
ครม.ลุงตู่หลังปรับใหม่ถูกใจคนรอดูทุกคนค่ะ นอกจากนักการเมืองพวกองุ่นเปรี้ยว ที่ชอบว่าให้องุ่นแสนหวานบิดเบือนให้องุ่นเปรี้ยวผิดปกติ ดูจากข่าวนี้เลยค่ะ...👇👇👇👇👇👇
https://www.prachachat.net/general/news-78185
แกนนำสวนยาง-ปาล์มน้ำมัน เฮรับ”ครม.ประยุทธ์ 5″ถูกใจที่สุด ได้ “กฤษฎา-อ.ยักษ์”คุมก.เกษตร
แกนนำเครือข่ายชาวสวนยาง-สวนปาล์ม เฮรับ “ครม.ประยุทธ์ 5” เชื่อมั่น “กฤษฏา” จะได้รับอานิสงส์ทุกสาขาอาชีพเกษตรกร
วันที่ 25 พย. 60 นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เปิดเผยว่า คยปท. และ สภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรยางพาราแห่งประเทศไทย (สยยท.) ยินดีต้อนรับคณะรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจะเป็นโอกาสของเกษตรกรทุกสาขาอาชีพ
นายทศพลเปิดเผยว่ารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนายกฤษฎา บุญราช เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร และนายลักษณ์ วจนานวัช เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ โดยเฉพาะนายกฤษฎา เป็นทราบว่าเป็นคนทำงานอย่างจริงจังติดดิน เพราะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมาก่อน ย่อมเข้าใจบริบทชาวบ้าน เกษตรกร อย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะทางภาคใต้ ย่อมเข้าใจเกษตรกรชาวสวนยาง และเกษตรกรทุกสาขาอาชีพดี
นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ นั้นเกษตรกรภาคภูมิใจและดีใจยิ่ง ที่ได้เข้ามาทำงานตรงนี้ เพราะเป็นปราชญ์เศรษฐกิจพอเพียง ที่มุ่งหวังพัฒนา เรื่องดิน น้ำ ป่า และคน และน่าจะทำการพัฒนาอาชีพเกษตรกรทุกสาขาอาชีพเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะชาวสวนยาง ให้เป็นสวนผสมผสาน เป็นเกษตร ประมง ปศุสัตว์
“รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ ประยุทธ์ 5 กระทรวงเกษตรฯ เป็นที่ถูกใจเกษตรกรเป็นที่สุด จะเป็นโอกาสของเกษตรกรทุกสาขาอาชีพแล้ว” นายทศพล กล่าว
นายทศพลเปิดเผยว่าเกษตรกรให้โอกาสรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรทำงานระยะหนึ่ง แล้วจะเดินทางเข้าเยี่ยมคำนับ พร้อมนำเรียนเสนอยุทธศาสตร์ยาง 20 ปี ที่ให้เป็นสวนผสมผสาน ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว

แต่การปรับตัวของนักการเมืองสอวพรรคดูแย่ในสายตาประชาชนมากเลยนะคะ ขอร้องยี้เลยค่ะ😜😛😛😜😛
2 พรรคผนึกกำลังต้าน"บิ๊กตู่"อยู่ยาว

เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์เปิดช่องตั้งรัฐบาล ร่วมต้าน “บิ๊กตู่”อยู่ในอำนาจยาว เชื่อ ส.ว.ไม่อยู่ข้างปชช. จวก 3 ปีรัฐบาล คสช. ไม่สนเรื่องปรองดอง ซ้ำเพิ่มเงื่อนไขความขัดแย้ง ระบุหลังเลือกตั้งความขัดแย้งปะทุอีกแน่...
