวัยนั้นก็คงไม่สนใจเรื่องความตาย และแม้ว่าการเข้าถึงอินเตอร์เนตจะดีเหมือนทุกวันนี้ เราก็คงไม่ใช้วันว่างเป็นการหาคำตอบความหมายชีวิต
การสัมภาษณ์น้องมรรคและทวดเปรม (ชื่อเหมือนใครบางคน) ใช้โทนสีน้ำเงินฟ้า มรรคตอบคำถามว่าขอเลือกที่จะไม่รู้ว่าตัวเองจะตาย เพราะคิดว่าจะเศร้าเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างมีความสุข หนังตัดไปที่เครื่องบินกำลังบินจากพื้นดิน ก่อนจะพบว่าเที่ยวบินลำนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย เปิดเข้าสู่หนังสั้นเรื่องสี่
ซันนี่มีแฟนเป็นโรคหัวใจ (จากฟรีแลนซ์ที่เขาทำงานจนเป็นโรคหัวใจ) กำลังรอคอยความตายของคนอื่นเพื่อให้ตนเองรอด รออย่างสิ้นหวัง ถึงแม้ว่าคำพูดของพลอยในช่วงแรกจะดูเข้มแข็ง การเตือนเพศชายที่ขี้หลงขี้ลืม การตัดเล็บให้ บอกให้เขาใช้ครีมบำรุง สิ่งเหล่านี้เป็นการลดความเป็นชายในตัวซันนี่ และทำให้เธอดูแข็งแกร่งขึ้น เธออาศัยออกซิเจนจากถังเขียว (สีของทหาร) หายใจในห้องนั้นเองที่มีแจกันสีน้ำเงินและดอกไม้สีขาวอีกครั้ง ซันนี่พูดถึงการที่เขาไม่สามารถจะขาดเธอได้ “ตัดเล็บเองก็ไม่เหมือนมีคนตัดให้”
จนกระทั่งซันนี่ออกไปล้างเท้า ความอ่อนโรยภายในใจของพลอยก็ปกคลุมบรรยากาศห้องที่ตกแต่งด้วยม่านสีเหลืองทองโทนสว่าง เธออ่อนเพลีย เบื่อสายระโยงระยางพวกนั้น จนกระทั่งซันนี่เข้ามานวดให้ผ่อนคลาย แต่กลายเป็นว่าเธอยิ่งดูเหมือนอ่อนแรงมากขึ้น เสียงหายใจดังและถี่ขึ้น น้ำตาของความทุกข์ที่อัดอั้นภายในค่อยๆไหล นี่เปรียบเป็นความทรงจำของซันนี่ก่อนที่เขาจะหายไปจากเรดาร์
ภาพตัดไปอีกครั้งเมื่อเครื่องทยานสู่ชั้นอากาศเหนือก้อนเมฆ ปรากฏเป็นทัศนียภาพที่เหมือนชั้นสวรรค์ เขาอาจรับรู้ถึงความรู้สึก ความกังวลที่เขาอาจไม่ได้เจอเธออีกถ้าหากกลับมาจากนิวยอร์ก แต่จริงๆ แล้วเราเองก็ไม่รู้หรอกว่า ใครที่ตายเพราะเครื่องบินลำนั้นก็อาจไม่ใช่เที่ยวบินของซันนี่ และภาพตอนจบทรายนั่งอยู่คนเดียวในห้อง แจกันในภาพสุดท้ายของพลอยก็เป็นแจกันใส ต่างจากแจกันในห้องตอนที่มีซันนี่อยู่ที่เป็นแจกันสีน้ำเงิน ราวกับเป็นเหตุการณ์คนละมิติ หรือช่วงเวลาที่ห่างกันนานมากๆ อาจจะเป็นวิญญาณของเธอที่เคยสัญญาว่าถ้าหากตายไปจะเป็นผีเฝ้าที่ห้องนั้น
ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวหรือไม่ ลุงเปรมได้บอกว่าความตายมันเป็นความทรมานของคนที่อยู่ เขาต้องพบกับการสูญเสียภรรยาและลูก การมีชีวิตอยู่จริงเป็นความทุกข์ แต่ล้วอะไรคือความดีของความตายกันเล่า หนังสั้นเรื่องที่ห้าพูดถึงปฏิกิริยาของเต้ย ที่มีต่อข่าวอุบัติเหตุไม่คาดฝันของฟาริ ฟาริดา นางแบบคู่แข่งที่มาชิงได้งานที่เธอหวังไว้ ประกายดาวที่ติดบนหน้าเธอสองข้าง ดูเหมือนเป็นหยดน้ำตาปลอม ส่วนน้ำตาที่ไหลออกมาระหว่างกินโคล่อนที่เธอค่อยๆแทะ เราเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเธอเสียใจหรือไม่ น้ำตานั้นอาจะเป็นการแสดงเพื่อให้เห็นว่าเธอเสียใจกับการสูญเสียถึงแม้จะเป็นคู่แข่งในวิชาชีพ
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Die Tomorrow (Nawapol Thamrongrattanari, 2017, Thailand)
.
