ออกตัวก่อนว่ากระทู้นี้ไม่ดราม่านะคะ และเราไม่ใช่กูรูนางงามอะไรด้วย ขอกรุณาแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ
เรามีความชอบในเรื่องแฟชั่น ชอบเขียนการ์ตูนผู้หญิง รวมไปถึงการออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นบ้างเล็กน้อย ชอบประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า
แต่ก็ชอบความเป็นโมเดิร์นอาร์ท จินตนาการ เพราะเป็นคนชอบการ์ตูน จึงเปิดรับความคิดจินตนาการที่หลุดกฎหรืออนุรักษ์นิยมได้
แถมอีกนิดว่าเราเรียนสื่อสารมวลชนมาบ้าง การใช้สื่อโซเซียล ชอบตามข่าวเหตุบ้านการเมือง (แต่ขอกรุณาอย่าแท็คโยงกีฬาสี)
เราติดตามดูการประกวดตั้งแต่ปี 2015 ที่กองประกวด MU เปลี่ยนรูปแบบให้ประชาชนชาวโลกสามารถโหวตคะแนนให้นางงามได้ทางโซเซียลมีเดีย แทนที่จะให้อำนาจการตัดสินอยู่แต่ในมือกรรมการและไม่เห็นผลคะแนนชัดเจน คิดว่า MU ฉลาดในการเล่นการตลาดรายการแบบนี้ เพราะรายการแนวแข่งขันที่เปิดให้ผู้ชมทางบ้านสามารถโหวตได้ ยังเป็นวิธีการยอดนิยมที่ทำให้รายการน่าติดตาม โดยเฉพาะการเล่นกระแสนางงามในชาติที่การประกวดนางงามเป็นวาระแห่งชาติ เช่น เวเนซุเอล่า ฟิลิปปินส์(ชาตินี้ดูถูกไม่ได้เลย เวลาเขาเชียร์นักกีฬา ดารา นางงาม แทบจะหยุดตีกันชั่วคราว มานั่งกดยิกๆส่งโหวตเพื่อชาติ) ไม่แพ้ไทยแลนด์เช่นกัน (จริงๆ ญี่ปุ่นเขาก็เล่นทวิสเตอร์กันเยอะนะ แต่เขาไม่ค่อยเล่น FB เลยไม่รู้ว่ากระแสแพ้ หรือญี่ปุ่นเขาไม่เห่อนางงามกัน) (พ่อเรายังบ่นเลยว่า งี้ประเทศไหนไม่มีทวิสเตอร์กับ FB เล่น ก็แพ้นะซิ...ก็นะ มันช่วยไม่ได้อ่ะ ถ้าอยากชนะคนในชาติก็ต้องร่วมเชีนร์ช่วยกันนั่นแหละ แต่คิดว่ามันเป็นการโหวตที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว อยากชนะในเกมก็ต้องไปขวนขวายเล่นตามกติกา)
การดูประกวด MU ของเรา อาจจะมองในเชิงความงามเป็นรอง แต่เรามองในเรื่องการเมืองที่แทรกมานิดหน่อยในรอบตอบคำถาม คำถามและคำตอบหลายข้อของผู้แพ้และผู้ชนะ บางคนตอบตามใจตนเองแต่โดนด่า บางคนตอบตามการเทรนด์ยังโดนว่าไม่จริงใจ นอกจากนั้นก็มีสาระให้แฝงกลับไปคิดด้วย
หลังจากจบ MU 2017 บอกตรงๆว่าเรายังคิดเลยว่า มงคงไม่ลงไทยแลนด์แน่ เพราะคิดอยู่แล้วว่าตัวเต็งไม่น่าจะได้ แต่ก็เชียร์อยากให้น้องเข้าไปติด TOP3...แต่เอาเถอะว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว มารีญาก็ทำเต็มที่แล้ว และก็คงเสียใจที่ทำความหวังไม่สำเร็จ ไม่อยากให้โทษเธอ เพราะถ้าเราเป็นเธอไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเจอคำถาม social movement ขนาดเรียนสื่อมา อาจมีติดสตั้นซ์ จะต้องขอเวลานอกกลับไปอ่านความหมายกันเลยก็ได้
เกิร่นมาเยอะ เราก็จะมาเข้าเรื่องสักทีว่า...ตั้งแต่เรานั่งอ่านนั่งดูกระแสทิศทางคำเชียร์คำด่า แต่เราไม่ควรปล่อยให้เป็นเพียงกระแสแล้วก็หายไป เราน่าจะเอาความผิดพลาด และข้อได้เปรียบของผู้ชนะมาเป็นเกณฑ์ในการคัด MUT 2018 ปีหน้า ว่าควรจะได้ผู้หญิงแบบใดส่งไปแข่ง MU2018 เพื่อความหวังให้เข้าใกล้มงไปเรื่อยๆ ในเมื่อไทยแลนด์จะลงมาแข่งกับวงการนี้เต็มตัว ก็ควรศึกษาคู่แข่งที่ชนะปีก่อน เพื่อจะได้เก็งข้อสอบกันว่าทำยังไงปีหน้าไทยแลนด์จะชนะ (เรื่องการโหวตไม่น่ากังวลแล้ว เพราะมันกลายเป็นวาระแห่งชาติของคนไทย ที่พร้อมใจกันจะช่วยกันเชียร์อยู่แล้ว)
