หุ้นปันผลคืออะไร คือหุ้นของบริษัทที่สามารถทำรายได้อย่างต่อเนื่อง และมีกำไรสะสม บริษัทมักจะมีนโยบายการจ่ายปันผลเพื่อเป็นการแบ่งกำไรกลับคืนสู่ผู้ถือหุ้นของบริษัท การจ่ายปันผลสามารถจ่ายเป็นลักษณะของเงินปันผล หรืออาจจะจ่ายเป็นหุ้นก็ได้
เงื่อนไขของบริษัทที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ คือ มีกำไรสะสมเป็นบวก ถึงแม้ในงวดบัญชีปัจจุบันกิจการจะมีผลการดำนเนินงานติดลบ แต่ถ้ารวมกับกำไรสะสมแล้วยังเป็นบวกก็สามารถจ่ายเงินปันผลได้หากผู้ถือหุ้นอนุมัติ ( สิ่งหลายคนเข้าใจผิด ) แต่ถ้ากำไรสะสมเป็นลบ ถึงงวดบัญชีปัจจุบันบริษัทจะสามารถสร้างกำไรได้มาก แต่กำไรสะสมสุทธิยังเป็นลบอยู่ ก้ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ ( ไว้จะหาตัวอย่างมาให้ดูวันหลังนะครับ )
การลงทุนในหุ้นโดยใช้กลยุทธ์ "ออมในหุ้น" หรือการสะสมหุ้นปันผลนั้น เป็นกลยุทธ์ที่ดูเหมือนจะทำง่ายที่สุดแต่กลับเป็นวิธีที่ยากมากที่สุด จริงๆแล้วเรื่องของการปันผล เป็นปัจจัยหลักที่นักลงทุนหลายคนใช้ในการตัดสินใจลงทุน แต่นักลงทุนกลับละเลยมันมากที่สุด เรื่องของการปันผล ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แค่ซื้อแล้วถือ แต่ในความเป็นจริงมันถือเป็นศาสตร์ในการคัดเลือกหุ้นอย่างหนึ่งและนี้คือ 5 วิธีในการคัดเลือกและรวยได้ด้วยหุ้นปันผล
1. เลือกคุณภาพมากกว่าปริมาณ
สิ่งที่นักลงทุนถามหาเป็นอันดับเมื่อจะลงทุนหุ้นปันผล คือ "ปันผลสูงไหม" ยิ่งเปอร์เซนต์การปันผลสุง นักลงทุนจะยิ่งได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้นมากเท่านั้น และเมื่อปันผลสูง นักลงทุนจะรู้สึกทำใจได้เมื่อหุ้นตก เพราะอย่างน้อยก็ยังมีปันผล ดูอย่างกองทุน REIT(กองทุนอสังหาริมทรัพย์) เป็นตัวอย่างการลงทุนในหุ้นปันผลที่สูง จะทำให้หุ้นตัวนั้นไม่ผันผวนมากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีวันลง เพราะทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานบริษัทด้วย
เคยมีบทวิจัยเรื่อง ความผันผวนกับการปันผลของหุ้น ผลปรากฏว่าหุ้นที่ปันผลสูงจะมีค่าเบต้า(ความผันผวนของตัวหุ้นเมื่อเทียบกับตลาด) ต่ำกว่าหุ้นที่ไม่มีปันผล เพราะในระยะสั้นแล้ว หุ้นปันผลสูงจะดึงดูดนักลงทุนระยะยาวให้เข้ามาถือหุ้น และนั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นไม่ผันผวนมาก อีกทั้งหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนที่สูงเป็นเป้าหมายของกองทุนประเภท Passive fund อีกด้วย