.
.
.
.
เริ่มด้วยการบันทึกเวลา เสียงนาฬิกาดังขึ้น และเราได้รู้ว่าแมลงชีปะขาว สัตว์ที่เป็นตัวชี้วัดความสะอาดของแหล่งน้ำ เนื่องจากมันมีความไวต่อมลพิษทางน้ำ มันมีชีวิตเพียงแค่หนึ่งวันเมื่อพ้นจากผืนน้ำหลังจากที่มันเป็นตัวอ่อนหลายอาทิตย์ หรือบางตัวก็เป็นปี ชีวิตในวันนั้นของมันจึงเป็นการผสมพันธุ์เพื่อสืบทอดเชื้อสาย แล้วก็ตายไป
Die Tomorrow เป็นการบันทึกความทรงจำภายหลังการรัฐประหารปี 49 (2550-2559) ผ่านเรื่องเล่าขนาดสั้นเจ็ดเรื่องที่ยึดโยงกันด้วยการเผชิญหน้ากับความตาย ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจตาย โดยพบว่ามีการนำฉากที่เป็นเหตุการณ์ภายหลัง “การเปลี่ยนแปลง” ของหนังสั้นตอนพี่เติ้ง ซันนี่ น้าค้อม และสัมภาษณ์คุณเปรม มาไว้ก่อน
นอกจากนี้ยังมีการนำหนังสั้นตอนเดียวที่ไม่มีฉากก่อนตาย (คือมีแค่ฉากตายแล้ว) มาใส่ในตอนแรก คือฉากนักธุรกิจหนุ่มนอนตายกว่า 5 ชั่วโมงในตลาดหุ้น ที่เต็มไปด้วยผู้คน ในวันที่ 11 (เหมือนกับเลขบิงโก และเลขหุ้น) ซึ่งต่างจากการตัดต่อเรื่องอื่นๆ ที่จะนำเหตุการณ์ “ก่อนเสียชีวิต” นำมาก่อน (สี่สาวกำลังจะรับปริญญา พี่สาวน้องชายบนดาดฟ้า เต้ยแย่งชิงแบรนด์ แอมบาสเดอร์
หนังใช้การเอาภาพเหตุการณ์หลังการเปลี่ยนแปลงมาใส่ก่อน เห็นวีแต่งตัวด้วยเสื้อเรียบร้อย เดินกลับเข้าห้องประตูสีขาว ที่มีระเบียงสีขาวกับต้นไม้สีเขียว ในโทนสีฟ้า แต่เมื่อเธอเปิดไฟหน้าห้องก็จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงสีเป็นโทนสว่างขาวเหลือง หรืออย่างตอนซันนี่ที่เราเห็นห้องที่ทั้งสองพลอดรักกัน แต่มีเพียงหนังสือ Lonely Planet วางอยู่กลางเตียง ไม่มีถังออกซิเจนสีเขียว มีเพียงแจกันใสใส่ดอกไม้สีขาวกับกวางสีขาวสองตัว
หรืออย่างฉากน้าค้อมที่กลายเป็นลูกสาวใส่เสื้อโทนสีขาวนอนตรงที่ๆ พ่อเธอเสียชีวิตอย่างสงบ เธอเองก็นอนหลับในตอนบ่ายอย่างสงบเช่นกัน และภาพสุดท้ายก่อนเข้าเรื่องสีสาวเราก็เห็นว่าเป็นที่นั่งว่างเปล่าของคุณเปรม มีรูปปั้นพระเยซูข้างผนัง ภาพทั้งหมดถูกถ่ายในเห็นเต็มจอ อันแทนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการณ์เปลี่ยนแปลง ก่อนที่ภาพจะตัดไปที่เหตุกาณ์ก่อนมีการเสียชีวิตในหนังสั้นเรื่องแรก
สี่สาวกำลังจะรับปริญญาในวันรุ่งขึ้น จุดเริ่มต้นของการพูดถึงความฝันของแต่ละคนเริ่มจากที่มีใครคนหนึ่งอ่านดวงในนิตยสารที่กำลังจะปิดตัว พวกเธอล้วนมีความฝันที่จะได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น ที่ไม่ตรงกับที่พวกเธอสอบติด และร่ำเรียน ตรากตรำจนจบมาได้ บางคนอยากขายต้นไม้กับแม่ อยากเป็นนักดีไซเนอร์ชื่อดัง อยากใช้ชีวิตที่นิวยอร์ก มีสามี หางาน (อะไรก็ไม่รู้) ทำ และถึงกับเอ่ยปากว่าจะไม่กลับมาไทยอีก เพราะไม่ตรงจริต