1. ลูกครึ่งหรือไทยแท้? สูงหรือกระทัดรัด? ผอมหรืออวบ? ตอนปี 2015-2016 ตอนแรกเราคิดว่าส่งแนวไทยแท้ไปเลยดีกว่าไหม คือให้เป็นเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ไปเลย แต่พอเห็นปี 2017 มารีญาเป็นลูกครึ่งที่ออกฝรั่งสุดๆ ก็ยังได้เข้าถึงรอบ TOP5 ซึ่งเรามองว่ากรรมการคงไม่ได้คิดแล้วว่านางงามชาตินั้นควรจะมีหน้าตาตามเอกลักษณ์ของชาติไหม (แม้ว่าเท่าที่จับจุดรอบ TOP15 เขาจะคัดพวกชาติพันธุ์แท้เข้ามาอย่างละคน อย่างผิวสีอย่าง USA จาไมก้า และเอเชียนอย่างจีนเข้ามา เพื่อให้นางงามมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์แท้ เหมือนเป็นการแสดงว่าเขาเปิดเวทีกว้างในเรื่องของชาติพันธุ์ คุณจะเป็นชาติพันธุ์แท้หรือลูกครึ่งก็ได้ทั้งนั้น เพื่อเป็นการทำลายอคติในการเหยียดชาติพันธุ์ขอการประกวดในยุคก่อนๆ ที่จะต้องเอาฝรั่งจ๋าอย่างเดียวเท่านั้น (ตอนแรกยังงงว่าจีนติดได้ไง เพราะจีนแผ่นดินใหญ่เขาไม่มี FB กับทวิสเตอร์นิ แล้วโหวตให้เข้าได้ไง ยังคิดเลยว่าจีนติดเพราะมีเอี่ยวเรื่องผลประโยชน์การเมืองหรือเปล่า แต่พอนางตกรอบ ก็เลิกคิด) ส่วนจะสูงจะเตี้ย จะผอมจะอวบ ยังไงก็ไม่ว่ากัน แต่จะต้องสวยในแบบรูปร่างอย่างนั้น ไม่ใช่ผอมก็ผอมเกิน อวบก็อ้วนปริไป ก็ขนาดคนที่มงลง ตัวยังเล็กกว่ามารีญาอีก ดังนั้น MUT ไทยแลนด์ จะหน้าตาลูกครึ่งหรือไทยแท้ก็ได้ค่ะ คิดว่าคนไทยพร้อมเชียร์ทั้งนั้น
2. บุคลิก เท่าที่ดูผู้ชนะ 2016-2017 บุคลิกจะเป็นผู้หญิงที่จับจุดได้ก็คือ มั่นใจ คือต้องมั่นใจมากๆ มั่นใจทั้งการเดิน การยิ้ม การพรีเซ้นส์เสื้อผ้า มั่นในการใช้สื่อ การตอบคำถาม มั่นใจในความคิดที่ตอบออกไป ประมาณว่าฉันสวยที่สุดในจักรวาลสมกับตำแหน่ง เจ้าตัวต้องคิดออร่ารัศมีเพื่อนนางงามข้างๆไม่สามารถทำอะไรฉันได้ ถ้ามองแบบจริตคนไทยอาจจะหมั่นไส้คนที่ทำตัวมั่นเยอะ ถ่อมตัวซะบ้างเถอะ...ซึ่งมันไม่ใช่จริตความชอบของกรรมการที่ส่วนใหญ่เป็นอเมริกาที่เขามีความคิดหัวเสรีหรอกค่ะ ไม่ใช่อนุรักษ์นิยมเหมือนอังกฤษด้วย ดังนั้นเราว่าบุคลิกถ่อมตัวไม่น่าจะเหมาะกับการจะมงลง (ยกเว้นปีหน้ากรรมการจะเปลี่ยนแนวนางงามอีก) ดังนั้นเพื่อเพลย์เซฟ เราว่าคัดน้องที่มีบุคลิกมั่นใจ ไม่ตื่นเวที ไม่ประหม่าจะดีที่สุด เพราะถ้าน้องมั่นใจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้น ชุดโป๊หรือเจอคำถามยาก แต่ถ้าคนที่มั่นใจตัวเองมาก เขาจะมีไหวพริบในการแสดงออกมาได้ดีที่สุด ไม่มีหลุดประหม่า ไม่มีอะไรจะฆ่าฉันได้
3.ความเฟรนลี่ มีมนุษย์สัมพันธ์ดี งานโซเซียลก็ต้องมา...จากที่ดูการเก็บคะแนนการประกวด เขาจะเริ่มต้นเก็บคะแนนกันตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในกองประกวด นางงามจะต้องมีมนุษยสัมพันธ์ดี มีความเฟรนลี่ที่ต้องแสดงความจริงใจต่อเพื่อนนางงาม (ถึงแม้เราๆท่านๆจะรู้ว่าจริงๆมันก็คือสงครามนางงามก็ตาม) แต่เรื่องเฟรนลี่มนุษยสัมพันธ์ดีจะมีชัยไปกว่าครึ่ง อย่าลืมว่าถ้ามงลง MU มีหน้าที่จะต้องเป็นตัวแทนไปออกงานทั้งหลายแหล่ และอีกตัวสำคัญที่ให้เข้าใกล้มงก็คือ นางงามต้องเป็นงานโซเซียล ต้องมีการอัพเดตอัปโหลดภาพลงโซเซียล ยิ่งถ้าเป็นสื่อเดียวกับที่ใช้ในการโหวตของ MU ด้วยยิ่งดี เพราะเป็นเหมือนการประชาสัมพันธ์งาน...