2. เลือกหุ้นที่ก่อตั้งมายาวนานนักลงทุนที่มีประสบการณ์จะเข้าใจดีว่าตลาดหุ้นจะมีลักษณะเป็นวัฐจักรขึ้น-ลง และมีแนวโน้มที่จะซ้ำรอยเดิมอยู่เสมอ การเลือกหุ้นปันผลสูงไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ได้รับผลกระทบเมื่อตลาดหุ้นตกลง แน่นอนว่าถ้าตลาดหุ้นลง หุ้นเหล่านี้ก็จะลงตามไปด้วย เพราะมันเกิดจากอารมณ์ของตลาด ณ ขนาดนั้น แต่ถ้าบริษัทใดก็ตามที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนานแล้ว (อย่างน้อย 25 ปี) มันมีแนวโน้มที่จะทำ New High ได้อย่างไม่ยากเมื่อตลาดโดยรวมกลับมามีแนวโน้มขาขึ้นอีกรอบ อย่างเช่นหุ้นหลายตัวในปัจจุบันที่กำลังทำ New high อยู่
หุ้นปันผล ถือเป็นภาพลักษณ์ของหุ้นตัวนั้น เมื่อตลาดหุ้นตก นักลงทุนจะสนใจการปันผลเป็นพิเศษ (ซึ่งจริงๆแล้วควรจะสนใจหุ้นที่มีคุณภาพ ราคาถูกมากกว่า) หุ้นตัวไหนปันผลสูง นักลงทุนจะเข้าไปซื้อแล้วถือ เป็นผลให้ราคาจะไม่ลงมากนักนั้นเองครับ
3. มองหาการเติบโตที่มีประสิทธิภาพ
กับดักของนักลงทุนที่ไม่มีประสบการณ์ คือ การกระโดดไปซื้อหุ้นบริษัทหน้าใหม่ที่ยังไม่มีผลงานแต่มีเรื่องราวการปันผลที่น่าตื่นเต้น ( โดยเฉพาะหุ้น IPO ในปัจจุบัน บางบริษัท ) สิ่งที่ควรทำ คือ ทำความเข้าใจการทำงานของบริษัท บริษัททำมาหากินอย่างไร แล้วในอดีตเคยมีการปันผลหรือไม่ ปัจจุบันเงินปันผลคิดเป็นอัตราส่วนเท่าไรต่อกำไรต่อหุ้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้นักลงทุนมองเห็นภาพอนาคต ว่าในอนาคตบริษัทหน้าใหม่เหล่านั้นจะมีการปันผลอย่างไร
คุณภาพของการเติบโต คือ การทำความเข้าใจถึงสัดส่วนรายได้ของบริษัทว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ตัวอย่างที่นักลงทุนหลายคนทำพลาด คือ การปันผลของบริษัทที่เกิดจากกำไรพิเศษไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัท นักลงทุนผู้มีประสบการณ์จะเข้าไปค้นคว้าว่ากำไรที่นำมาปันผลให้ผู้ถือหุ้น คือส่วนไหนของรายได้ เกิดขึ้นอย่างไร สามารถเกิดขึ้นอีกได้ไหมในอนาคต
4. ระวังหุ้นที่ปันผลสูง(มาก) จนเกินไป
ดาบสองคมของบริษัทที่มีการปันผลที่สูง คือ “ การที่บริษัทบอกเป็นนัยๆว่า ไม่รู้จะลงทุนอะไรดี แต่บริษัทมีกำไรสะสมมาก จึงปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้มาก นั้นคือสัญญาณว่าจุดตกต่ำของบริษัทกำลังมา ”
นักลงทุนต้องเข้าใจว่า การปันผลของนักลงทุนในวันนี้ คือ การลงทุนของบริษัทเมื่อ 3-4 ปีก่อน ในเมื่อบริษัทมีการปันผลมากวันนี้ แล้วจะเก็บกำไรตรงส่วนไหนไว้ไปลงทุนต่อเพื่อสร้างผลกำไรในอนาคต และนี้เป็นจุดสำคัญที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ บริษัทไม่ได้สร้างเงินขึ้นมาจากอากาศ แต่สร้างเงินมาจากการลงทุนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แล้วการลงทุนในวันนี้จะส่งผลให้บริษัทมีรายได้ในปีถัดๆไป ( บริษัทลงทุนเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ ของที่ใช้ในการดำเนินงานย่อมมีการเสื่อมและล้าสมัยไปตามการเวลา )
5. รู้ว่าเมื่อไร ควรซื้อ