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ร่วมกับเครือข่ายองค์กรภาคประชาชน จัดเสวนาโต๊ะกลมสาธารณะ หัวข้อ “ปรองดองแบบคสช.เมื่อไรจะเจออุโมงค์”โดยมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าร่วมเสวนา
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า หน้าที่สำคัญที่คสช.บอกว่าจะทำหลังเข้ามายึดอำนาจคือเรื่องการปรองดอง แต่ก็ล้มเหลว คำว่าปรองดองไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นต่างไม่ได้ ต้องเห็นเป็นเสียงเดียวกัน แต่คำว่าสังคมปรองดองนั้น สามารถเห็นขัดแย้งแตกต่างกันได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง แต่ต้องใช้กระบวนการ กติกาที่เป็นธรรม แก้ปัญหาโดยสันติวิธี ที่ผ่านมามีการจัดประชุม แต่ไม่ได้ทำให้เกิดความปรองดอง เพราะทำคนละเรื่อง เชิญนักเคลื่อนไหว นักวิชาการไปก็เพื่อบอกว่าอย่าวิจารณ์ คสช.และรัฐบาล คือเพื่อปิดปากนั่นเอง ไม่เคยพูดเรื่องปัญหา ไม่มีกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลางสุดท้ายข้อเสนอต่างๆ ก็หายไปกับสายลม ขณะเดียวกัน 3 ปีที่ คสช.เข้ามากลับสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งเพิ่มขึ้น มีการใช้มาตรา 44 ในเรื่องที่ยังเป็นความเห็นขัดแย้งของคน และตัวนายกรัฐมนตรีก็สร้างความเกลียดชังด้วยคำพูดประณาม เหยียดหยามฝ่ายหนึ่งเป็นประจำ รวมถึงบอกว่าถ้าจะสร้างความปรองดองต้องแก้เรื่องความยุติธรรม แต่ปัจจุบันคนในสังคมรู้สึกกันมากว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ทั้งนี้ตนยังมองว่ารัฐธรรมนูญใหม่นี้ยังจะทำให้เกิดปัญหามาก เพราะการทำประชามติไม่เป็นเสรี ถือเป็นการขยายความขัดแย้งไปในวงกว้างเพื่อต้องการบริหารประเทศยาวนาน ไม่ฟังความเห็นต่าง เมื่อกลายเป็นความอึดอัด และขัดแย้งกับประชาชนจำนวนมากอาจจะมีการใช้กำลังในการแก้ไขปัญหาอีกก็ได้ เป็นเงื่อนไขว่าคสช.ต้องอยู่ในอำนาจต่อ ทั้งนี้ที่เห็นว่าสังคมสงบในขณะนี้ก็เพราะการกดทุกฝ่ายเอาไว้ ซึ่งจะคงอยู่แค่ชั่วคราว เพราะสังคมไม่สามารถอยู่อย่างนี้ได้ ให้ทหารบริหารทำให้ประเทศเสียหายไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ได้ ต้องคลายปมด้วยการเลือกตั้ง แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้ใช้รัฐธรรมนูญจริง หากใช้รัฐธรรมนูญจริงความขัดแย้งที่สะสมไว้จะปะทุขึ้น
เราต้องยอมรับกติกาที่กำหนดในรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะต้องการรัฐบาลแบบไหน ถ้าคนนอกต้องการเป็นรัฐบาลก็ต้องหาคนมาร่วมให้ได้ 280 เสียง ถ้ามีพรรคใดพรรคหนึ่งได้ 200 เสียงก็อยู่ยาก รัฐบาลต้องมีเสียงเกินครึ่งหนึ่งในสภาฯไม่อย่างนั้นออกกฎหมายไม่ได้ หรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลก็ล้มแล้ว ส่วนพรรคการเมืองที่จะรวมกันก็ต้องได้ 376 เสียงขึ้นไป ซึ่งโอกาสยากมาก เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เป็นคนตั้ง ส.ว.ก็ต้องคัดเลือกคนที่เชื่อฟังตัวเอง ดังนั้นพรรคใหญ่ 2 พรรคต้องจับมือเกือบจะเป็นคณิตศาสตร์แบบนั้น แต่ก็เกิดขึ้นได้ และไม่ควรปิดโอกาสในการร่วมมือกันของ 2 พรรคใหญ่ ถ้าจะไม่ให้คนนอกหรือ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีก” นายจาตุรนต์ กล่าว...