มีเพียงสาวคนเดียวที่ฝันสูงสุดของเธอคือการมีครอบครัวที่อบอุ่น อยู่กันพร้อมหน้าเมื่อเธอกลับจากทำงานในตอนเย็น นี่กลายเป็นความฝันที่เพื่อนคนอื่นมองว่าไม่ท้าทาย ไม่ทะเยอทะยายแบบคนอื่น แต่แท้จริงแล้วนี่คือการเติมเต็มปมในจิตใจที่เธอไม่ได้มีครอบครัวที่พร้อมสนับสนุนแบบคนอื่น หนังสั้นตอนนี้จึงอาจะเรียกได้ว่ามันเป็นภาคต่อของแมรี่ฯ เมื่อแมรี่ได้เข้ามหาฯลัย ชีวิตวุ่นวายสับสนตอนมัธยมฯ แม้ว่าเธอกำลังจะรับปริญญาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า จิตใจเธอก็ยังร้อนรุ่ม ไม่ต่างจากตอนนั้น
พี่เต๋อยังคงชอบเล่นตลกร้าย เมื่อเขาให้ใครคนหนึ่งต้องตายแบบเหลือเชื่อ และเช้าวันรุ่นขึ้นคงเป็นวันหายนะของเพื่อนๆกลุ่มนี้ วันที่พวกเธอจะมีความสุขหลังจากผ่านอุปสรรคมากมายตอนเรียน วัยนักเรียนกำลังจะหมดไป และชีวิตของวัยทำงานกำลังจะเข้ามา ภายในห้องพักนั้นที่เดิมเคยใช้โทนสว่าง ในช่วงที่พวกเธอพูดถึงความฝัน ตอนนี้กลายเป็นสีออกฟ้าน้ำเงิน มีแจกันสีฟ้าใส่อกไม้สีขาวตั้งอยู่โดยที่เราไม่ได้สังเกตจากฉากแรก ฐานเตียงและพื้นพรมในห้องใช้ลายดอกไม้ นิตยสารดูดวงยังวางไว้บนโซฟา จนแม่บ้านเข้ามาเก็บมันทิ้งลงถุงดำ เหมือนอนาคตของพวกเธอที่ได้จบลงแล้วเช่นกัน หนังเลือกที่จะไม่บอกว่าใครตาย เสียงดนตรี่คล้าย Arabesque ของ Debussy ดังขึ้น
ภาพถ่ายฟิล์ม (กล้องถ่ายรูปที่หายไปจากตลาด และกำลังจะกลับมา) ถูกถ่ายโดยพี่ทราย 36 อีกครั้ง เธอถ่ายรูปชีวิตที่นิวยอร์ก หนังสั้นเรื่องที่สามจึงเสมือนหนึ่งเป็นการเล่าเรื่องชีวิตภาคต่อของหนังสั้นตอนแรก ถ้าจูนจูนได้ไปดังที่เธอหวัง มีภาพที่บันได เขียนว่า ถ้าเห็นอะไร จงพูดออกมา ซึ่งมันตลกมากตรงที่ตอนระหว่างนั่งดูคือมันเงียบ และไม่มีใครพุอะไรออกมาเลย ทั้งๆที่เราเห็นภาพมากมายผ่านตา ภาพป้ายห้อยหัว เมืองริมทะเล ภาพเหมือนคนเหมือนพี่อนุชา บุญยวรรธนะเดินลงจากเครื่องบิน ต้นไม้สีเขียวข้างมุ้งลวด ภาพเธอไปเที่ยวทะเลกับใครสักคน ลูกโป่งยิ้มลอยติดเพดานภาพตัดกับน้องฉายที่ไม่ยอมยิ้ม และภาพสุดท้ายในชีวิตของเธอคือน้องหมาริมถนน