กองประกวดเขาก็ต้องการคนที่เป็น PR ประชาสัมพันธ์แบบนี้แหละ ควรนำเสนอตัวเองให้เต็มที่(แต่ไม่ใช่การแย่งซีน) คนที่ทำตัวเงียบหรือถ่อมตัวอาจไม่เหมาะกับงานนี้ (บางคนที่เป็นม้ามืดเข้ารอบ บางทีเขาก็อาจจะโปรโมทในบ้านเค้าก็ได้ แต่เราๆแค่สนใจในนางงามชาติตัวเองเท่านั้น เลยอาจจะไปคิดว่าเขากระแสเงียบ) และควรจะอ่านออกฟังภาษาอังกฤษได้ดี เพราะมันจะสะดวกในการพูดสื่อสารกับทีมงานและเพื่อนๆได้ เหมือนนักฟุตบอลที่ไปค้าแข้งในต่างประเทศ คนที่อยากเจริญก้าวหน้าก็ลงทุนไปเรียนภาษาประเทศนั้นเลย เพื่อจะได้สื่อสารกับทีมงานได้สะดวก และมันจะทำให้เกิดความผ่อนคลายในการทำกิจกรรม การทำงานไปด้วย...เพราะเราเป็นคนที่ฟังภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ถึงเข้าใจว่ามันเครียดขนาดไหนในการต้องสื่อสารแบบใช้สื่อแปลที่มันไม่สะดวก
4. การติวตอบคำถาม อันนี้เราว่าสำคัญมาก ไทยเรามาหยุดก็ตรงตอบคำถามนี่แหละ เราจะไม่ว่าน้องตอบผิดหรือถูก เพราะเราไม่มีวันรู้คำถามกันทั้งนั้น แต่การประกวดที่ผ่านมาเราจับจุดกันได้แล้วว่า เขาไม่ใช้การจับฉลากกันอีกแล้ว แต่เอาสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศนั้นๆมาถาม ใครจะรู้ว่าปีหน้าถ้าไทยแลนด์เข้าไปถึงรอบคำถามอีก(ซึ่งคาดว่าน่าจะได้เข้าแน่นวล) จะเจอคำถามแรงหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้...เราว่าควรให้น้องได้ไปติวเตอร์กับอาจารย์ที่รู้เหตุบ้านการเมืองไว้ล่วงหน้านานๆหน่อย อย่างมากก็เดือนนึง ติววันละชั่วโมงก็ยังดี หรือให้น้อยที่สุดก็อาทิตย์นึง วันละหลายชั่วโมง แต่ไม่ใช่ติวแค่วันเดียวค่ะ ไม่พอหรอก...คนเรียนสื่อสารมวลชนมา มีแบล็กกราวน์ความรู้อยู่แล้ว ก่อนสอบยังต้องอ่านหนังสือเป็นเดือน จะไปคาดหวังให้นางงามที่อาจจะไม่มีแบล็กกราว์ความรู้ ให้จำแค่วันเดียว แล้วจะให้มาตอบให้ทันภายใน 30 วิได้ยังไง (ยกเว้นจะโชคดีได้น้องที่เรียนทางนี้มา) อนึ่งถ้าติวเรื่องนี้ได้ดี ติวแล้วต้องเข้าใจด้วย ไม่ใช่มาติวเพื่อให้จำ เพราะถ้าได้น้องที่มีความมั่นใจในตอบ และมีความเข้าใจจัดแจ้งในเรื่องนี้ จะมีชัยไปกว่าครึ่ง...แล้วการตอบคำถาม ไม่ควรไปเอาจริตแบบไทยที่ว่าตอบสั้นๆกระทัดรัดได้ใจความ ไปไซโคว่าต้องตอบให้ได้ภายใน 30 วิ แบบนั้นเราว่าโครตกดดันให้น้องคิดหาคำตอบไม่ทัน...ลองดูคนที่ชนะ เขาก็น่าจะพูดยาวเกิน 30 วิด้วย แต่เขามีการเว้นช่องไฟ มีการขยายความของคำตอบให้แจ้มแจ่ง...หรือถ้าอยากให้เพลย์เซฟ แนะนำว่ารอบหน้า ให้ MUT รีเควสขอล่ามให้น้องค่ะ เพราะทริคนี้นางงามชาติอื่นใช้กันมาแล้ว นางงามหลายชาติฟังภาษาอังกฤษออก แต่ขอล่ามแปล เพื่อเป็นทริกในการซื้อหรือยื้อเวลาที่จะคิดคำตอบได้ ซึ่งมันไม่ได้ผิดกติกาใดๆแล้วนิ ถ้ารู้ว่ามีจุดอ่อนกันตรงนี้ ปีหน้าลองใช้ล่ามดูก็ไม่เสียหายอะไร