ด้านนายนิพิฎฐ์ กล่าวว่า ตนพูดมาตลอดว่าวินาทีแรกที่มีการยึดอำนาจ วินาทีที่2 ต้องทำเรื่องปรองดอง ไม่ควรเกิดในวินาทีที่ 3 เพราะการยึดอำนาจเกิดจากความขัดแย้ง แต่การบ้านของผู้ยึดอำนาจเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และมาทำในวินาทีสุดท้ายก่อนหมดอำนาจ วันนี้เราอยู่ในอุโมงค์ที่ไม่มีแสงสว่าง และไม่รู้ต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหน หวังที่จะให้ คสช.ให้แสงสว่างเดินไปสู่ปลายอุโมงค์คงจะยาก นอกจากนี้ที่ความปรองดองยังไม่เกิด เพราะเนื้อหารัฐธรรมนูญไม่ได้เอื้อต่อการปรองดอง ไม่เป็นธรรม ทั้งนี้คิดว่าสิ่งความขัดแย้งจะเกิดขึ้นจริงๆ หลังการเลือกตั้ง เพราะไม่มีทางที่จะตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจากต้องดู ส.ว.ว่าจะไปทางไหน ถ้า ส.ว.ไม่ยืนข้างประชาชน รัฐบาลก็ไม่เกิด ถ้าตั้งรัฐบาลได้ก็เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ไม่มีทางที่ สว.จะยกเสียงข้างมากให้ ถ้าโชคดีพรรคเพื่อไทยรวมเสียงกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ต้องดูในอนาคต แต่ความยาก สมมติเราเลือกตั้งเสร็จแล้ว แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ผ่านมา 1 เดือน 2 เดือนแล้วก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญค้ำอยู่ เมื่อตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็ให้ทหารอยู่ต่อก็แล้วกัน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราต้องทบทวน ส่วนโอกาสที่ 2 พรรคจะจับมือกันได้หรือไม่นั้น เชื่อว่าการเมืองต้องมีความหวังแม้จะริบหรี่ ถ้าเราจะเซ็ตซีโร่ระบบคสช. และทหาร ถึงเวลานั้นก็ไม่มีทางออกอะไร ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้ ความคิดสุดขั้วของแต่ละฝ่ายต้องออกไปก่อน...
ขณะที่นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า หลังจากที่ดูการทำงานของ คสช. จนตอนนี้ไม่เหลืออะไรให้มองหา ไม่เห็นอะไรให้ตั้งความหวัง ซึ่งไม่ได้ปรามาส แต่เป็นข้อเท็จจริง ตนได้รับเชิญไปพูดเรื่องปรองดองไม่ต่ำกว่า 3 รอบ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ล่าสุดมีการเดินหน้าเรื่องการปรองดองอีก นึกว่าคราวนี้น่าจะเห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง แต่ก็ไม่มีอะไร สิ่งที่ผู้มีอำนาจสื่อสารกับประชาชน นักการเมือง นักเคลื่อนไหวก็สื่อสารเหมือนเดิม ไม่มีพัฒนาการของความปรองดองแต่ถามว่าทำไมสังคมวันนี้ยังตั้งเวทีปรองดองกันอยู่ เพราะคำนี้ฟังกี่ครั้งก็ดูดี และปฏิเสธไม่ได้...
การปรองดองจะเกิดขึ้นได้สังคมต้องมีความเป็นประชาธิปไตยก่อน แต่วันนี้กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่เอื้อ และมีการพูดว่าหลังกฎหมายลุก 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเสร็จ ก็จะไปสู่กลไกการเลือกตั้ง อย่าเพิ่งไปมองไกลขนาดนั้น ขณะนี้จากการที่กฎหมายลูกพรรคการเมืองมีผลใช้บังคับแต่ยังไม่มีการปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม เราอยู่ในสถานการณ์นี้ ดังนั้นเราจะมาถามหาความปรองดองบนซากปรักหักพังของประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องที่ไกลเหลือเกิน” นายณัฐวุฒิ กล่าว.....