พี่ทรายกลับขึ้นไปบนดาดฟ้า (อีกครั้ง) ที่เมืองสุพรรณบุรี ในบรรยากาศโทนฟ้า เธอและทูใส่เสื้อสีฝ้า มีดอกไม้ข้างเธอสีฟ้าและแดง บทสนทนาเมื่อสองพี่น้องไม่ได้เจอกันนานกว่าแปดปี เครื่องเสียงที่เคยฝากซื้อที่ตกเทรนไปแล้ว ทูซักถึงสาเหตุที่ทำให้พี่สาวเธอจู่ๆก็กลับมาที่บ้าน แต่ก็พบว่ามันไม่ได้มีเหตุผล ทั้งๆที่ทุกอย่างไปได้ด้วยดี แต่ถึงเธอจะเกลียดเมืองไทยขนาดไหน สายไฟข้างทางจะย้วยไปถึงพื้น รัฐจะไม่เข้ามาจัดการ แต่ผืนแผ่นดินนี้ก้เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ความทรงจำตั้งแต่เกิดถุกบรรจุอัดไว้ณ แห่งนี้ จึงไม่แปลกถ้าหากพี่ทรายอยากกลับบ้าน
พี่ทรายหิวและบ่นอยากกินอาหารร้านเจ้าเก่า ทูปฏิเสธเพียงเพราะวันนั้นคนที่ร้านจะแน่นเป็นพิเศษ แต่ใครจะไปรู้ว่าพี่ทรายจะไม่มีโอกาสได้กิน ทูกลับขึ้นมาบนดาด้าอีกครั้ง โทนสีถูกเปลี่ยนเป็นสว่างจ้า ดอกไม้สีแดงฟ้าถูกเอาออกไป เหลือเพียงต้นไม้สีเขียวแก่หงอยต้นเดียว กับผ้าปูสีขาวที่ถูกตากทิ้งไว้ ทูขึ้นไปสูบบุหรี่อีกครั้ง เดียวดายเหมือนแปดปีที่ผ่านมา และตลอดไป
น้องมรรคเป็นเด็กที่ตอบคำถามความตายได้เกินวัย โดยปกติถ้าหากเด็กอายุสามขวบจะยังไม่เข้าใจถึงความ irreversibility ของความตาย (มีเข้าใจเพียงร้อยละ 10) เมื่อเทียบกับสี่ขวบที่เขาใจถึงร้อยละ 58 แต่ถ้าหากประมาณ 5-7 ขวบจะเริ่มเข้าใจถึงความ nonfunctionality ของร่างกายหลังจากที่ตายแล้ว เป็นที่เข้าใจกันดีว่าความตายเป็นสากล คือทุกสิ่งมีชีวิตสักวันก็ต้องตาย แต่เด็กบางส่วนจะเข้าใจว่าพ่อแม่ ครูหรือตัวเขาเองสามารถปกกันตัวเองจากภาวะนี้ได้ ดังนั้นเด็กจะเข้าใจว่าก่อนที่คนจะตายเขาจะต้องรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองกำลังจะตาย และถึงแม้ว่าเด็กๆจะเข้าใจถึงความสากลของความตาย เขาหรือเธอก็จะรู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องอันแสนไกล ความตายเป็นเรื่องของคนแก่
อย่างไรก็ตามพบว่ามีเด็กบางส่วนที่จะเข้าใจความตายได้อย่างถ่องแท้ โดยปัจจัยที่สัมพันธืคือการมีปมทางจิตใจ การพรากจากตั้งแต่วัยเด็ก จะทำให้เข้าใจความสากลของความตายเร็วกว่าคนในวัยเดียวกัน เราไม่ได้กำลังจะบอกว่าน้องมรรคปมแต่เราเห็นว่าน้องมรรค (ชื่อทำให้นึกถึงอดีตนายกฯ) เข้าใจความตายได้ไม่เหมือนเพื่อนในวัยเดียวกัน อย่างน้อยเราในวัยนั้นก็คงไม่สนใจเรื่องความตาย และแม้ว่าการเข้าถึงอินเตอร์เนตจะดีเหมือนทุกวันนี้ เราก็คงไม่ใช้วันว่างเป็นการหาคำตอบความหมายชีวิต
การสัมภาษณ์น้องมรรคและทวดเปรม (ชื่อเหมือนใครบางคน) ใช้โทนสีน้ำเงินฟ้า มรรคตอบคำถามว่าขอเลือกที่จะไม่รู้ว่าตัวเองจะตาย เพราะคิดว่าจะเศร้าเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างมีความสุข หนังตัดไปที่เครื่องบินกำลังบินจากพื้นดิน ก่อนจะพบว่าเที่ยวบินลำนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย เปิดเข้าสู่หนังสั้นเรื่องสี่