นอกนั้นจะเป็นความเห็นส่วนตัวของเราในเรื่องชุดประจำชาติ...เราว่าน่าจะกลับไปทำเป็นแฟนตาซีโมเดิร์นแบบยุคแนท 2015 ดีกว่าไหม เพราะไทยเราเมื่อก่อนนี้คือจองโควต้ากวาดรางวัลชุดประจำชาติมาเป็นประจำอยู่แล้ว แต่พอเรากลับมาทำเป็นไทยแท้ในปี 2016-2017 เราไม่ได้รางวัลนี้กันเลย แล้วดูปีนี้ญี่ปุ่นเขาได้ซิ ทั้งที่เทคนิคการตัดผ้าอะไรไม่ค่อยแปลกใหม่นะ ไม่ได้อลังการงานปักอะไรมาก (จริงๆเราไม่ค่อยชอบแนวเรียบนะ เราชอบพวกมีลูกเล่นมากกว่า) เราว่าน่าจะกลับไปเป็นแฟนตาซีดีกว่า เปิดให้ดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ได้มีการประกวดแบบเข้ามาอย่างเมื่อก่อนเลย เราไม่อยากให้คิดว่าก็เราจะเสนอความเป็นไทยแท้อ่ะ เราจะต้องไปเป็นแฟนตาซีทำไม...คือพูดกันตรงๆ เราไปประกวดก็อยากได้รางวัลกันไม่ใช่หรือคะ? เราไม่เชื่อหรอกว่าจะลงทุนทำอะไรลงไปแล้วไม่หวังผลหรอก คือเราสงสารทีมปักชุดไทยแท้ด้วยอ่ะ เหนื่อยนะลงแรงไปแล้วชุดไม่ได้รางวัล แต่ชุดที่ได้รางวัลเรียบกว่า(ปีนี้ยังแอบสงสารพม่าเลย ว่าอุตส่าห์จัดเต็มมายังไม่ได้) อีกอย่างถ้าเราเป็นกรรมการ เราก็คงอยากเห็นการนำเสนออะไรที่มีการประยุกต์ให้ทันสมัย สร้างความแปลกใหม่บ้าง ถ้ามาแบบแนววัฒนธรรมดั้งเดิมจ๋าทุกปี มันไม่มีอะไรแปลกใหม่ กรรมการเขาคงไม่ได้ขึ้นมาดูหรอกว่าผ้านี้ปักยังไงกัน ทีมงานจะปักกันเหนื่อยยากแค่ไหน เพราะมีเวลาพรีเซ้นส์กันยังไม่ถึง 5 นาที (อันนี้ขอพูดตรง เพราะเราก็มีประสบการณ์ลงทุนทำงานที่ใช้ความละเอียดมาแล้ว แต่ได้คะแนนน้อยกว่า เพราะจริตกรรมการไม่ได้ตรงใจเราคิดไง) การประกวดมันคือการต้องเอาชนะใจกรรมการให้ได้ ไม่ใช่ให้กรรมการมาเห็นใจความเหนื่อยยากในการทำงาน
พูดเรื่องชุดประจำชาติแล้ว ก็อยากให้มีการเปิดการประกวดดีไซเนอร์ชุดราตรีไปด้วยเลย เปิดโอเพ่นให้ดีไซเนอร์ไทยรุ่นใหม่ๆได้นำเสนอกันบ้าง เราเชื่อว่าในไทยมีช้างเผือกเยอะ ดีไซเนอร์ไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่จะมีแพ้ในบ้านตัวเอง เพราะเจอการสกัดดาวรุ่งระบบอุปถัมภ์แบบไทยนี้แหละ ที่ยังยึดติดกับการต้องเป็นแบรนด์แนวหน้าเดิมๆ ต้องเป็นของรุ่นพี่เท่านั้นถึงจะดีเลิศสุด ไม่เปิดรับสิ่งใหม่จากรุ่นใหม่ให้มีส่วนร่วมบ้าง...จริงอยู่ว่าต่อให้ปีหน้าจะได้ชุดแย่จากระบบเส้นราดหน้าแค่ไหน คนไทยก็ต้องอดทนโหวตให้น้องเข้าให้ได้อยู่ดี แต่มันจะกลายเป็นคำอ้างจากเส้นราดหน้าว่า ชุดราตรีเข้ารอบได้เพราะชุดเขา (ทั้งที่มันก็ต้องอิงคะแนนโหวตด้วย ซึ่งพูดกันตรงๆ อาจไม่ได้โหวตเพราะชุดดีหรอก แต่โหวตเพราะอยากให้น้องเข้ารอบ) เรายังเจ็บปวดกับระบบอุปถัมภ์กันไม่พออีกหรือ
ถ้าไทยแลนด์อยากจะเข้าไปในวงการนี้เต็มตัว ควรจะไปให้สุดๆแบบดีไปเลย แบบดีที่ต้องโดนใจกรรมการด้วย เอาให้สวยดีเลิศสุดๆแบบไม่มีอะไรให้ติแบบดราม่าปีนี้...ถ้าปีหน้าเราได้น้องใหม่ที่ทำอย่างมั่นใจเต็มที่ ทีมงานทำอย่างเต็มที่ ชุดนำเสนอออกมาอย่างสวยเลิศและโดนใจกรรมการ เราว่าไทยแลนด์มีชัยไปเกินครึ่งแล้ว นอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาว่าเราจะไปถึงมงกันได้ไหม แม้ว่าจะมีความเคลือบแคลงสงสัยเรื่องล็อกไม่ล็อกก็ตาม แต่ถ้าทำเต็มที่ทุกด้านสุดๆแล้ว ต่อให้มงไม่ลงก็ยังรักเธอต่อไป ไทยแลนด์...