อ่านต่อที่ :
https://www.dailynews.co.th/politics/612448
@~มาลาริน~** ดูเองเถอะค่ะ... ครม.ลุงตู่ปรับใหม่ไม่มีใครร้องยี้..แต่นักการเมืองรวมตัวกันอย่างไรจึงมีใครๆร้องยี้ 🙁🙁🙁🙁
ครม.ลุงตู่หลังปรับใหม่ถูกใจคนรอดูทุกคนค่ะ นอกจากนักการเมืองพวกองุ่นเปรี้ยว ที่ชอบว่าให้องุ่นแสนหวานบิดเบือนให้องุ่นเปรี้ยวผิดปกติ ดูจากข่าวนี้เลยค่ะ...👇👇👇👇👇👇
https://www.prachachat.net/general/news-78185
แกนนำสวนยาง-ปาล์มน้ำมัน เฮรับ”ครม.ประยุทธ์ 5″ถูกใจที่สุด ได้ “กฤษฎา-อ.ยักษ์”คุมก.เกษตร
แกนนำเครือข่ายชาวสวนยาง-สวนปาล์ม เฮรับ “ครม.ประยุทธ์ 5” เชื่อมั่น “กฤษฏา” จะได้รับอานิสงส์ทุกสาขาอาชีพเกษตรกร
วันที่ 25 พย. 60 นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เปิดเผยว่า คยปท. และ สภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรยางพาราแห่งประเทศไทย (สยยท.) ยินดีต้อนรับคณะรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจะเป็นโอกาสของเกษตรกรทุกสาขาอาชีพ
นายทศพลเปิดเผยว่ารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนายกฤษฎา บุญราช เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร และนายลักษณ์ วจนานวัช เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ โดยเฉพาะนายกฤษฎา เป็นทราบว่าเป็นคนทำงานอย่างจริงจังติดดิน เพราะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมาก่อน ย่อมเข้าใจบริบทชาวบ้าน เกษตรกร อย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะทางภาคใต้ ย่อมเข้าใจเกษตรกรชาวสวนยาง และเกษตรกรทุกสาขาอาชีพดี
นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ นั้นเกษตรกรภาคภูมิใจและดีใจยิ่ง ที่ได้เข้ามาทำงานตรงนี้ เพราะเป็นปราชญ์เศรษฐกิจพอเพียง ที่มุ่งหวังพัฒนา เรื่องดิน น้ำ ป่า และคน และน่าจะทำการพัฒนาอาชีพเกษตรกรทุกสาขาอาชีพเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะชาวสวนยาง ให้เป็นสวนผสมผสาน เป็นเกษตร ประมง ปศุสัตว์
“รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ ประยุทธ์ 5 กระทรวงเกษตรฯ เป็นที่ถูกใจเกษตรกรเป็นที่สุด จะเป็นโอกาสของเกษตรกรทุกสาขาอาชีพแล้ว” นายทศพล กล่าว
นายทศพลเปิดเผยว่าเกษตรกรให้โอกาสรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรทำงานระยะหนึ่ง แล้วจะเดินทางเข้าเยี่ยมคำนับ พร้อมนำเรียนเสนอยุทธศาสตร์ยาง 20 ปี ที่ให้เป็นสวนผสมผสาน ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว
แต่การปรับตัวของนักการเมืองสอวพรรคดูแย่ในสายตาประชาชนมากเลยนะคะ ขอร้องยี้เลยค่ะ😜😛😛😜😛
2 พรรคผนึกกำลังต้าน"บิ๊กตู่"อยู่ยาว
เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์เปิดช่องตั้งรัฐบาล ร่วมต้าน “บิ๊กตู่”อยู่ในอำนาจยาว เชื่อ ส.ว.ไม่อยู่ข้างปชช. จวก 3 ปีรัฐบาล คสช. ไม่สนเรื่องปรองดอง ซ้ำเพิ่มเงื่อนไขความขัดแย้ง ระบุหลังเลือกตั้งความขัดแย้งปะทุอีกแน่...