ซันนี่มีแฟนเป็นโรคหัวใจ (จากฟรีแลนซ์ที่เขาทำงานจนเป็นโรคหัวใจ) กำลังรอคอยความตายของคนอื่นเพื่อให้ตนเองรอด รออย่างสิ้นหวัง ถึงแม้ว่าคำพูดของพลอยในช่วงแรกจะดูเข้มแข็ง การเตือนเพศชายที่ขี้หลงขี้ลืม การตัดเล็บให้ บอกให้เขาใช้ครีมบำรุง สิ่งเหล่านี้เป็นการลดความเป็นชายในตัวซันนี่ และทำให้เธอดูแข็งแกร่งขึ้น เธออาศัยออกซิเจนจากถังเขียว (สีของทหาร) หายใจในห้องนั้นเองที่มีแจกันสีน้ำเงินและดอกไม้สีขาวอีกครั้ง ซันนี่พูดถึงการที่เขาไม่สามารถจะขาดเธอได้ “ตัดเล็บเองก็ไม่เหมือนมีคนตัดให้”
จนกระทั่งซันนี่ออกไปล้างเท้า ความอ่อนโรยภายในใจของพลอยก็ปกคลุมบรรยากาศห้องที่ตกแต่งด้วยม่านสีเหลืองทองโทนสว่าง เธออ่อนเพลีย เบื่อสายระโยงระยางพวกนั้น จนกระทั่งซันนี่เข้ามานวดให้ผ่อนคลาย แต่กลายเป็นว่าเธอยิ่งดูเหมือนอ่อนแรงมากขึ้น เสียงหายใจดังและถี่ขึ้น น้ำตาของความทุกข์ที่อัดอั้นภายในค่อยๆไหล นี่เปรียบเป็นความทรงจำของซันนี่ก่อนที่เขาจะหายไปจากเรดาร์
ภาพตัดไปอีกครั้งเมื่อเครื่องทยานสู่ชั้นอากาศเหนือก้อนเมฆ ปรากฏเป็นทัศนียภาพที่เหมือนชั้นสวรรค์ เขาอาจรับรู้ถึงความรู้สึก ความกังวลที่เขาอาจไม่ได้เจอเธออีกถ้าหากกลับมาจากนิวยอร์ก แต่จริงๆ แล้วเราเองก็ไม่รู้หรอกว่า ใครที่ตายเพราะเครื่องบินลำนั้นก็อาจไม่ใช่เที่ยวบินของซันนี่ และภาพตอนจบทรายนั่งอยู่คนเดียวในห้อง แจกันในภาพสุดท้ายของพลอยก็เป็นแจกันใส ต่างจากแจกันในห้องตอนที่มีซันนี่อยู่ที่เป็นแจกันสีน้ำเงิน ราวกับเป็นเหตุการณ์คนละมิติ หรือช่วงเวลาที่ห่างกันนานมากๆ อาจจะเป็นวิญญาณของเธอที่เคยสัญญาว่าถ้าหากตายไปจะเป็นผีเฝ้าที่ห้องนั้น
ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวหรือไม่ ลุงเปรมได้บอกว่าความตายมันเป็นความทรมานของคนที่อยู่ เขาต้องพบกับการสูญเสียภรรยาและลูก การมีชีวิตอยู่จริงเป็นความทุกข์ แต่ล้วอะไรคือความดีของความตายกันเล่า หนังสั้นเรื่องที่ห้าพูดถึงปฏิกิริยาของเต้ย ที่มีต่อข่าวอุบัติเหตุไม่คาดฝันของฟาริ ฟาริดา นางแบบคู่แข่งที่มาชิงได้งานที่เธอหวังไว้ ประกายดาวที่ติดบนหน้าเธอสองข้าง ดูเหมือนเป็นหยดน้ำตาปลอม ส่วนน้ำตาที่ไหลออกมาระหว่างกินโคล่อนที่เธอค่อยๆแทะ เราเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเธอเสียใจหรือไม่ น้ำตานั้นอาจะเป็นการแสดงเพื่อให้เห็นว่าเธอเสียใจกับการสูญเสียถึงแม้จะเป็นคู่แข่งในวิชาชีพ