...ขอจบบทความการนำเสนอวิเคราะห์ของเราเพียงเท่านี้ค่ะ
มิสยูนิเวิร์คไทยแลนด์ปีหน้า ควรได้ผู้หญิงแบบใดส่งไปแข่ง MU 2018
เรามีความชอบในเรื่องแฟชั่น ชอบเขียนการ์ตูนผู้หญิง รวมไปถึงการออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นบ้างเล็กน้อย ชอบประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า
แต่ก็ชอบความเป็นโมเดิร์นอาร์ท จินตนาการ เพราะเป็นคนชอบการ์ตูน จึงเปิดรับความคิดจินตนาการที่หลุดกฎหรืออนุรักษ์นิยมได้
แถมอีกนิดว่าเราเรียนสื่อสารมวลชนมาบ้าง การใช้สื่อโซเซียล ชอบตามข่าวเหตุบ้านการเมือง (แต่ขอกรุณาอย่าแท็คโยงกีฬาสี)
เราติดตามดูการประกวดตั้งแต่ปี 2015 ที่กองประกวด MU เปลี่ยนรูปแบบให้ประชาชนชาวโลกสามารถโหวตคะแนนให้นางงามได้ทางโซเซียลมีเดีย แทนที่จะให้อำนาจการตัดสินอยู่แต่ในมือกรรมการและไม่เห็นผลคะแนนชัดเจน คิดว่า MU ฉลาดในการเล่นการตลาดรายการแบบนี้ เพราะรายการแนวแข่งขันที่เปิดให้ผู้ชมทางบ้านสามารถโหวตได้ ยังเป็นวิธีการยอดนิยมที่ทำให้รายการน่าติดตาม โดยเฉพาะการเล่นกระแสนางงามในชาติที่การประกวดนางงามเป็นวาระแห่งชาติ เช่น เวเนซุเอล่า ฟิลิปปินส์(ชาตินี้ดูถูกไม่ได้เลย เวลาเขาเชียร์นักกีฬา ดารา นางงาม แทบจะหยุดตีกันชั่วคราว มานั่งกดยิกๆส่งโหวตเพื่อชาติ) ไม่แพ้ไทยแลนด์เช่นกัน (จริงๆ ญี่ปุ่นเขาก็เล่นทวิสเตอร์กันเยอะนะ แต่เขาไม่ค่อยเล่น FB เลยไม่รู้ว่ากระแสแพ้ หรือญี่ปุ่นเขาไม่เห่อนางงามกัน) (พ่อเรายังบ่นเลยว่า งี้ประเทศไหนไม่มีทวิสเตอร์กับ FB เล่น ก็แพ้นะซิ...ก็นะ มันช่วยไม่ได้อ่ะ ถ้าอยากชนะคนในชาติก็ต้องร่วมเชีนร์ช่วยกันนั่นแหละ แต่คิดว่ามันเป็นการโหวตที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว อยากชนะในเกมก็ต้องไปขวนขวายเล่นตามกติกา)
การดูประกวด MU ของเรา อาจจะมองในเชิงความงามเป็นรอง แต่เรามองในเรื่องการเมืองที่แทรกมานิดหน่อยในรอบตอบคำถาม คำถามและคำตอบหลายข้อของผู้แพ้และผู้ชนะ บางคนตอบตามใจตนเองแต่โดนด่า บางคนตอบตามการเทรนด์ยังโดนว่าไม่จริงใจ นอกจากนั้นก็มีสาระให้แฝงกลับไปคิดด้วย
หลังจากจบ MU 2017 บอกตรงๆว่าเรายังคิดเลยว่า มงคงไม่ลงไทยแลนด์แน่ เพราะคิดอยู่แล้วว่าตัวเต็งไม่น่าจะได้ แต่ก็เชียร์อยากให้น้องเข้าไปติด TOP3...แต่เอาเถอะว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว มารีญาก็ทำเต็มที่แล้ว และก็คงเสียใจที่ทำความหวังไม่สำเร็จ ไม่อยากให้โทษเธอ เพราะถ้าเราเป็นเธอไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเจอคำถาม social movement ขนาดเรียนสื่อมา อาจมีติดสตั้นซ์ จะต้องขอเวลานอกกลับไปอ่านความหมายกันเลยก็ได้
เกิร่นมาเยอะ เราก็จะมาเข้าเรื่องสักทีว่า...ตั้งแต่เรานั่งอ่านนั่งดูกระแสทิศทางคำเชียร์คำด่า แต่เราไม่ควรปล่อยให้เป็นเพียงกระแสแล้วก็หายไป เราน่าจะเอาความผิดพลาด และข้อได้เปรียบของผู้ชนะมาเป็นเกณฑ์ในการคัด MUT 2018 ปีหน้า ว่าควรจะได้ผู้หญิงแบบใดส่งไปแข่ง MU2018 เพื่อความหวังให้เข้าใกล้มงไปเรื่อยๆ ในเมื่อไทยแลนด์จะลงมาแข่งกับวงการนี้เต็มตัว ก็ควรศึกษาคู่แข่งที่ชนะปีก่อน เพื่อจะได้เก็งข้อสอบกันว่าทำยังไงปีหน้าไทยแลนด์จะชนะ (เรื่องการโหวตไม่น่ากังวลแล้ว เพราะมันกลายเป็นวาระแห่งชาติของคนไทย ที่พร้อมใจกันจะช่วยกันเชียร์อยู่แล้ว)