เมื่อไรควรถือวอเร็น บัฟเฟตต์ บอกไว้ว่า นักลงทุนควรทำตัวเป็นนักลงทุนระยะยาว และจงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว ซื้อหุ้นในขณะที่คนอื่นกลัว ไม่ใช่ซื้อในขณะที่คนอื่นกำลังซื้อด้วย อัตราการปันผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้อมูล ณ ปัจจุบัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีต้นทุนราคาอยู่ที่เท่าไร คนที่มีต้นทุน 1 บาท หุ้นปันผล 0.2 บาท เท่ากับว่าหุ้นตัวนั้นปันผล 20 % ในขณะที่คนมีต้นทุน 5 บาท แต่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลเท่ากัน 0.2 บาท จะได้อัตราปันผลที่ 4%
ตัวอย่างบริษัทที่เห็นชัดเจนคือหุ้นที่เปลี่ยนชีวิต ดร.นิเวศ CPALL ปีนี้ บริษัท CPALL ประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ถ้าคำนวณแล้วปีนี้ ดร.นิเวศน์ จะได้รับปันผล 45 ล้านบาท หรือคิดง่ายๆว่า ดร.นิเวศน์ได้รับเงินปันผลจาก CPALL ถึงเดือนละ 3.75 ล้านบาท แล้วถ้า ดร.นิเวศมีทุน CPALL อยู่ที่ 9 บาทล่ะ ( เขาเล่ากันมานะครับ ) เท่าอัตราผลตอบจากเงินปันผลปีละ 11.11 % แต่เมื่อเทียบคนซื้อหุ้น CPALL ในปัจจุบันที่ราคา 74 บาท มีอัตราปันผลเพียงแค่ 1.35 % ต่างกันถึง 8.22 เท่าตัวเลยทีเดียว นิคือพลังของการลงทุนในบริษัทที่ดี มีอนาคตในระยะยาว ใครเห็นโอกาสก่อนย่อมได้เปรียบแต่เท่านั้นยังไม่พอต้องมีการอดทนสูงด้วย
https://www.facebook.com/financialsecretsfs/ ความลับทางการเงิน
5 วิธีเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยหุ้นปันผล
เงื่อนไขของบริษัทที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ คือ มีกำไรสะสมเป็นบวก ถึงแม้ในงวดบัญชีปัจจุบันกิจการจะมีผลการดำนเนินงานติดลบ แต่ถ้ารวมกับกำไรสะสมแล้วยังเป็นบวกก็สามารถจ่ายเงินปันผลได้หากผู้ถือหุ้นอนุมัติ ( สิ่งหลายคนเข้าใจผิด ) แต่ถ้ากำไรสะสมเป็นลบ ถึงงวดบัญชีปัจจุบันบริษัทจะสามารถสร้างกำไรได้มาก แต่กำไรสะสมสุทธิยังเป็นลบอยู่ ก้ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ ( ไว้จะหาตัวอย่างมาให้ดูวันหลังนะครับ )
การลงทุนในหุ้นโดยใช้กลยุทธ์ "ออมในหุ้น" หรือการสะสมหุ้นปันผลนั้น เป็นกลยุทธ์ที่ดูเหมือนจะทำง่ายที่สุดแต่กลับเป็นวิธีที่ยากมากที่สุด จริงๆแล้วเรื่องของการปันผล เป็นปัจจัยหลักที่นักลงทุนหลายคนใช้ในการตัดสินใจลงทุน แต่นักลงทุนกลับละเลยมันมากที่สุด เรื่องของการปันผล ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แค่ซื้อแล้วถือ แต่ในความเป็นจริงมันถือเป็นศาสตร์ในการคัดเลือกหุ้นอย่างหนึ่งและนี้คือ 5 วิธีในการคัดเลือกและรวยได้ด้วยหุ้นปันผล
1. เลือกคุณภาพมากกว่าปริมาณ