1. ลูกครึ่งหรือไทยแท้? สูงหรือกระทัดรัด? ผอมหรืออวบ? ตอนปี 2015-2016 ตอนแรกเราคิดว่าส่งแนวไทยแท้ไปเลยดีกว่าไหม คือให้เป็นเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ไปเลย แต่พอเห็นปี 2017 มารีญาเป็นลูกครึ่งที่ออกฝรั่งสุดๆ ก็ยังได้เข้าถึงรอบ TOP5 ซึ่งเรามองว่ากรรมการคงไม่ได้คิดแล้วว่านางงามชาตินั้นควรจะมีหน้าตาตามเอกลักษณ์ของชาติไหม (แม้ว่าเท่าที่จับจุดรอบ TOP15 เขาจะคัดพวกชาติพันธุ์แท้เข้ามาอย่างละคน อย่างผิวสีอย่าง USA จาไมก้า และเอเชียนอย่างจีนเข้ามา เพื่อให้นางงามมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์แท้ เหมือนเป็นการแสดงว่าเขาเปิดเวทีกว้างในเรื่องของชาติพันธุ์ คุณจะเป็นชาติพันธุ์แท้หรือลูกครึ่งก็ได้ทั้งนั้น เพื่อเป็นการทำลายอคติในการเหยียดชาติพันธุ์ขอการประกวดในยุคก่อนๆ ที่จะต้องเอาฝรั่งจ๋าอย่างเดียวเท่านั้น (ตอนแรกยังงงว่าจีนติดได้ไง เพราะจีนแผ่นดินใหญ่เขาไม่มี FB กับทวิสเตอร์นิ แล้วโหวตให้เข้าได้ไง ยังคิดเลยว่าจีนติดเพราะมีเอี่ยวเรื่องผลประโยชน์การเมืองหรือเปล่า แต่พอนางตกรอบ ก็เลิกคิด) ส่วนจะสูงจะเตี้ย จะผอมจะอวบ ยังไงก็ไม่ว่ากัน แต่จะต้องสวยในแบบรูปร่างอย่างนั้น ไม่ใช่ผอมก็ผอมเกิน อวบก็อ้วนปริไป ก็ขนาดคนที่มงลง ตัวยังเล็กกว่ามารีญาอีก ดังนั้น MUT ไทยแลนด์ จะหน้าตาลูกครึ่งหรือไทยแท้ก็ได้ค่ะ คิดว่าคนไทยพร้อมเชียร์ทั้งนั้น
2. บุคลิก เท่าที่ดูผู้ชนะ 2016-2017 บุคลิกจะเป็นผู้หญิงที่จับจุดได้ก็คือ มั่นใจ คือต้องมั่นใจมากๆ มั่นใจทั้งการเดิน การยิ้ม การพรีเซ้นส์เสื้อผ้า มั่นในการใช้สื่อ การตอบคำถาม มั่นใจในความคิดที่ตอบออกไป ประมาณว่าฉันสวยที่สุดในจักรวาลสมกับตำแหน่ง เจ้าตัวต้องคิดออร่ารัศมีเพื่อนนางงามข้างๆไม่สามารถทำอะไรฉันได้ ถ้ามองแบบจริตคนไทยอาจจะหมั่นไส้คนที่ทำตัวมั่นเยอะ ถ่อมตัวซะบ้างเถอะ...ซึ่งมันไม่ใช่จริตความชอบของกรรมการที่ส่วนใหญ่เป็นอเมริกาที่เขามีความคิดหัวเสรีหรอกค่ะ ไม่ใช่อนุรักษ์นิยมเหมือนอังกฤษด้วย ดังนั้นเราว่าบุคลิกถ่อมตัวไม่น่าจะเหมาะกับการจะมงลง (ยกเว้นปีหน้ากรรมการจะเปลี่ยนแนวนางงามอีก) ดังนั้นเพื่อเพลย์เซฟ เราว่าคัดน้องที่มีบุคลิกมั่นใจ ไม่ตื่นเวที ไม่ประหม่าจะดีที่สุด เพราะถ้าน้องมั่นใจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้น ชุดโป๊หรือเจอคำถามยาก แต่ถ้าคนที่มั่นใจตัวเองมาก เขาจะมีไหวพริบในการแสดงออกมาได้ดีที่สุด ไม่มีหลุดประหม่า ไม่มีอะไรจะฆ่าฉันได้
3.ความเฟรนลี่ มีมนุษย์สัมพันธ์ดี งานโซเซียลก็ต้องมา...จากที่ดูการเก็บคะแนนการประกวด เขาจะเริ่มต้นเก็บคะแนนกันตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในกองประกวด นางงามจะต้องมีมนุษยสัมพันธ์ดี มีความเฟรนลี่ที่ต้องแสดงความจริงใจต่อเพื่อนนางงาม (ถึงแม้เราๆท่านๆจะรู้ว่าจริงๆมันก็คือสงครามนางงามก็ตาม) แต่เรื่องเฟรนลี่มนุษยสัมพันธ์ดีจะมีชัยไปกว่าครึ่ง อย่าลืมว่าถ้ามงลง MU มีหน้าที่จะต้องเป็นตัวแทนไปออกงานทั้งหลายแหล่ และอีกตัวสำคัญที่ให้เข้าใกล้มงก็คือ นางงามต้องเป็นงานโซเซียล ต้องมีการอัพเดตอัปโหลดภาพลงโซเซียล ยิ่งถ้าเป็นสื่อเดียวกับที่ใช้ในการโหวตของ MU ด้วยยิ่งดี เพราะเป็นเหมือนการประชาสัมพันธ์งาน...กองประกวดเขาก็ต้องการคนที่เป็น PR ประชาสัมพันธ์แบบนี้แหละ ควรนำเสนอตัวเองให้เต็มที่(แต่ไม่ใช่การแย่งซีน) คนที่ทำตัวเงียบหรือถ่อมตัวอาจไม่เหมาะกับงานนี้ (บางคนที่เป็นม้ามืดเข้ารอบ บางทีเขาก็อาจจะโปรโมทในบ้านเค้าก็ได้ แต่เราๆแค่สนใจในนางงามชาติตัวเองเท่านั้น เลยอาจจะไปคิดว่าเขากระแสเงียบ) และควรจะอ่านออกฟังภาษาอังกฤษได้ดี เพราะมันจะสะดวกในการพูดสื่อสารกับทีมงานและเพื่อนๆได้ เหมือนนักฟุตบอลที่ไปค้าแข้งในต่างประเทศ คนที่อยากเจริญก้าวหน้าก็ลงทุนไปเรียนภาษาประเทศนั้นเลย เพื่อจะได้สื่อสารกับทีมงานได้สะดวก และมันจะทำให้เกิดความผ่อนคลายในการทำกิจกรรม การทำงานไปด้วย...เพราะเราเป็นคนที่ฟังภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ถึงเข้าใจว่ามันเครียดขนาดไหนในการต้องสื่อสารแบบใช้สื่อแปลที่มันไม่สะดวก
4. การติวตอบคำถาม อันนี้เราว่าสำคัญมาก ไทยเรามาหยุดก็ตรงตอบคำถามนี่แหละ เราจะไม่ว่าน้องตอบผิดหรือถูก เพราะเราไม่มีวันรู้คำถามกันทั้งนั้น แต่การประกวดที่ผ่านมาเราจับจุดกันได้แล้วว่า เขาไม่ใช้การจับฉลากกันอีกแล้ว แต่เอาสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศนั้นๆมาถาม ใครจะรู้ว่าปีหน้าถ้าไทยแลนด์เข้าไปถึงรอบคำถามอีก(ซึ่งคาดว่าน่าจะได้เข้าแน่นวล) จะเจอคำถามแรงหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้...เราว่าควรให้น้องได้ไปติวเตอร์กับอาจารย์ที่รู้เหตุบ้านการเมืองไว้ล่วงหน้านานๆหน่อย อย่างมากก็เดือนนึง ติววันละชั่วโมงก็ยังดี หรือให้น้อยที่สุดก็อาทิตย์นึง วันละหลายชั่วโมง แต่ไม่ใช่ติวแค่วันเดียวค่ะ ไม่พอหรอก...คนเรียนสื่อสารมวลชนมา มีแบล็กกราวน์ความรู้อยู่แล้ว ก่อนสอบยังต้องอ่านหนังสือเป็นเดือน จะไปคาดหวังให้นางงามที่อาจจะไม่มีแบล็กกราว์ความรู้ ให้จำแค่วันเดียว แล้วจะให้มาตอบให้ทันภายใน 30 วิได้ยังไง (ยกเว้นจะโชคดีได้น้องที่เรียนทางนี้มา) อนึ่งถ้าติวเรื่องนี้ได้ดี ติวแล้วต้องเข้าใจด้วย ไม่ใช่มาติวเพื่อให้จำ เพราะถ้าได้น้องที่มีความมั่นใจในตอบ และมีความเข้าใจจัดแจ้งในเรื่องนี้ จะมีชัยไปกว่าครึ่ง...แล้วการตอบคำถาม ไม่ควรไปเอาจริตแบบไทยที่ว่าตอบสั้นๆกระทัดรัดได้ใจความ ไปไซโคว่าต้องตอบให้ได้ภายใน 30 วิ แบบนั้นเราว่าโครตกดดันให้น้องคิดหาคำตอบไม่ทัน...ลองดูคนที่ชนะ เขาก็น่าจะพูดยาวเกิน 30 วิด้วย แต่เขามีการเว้นช่องไฟ มีการขยายความของคำตอบให้แจ้มแจ่ง...หรือถ้าอยากให้เพลย์เซฟ แนะนำว่ารอบหน้า ให้ MUT รีเควสขอล่ามให้น้องค่ะ เพราะทริคนี้นางงามชาติอื่นใช้กันมาแล้ว นางงามหลายชาติฟังภาษาอังกฤษออก แต่ขอล่ามแปล เพื่อเป็นทริกในการซื้อหรือยื้อเวลาที่จะคิดคำตอบได้ ซึ่งมันไม่ได้ผิดกติกาใดๆแล้วนิ ถ้ารู้ว่ามีจุดอ่อนกันตรงนี้ ปีหน้าลองใช้ล่ามดูก็ไม่เสียหายอะไร