สิ่งที่นักลงทุนถามหาเป็นอันดับเมื่อจะลงทุนหุ้นปันผล คือ "ปันผลสูงไหม" ยิ่งเปอร์เซนต์การปันผลสุง นักลงทุนจะยิ่งได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้นมากเท่านั้น และเมื่อปันผลสูง นักลงทุนจะรู้สึกทำใจได้เมื่อหุ้นตก เพราะอย่างน้อยก็ยังมีปันผล ดูอย่างกองทุน REIT(กองทุนอสังหาริมทรัพย์) เป็นตัวอย่างการลงทุนในหุ้นปันผลที่สูง จะทำให้หุ้นตัวนั้นไม่ผันผวนมากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีวันลง เพราะทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานบริษัทด้วย
เคยมีบทวิจัยเรื่อง ความผันผวนกับการปันผลของหุ้น ผลปรากฏว่าหุ้นที่ปันผลสูงจะมีค่าเบต้า(ความผันผวนของตัวหุ้นเมื่อเทียบกับตลาด) ต่ำกว่าหุ้นที่ไม่มีปันผล เพราะในระยะสั้นแล้ว หุ้นปันผลสูงจะดึงดูดนักลงทุนระยะยาวให้เข้ามาถือหุ้น และนั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นไม่ผันผวนมาก อีกทั้งหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนที่สูงเป็นเป้าหมายของกองทุนประเภท Passive fund อีกด้วย
2. เลือกหุ้นที่ก่อตั้งมายาวนานนักลงทุนที่มีประสบการณ์จะเข้าใจดีว่าตลาดหุ้นจะมีลักษณะเป็นวัฐจักรขึ้น-ลง และมีแนวโน้มที่จะซ้ำรอยเดิมอยู่เสมอ การเลือกหุ้นปันผลสูงไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ได้รับผลกระทบเมื่อตลาดหุ้นตกลง แน่นอนว่าถ้าตลาดหุ้นลง หุ้นเหล่านี้ก็จะลงตามไปด้วย เพราะมันเกิดจากอารมณ์ของตลาด ณ ขนาดนั้น แต่ถ้าบริษัทใดก็ตามที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนานแล้ว (อย่างน้อย 25 ปี) มันมีแนวโน้มที่จะทำ New High ได้อย่างไม่ยากเมื่อตลาดโดยรวมกลับมามีแนวโน้มขาขึ้นอีกรอบ อย่างเช่นหุ้นหลายตัวในปัจจุบันที่กำลังทำ New high อยู่
หุ้นปันผล ถือเป็นภาพลักษณ์ของหุ้นตัวนั้น เมื่อตลาดหุ้นตก นักลงทุนจะสนใจการปันผลเป็นพิเศษ (ซึ่งจริงๆแล้วควรจะสนใจหุ้นที่มีคุณภาพ ราคาถูกมากกว่า) หุ้นตัวไหนปันผลสูง นักลงทุนจะเข้าไปซื้อแล้วถือ เป็นผลให้ราคาจะไม่ลงมากนักนั้นเองครับ
3. มองหาการเติบโตที่มีประสิทธิภาพ
กับดักของนักลงทุนที่ไม่มีประสบการณ์ คือ การกระโดดไปซื้อหุ้นบริษัทหน้าใหม่ที่ยังไม่มีผลงานแต่มีเรื่องราวการปันผลที่น่าตื่นเต้น ( โดยเฉพาะหุ้น IPO ในปัจจุบัน บางบริษัท ) สิ่งที่ควรทำ คือ ทำความเข้าใจการทำงานของบริษัท บริษัททำมาหากินอย่างไร แล้วในอดีตเคยมีการปันผลหรือไม่ ปัจจุบันเงินปันผลคิดเป็นอัตราส่วนเท่าไรต่อกำไรต่อหุ้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้นักลงทุนมองเห็นภาพอนาคต ว่าในอนาคตบริษัทหน้าใหม่เหล่านั้นจะมีการปันผลอย่างไร