นอกนั้นจะเป็นความเห็นส่วนตัวของเราในเรื่องชุดประจำชาติ...เราว่าน่าจะกลับไปทำเป็นแฟนตาซีโมเดิร์นแบบยุคแนท 2015 ดีกว่าไหม เพราะไทยเราเมื่อก่อนนี้คือจองโควต้ากวาดรางวัลชุดประจำชาติมาเป็นประจำอยู่แล้ว แต่พอเรากลับมาทำเป็นไทยแท้ในปี 2016-2017 เราไม่ได้รางวัลนี้กันเลย แล้วดูปีนี้ญี่ปุ่นเขาได้ซิ ทั้งที่เทคนิคการตัดผ้าอะไรไม่ค่อยแปลกใหม่นะ ไม่ได้อลังการงานปักอะไรมาก (จริงๆเราไม่ค่อยชอบแนวเรียบนะ เราชอบพวกมีลูกเล่นมากกว่า) เราว่าน่าจะกลับไปเป็นแฟนตาซีดีกว่า เปิดให้ดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ได้มีการประกวดแบบเข้ามาอย่างเมื่อก่อนเลย เราไม่อยากให้คิดว่าก็เราจะเสนอความเป็นไทยแท้อ่ะ เราจะต้องไปเป็นแฟนตาซีทำไม...คือพูดกันตรงๆ เราไปประกวดก็อยากได้รางวัลกันไม่ใช่หรือคะ? เราไม่เชื่อหรอกว่าจะลงทุนทำอะไรลงไปแล้วไม่หวังผลหรอก คือเราสงสารทีมปักชุดไทยแท้ด้วยอ่ะ เหนื่อยนะลงแรงไปแล้วชุดไม่ได้รางวัล แต่ชุดที่ได้รางวัลเรียบกว่า(ปีนี้ยังแอบสงสารพม่าเลย ว่าอุตส่าห์จัดเต็มมายังไม่ได้) อีกอย่างถ้าเราเป็นกรรมการ เราก็คงอยากเห็นการนำเสนออะไรที่มีการประยุกต์ให้ทันสมัย สร้างความแปลกใหม่บ้าง ถ้ามาแบบแนววัฒนธรรมดั้งเดิมจ๋าทุกปี มันไม่มีอะไรแปลกใหม่ กรรมการเขาคงไม่ได้ขึ้นมาดูหรอกว่าผ้านี้ปักยังไงกัน ทีมงานจะปักกันเหนื่อยยากแค่ไหน เพราะมีเวลาพรีเซ้นส์กันยังไม่ถึง 5 นาที (อันนี้ขอพูดตรง เพราะเราก็มีประสบการณ์ลงทุนทำงานที่ใช้ความละเอียดมาแล้ว แต่ได้คะแนนน้อยกว่า เพราะจริตกรรมการไม่ได้ตรงใจเราคิดไง) การประกวดมันคือการต้องเอาชนะใจกรรมการให้ได้ ไม่ใช่ให้กรรมการมาเห็นใจความเหนื่อยยากในการทำงาน
พูดเรื่องชุดประจำชาติแล้ว ก็อยากให้มีการเปิดการประกวดดีไซเนอร์ชุดราตรีไปด้วยเลย เปิดโอเพ่นให้ดีไซเนอร์ไทยรุ่นใหม่ๆได้นำเสนอกันบ้าง เราเชื่อว่าในไทยมีช้างเผือกเยอะ ดีไซเนอร์ไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่จะมีแพ้ในบ้านตัวเอง เพราะเจอการสกัดดาวรุ่งระบบอุปถัมภ์แบบไทยนี้แหละ ที่ยังยึดติดกับการต้องเป็นแบรนด์แนวหน้าเดิมๆ ต้องเป็นของรุ่นพี่เท่านั้นถึงจะดีเลิศสุด ไม่เปิดรับสิ่งใหม่จากรุ่นใหม่ให้มีส่วนร่วมบ้าง...จริงอยู่ว่าต่อให้ปีหน้าจะได้ชุดแย่จากระบบเส้นราดหน้าแค่ไหน คนไทยก็ต้องอดทนโหวตให้น้องเข้าให้ได้อยู่ดี แต่มันจะกลายเป็นคำอ้างจากเส้นราดหน้าว่า ชุดราตรีเข้ารอบได้เพราะชุดเขา (ทั้งที่มันก็ต้องอิงคะแนนโหวตด้วย ซึ่งพูดกันตรงๆ อาจไม่ได้โหวตเพราะชุดดีหรอก แต่โหวตเพราะอยากให้น้องเข้ารอบ) เรายังเจ็บปวดกับระบบอุปถัมภ์กันไม่พออีกหรือ
ถ้าไทยแลนด์อยากจะเข้าไปในวงการนี้เต็มตัว ควรจะไปให้สุดๆแบบดีไปเลย แบบดีที่ต้องโดนใจกรรมการด้วย เอาให้สวยดีเลิศสุดๆแบบไม่มีอะไรให้ติแบบดราม่าปีนี้...ถ้าปีหน้าเราได้น้องใหม่ที่ทำอย่างมั่นใจเต็มที่ ทีมงานทำอย่างเต็มที่ ชุดนำเสนอออกมาอย่างสวยเลิศและโดนใจกรรมการ เราว่าไทยแลนด์มีชัยไปเกินครึ่งแล้ว นอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาว่าเราจะไปถึงมงกันได้ไหม แม้ว่าจะมีความเคลือบแคลงสงสัยเรื่องล็อกไม่ล็อกก็ตาม แต่ถ้าทำเต็มที่ทุกด้านสุดๆแล้ว ต่อให้มงไม่ลงก็ยังรักเธอต่อไป ไทยแลนด์...
...ขอจบบทความการนำเสนอวิเคราะห์ของเราเพียงเท่านี้ค่ะ