คุณภาพของการเติบโต คือ การทำความเข้าใจถึงสัดส่วนรายได้ของบริษัทว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ตัวอย่างที่นักลงทุนหลายคนทำพลาด คือ การปันผลของบริษัทที่เกิดจากกำไรพิเศษไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัท นักลงทุนผู้มีประสบการณ์จะเข้าไปค้นคว้าว่ากำไรที่นำมาปันผลให้ผู้ถือหุ้น คือส่วนไหนของรายได้ เกิดขึ้นอย่างไร สามารถเกิดขึ้นอีกได้ไหมในอนาคต
4. ระวังหุ้นที่ปันผลสูง(มาก) จนเกินไป
ดาบสองคมของบริษัทที่มีการปันผลที่สูง คือ “ การที่บริษัทบอกเป็นนัยๆว่า ไม่รู้จะลงทุนอะไรดี แต่บริษัทมีกำไรสะสมมาก จึงปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้มาก นั้นคือสัญญาณว่าจุดตกต่ำของบริษัทกำลังมา ”
นักลงทุนต้องเข้าใจว่า การปันผลของนักลงทุนในวันนี้ คือ การลงทุนของบริษัทเมื่อ 3-4 ปีก่อน ในเมื่อบริษัทมีการปันผลมากวันนี้ แล้วจะเก็บกำไรตรงส่วนไหนไว้ไปลงทุนต่อเพื่อสร้างผลกำไรในอนาคต และนี้เป็นจุดสำคัญที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ บริษัทไม่ได้สร้างเงินขึ้นมาจากอากาศ แต่สร้างเงินมาจากการลงทุนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แล้วการลงทุนในวันนี้จะส่งผลให้บริษัทมีรายได้ในปีถัดๆไป ( บริษัทลงทุนเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ ของที่ใช้ในการดำเนินงานย่อมมีการเสื่อมและล้าสมัยไปตามการเวลา )
5. รู้ว่าเมื่อไร ควรซื้อ
เมื่อไรควรถือวอเร็น บัฟเฟตต์ บอกไว้ว่า นักลงทุนควรทำตัวเป็นนักลงทุนระยะยาว และจงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว ซื้อหุ้นในขณะที่คนอื่นกลัว ไม่ใช่ซื้อในขณะที่คนอื่นกำลังซื้อด้วย อัตราการปันผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้อมูล ณ ปัจจุบัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีต้นทุนราคาอยู่ที่เท่าไร คนที่มีต้นทุน 1 บาท หุ้นปันผล 0.2 บาท เท่ากับว่าหุ้นตัวนั้นปันผล 20 % ในขณะที่คนมีต้นทุน 5 บาท แต่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลเท่ากัน 0.2 บาท จะได้อัตราปันผลที่ 4%
ตัวอย่างบริษัทที่เห็นชัดเจนคือหุ้นที่เปลี่ยนชีวิต ดร.นิเวศ CPALL ปีนี้ บริษัท CPALL ประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ถ้าคำนวณแล้วปีนี้ ดร.นิเวศน์ จะได้รับปันผล 45 ล้านบาท หรือคิดง่ายๆว่า ดร.นิเวศน์ได้รับเงินปันผลจาก CPALL ถึงเดือนละ 3.75 ล้านบาท แล้วถ้า ดร.นิเวศมีทุน CPALL อยู่ที่ 9 บาทล่ะ ( เขาเล่ากันมานะครับ ) เท่าอัตราผลตอบจากเงินปันผลปีละ 11.11 % แต่เมื่อเทียบคนซื้อหุ้น CPALL ในปัจจุบันที่ราคา 74 บาท มีอัตราปันผลเพียงแค่ 1.35 % ต่างกันถึง 8.22 เท่าตัวเลยทีเดียว นิคือพลังของการลงทุนในบริษัทที่ดี มีอนาคตในระยะยาว ใครเห็นโอกาสก่อนย่อมได้เปรียบแต่เท่านั้นยังไม่พอต้องมีการอดทนสูงด้วย
https://www.facebook.com/financialsecretsfs/ ความลับทางการเงิน