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ร่วมกับเครือข่ายองค์กรภาคประชาชน จัดเสวนาโต๊ะกลมสาธารณะ หัวข้อ “ปรองดองแบบคสช.เมื่อไรจะเจออุโมงค์”โดยมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าร่วมเสวนา
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า หน้าที่สำคัญที่คสช.บอกว่าจะทำหลังเข้ามายึดอำนาจคือเรื่องการปรองดอง แต่ก็ล้มเหลว คำว่าปรองดองไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นต่างไม่ได้ ต้องเห็นเป็นเสียงเดียวกัน แต่คำว่าสังคมปรองดองนั้น สามารถเห็นขัดแย้งแตกต่างกันได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง แต่ต้องใช้กระบวนการ กติกาที่เป็นธรรม แก้ปัญหาโดยสันติวิธี ที่ผ่านมามีการจัดประชุม แต่ไม่ได้ทำให้เกิดความปรองดอง เพราะทำคนละเรื่อง เชิญนักเคลื่อนไหว นักวิชาการไปก็เพื่อบอกว่าอย่าวิจารณ์ คสช.และรัฐบาล คือเพื่อปิดปากนั่นเอง ไม่เคยพูดเรื่องปัญหา ไม่มีกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลางสุดท้ายข้อเสนอต่างๆ ก็หายไปกับสายลม ขณะเดียวกัน 3 ปีที่ คสช.เข้ามากลับสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งเพิ่มขึ้น มีการใช้มาตรา 44 ในเรื่องที่ยังเป็นความเห็นขัดแย้งของคน และตัวนายกรัฐมนตรีก็สร้างความเกลียดชังด้วยคำพูดประณาม เหยียดหยามฝ่ายหนึ่งเป็นประจำ รวมถึงบอกว่าถ้าจะสร้างความปรองดองต้องแก้เรื่องความยุติธรรม แต่ปัจจุบันคนในสังคมรู้สึกกันมากว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ทั้งนี้ตนยังมองว่ารัฐธรรมนูญใหม่นี้ยังจะทำให้เกิดปัญหามาก เพราะการทำประชามติไม่เป็นเสรี ถือเป็นการขยายความขัดแย้งไปในวงกว้างเพื่อต้องการบริหารประเทศยาวนาน ไม่ฟังความเห็นต่าง เมื่อกลายเป็นความอึดอัด และขัดแย้งกับประชาชนจำนวนมากอาจจะมีการใช้กำลังในการแก้ไขปัญหาอีกก็ได้ เป็นเงื่อนไขว่าคสช.ต้องอยู่ในอำนาจต่อ ทั้งนี้ที่เห็นว่าสังคมสงบในขณะนี้ก็เพราะการกดทุกฝ่ายเอาไว้ ซึ่งจะคงอยู่แค่ชั่วคราว เพราะสังคมไม่สามารถอยู่อย่างนี้ได้ ให้ทหารบริหารทำให้ประเทศเสียหายไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ได้ ต้องคลายปมด้วยการเลือกตั้ง แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้ใช้รัฐธรรมนูญจริง หากใช้รัฐธรรมนูญจริงความขัดแย้งที่สะสมไว้จะปะทุขึ้น
เราต้องยอมรับกติกาที่กำหนดในรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะต้องการรัฐบาลแบบไหน ถ้าคนนอกต้องการเป็นรัฐบาลก็ต้องหาคนมาร่วมให้ได้ 280 เสียง ถ้ามีพรรคใดพรรคหนึ่งได้ 200 เสียงก็อยู่ยาก รัฐบาลต้องมีเสียงเกินครึ่งหนึ่งในสภาฯไม่อย่างนั้นออกกฎหมายไม่ได้ หรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลก็ล้มแล้ว ส่วนพรรคการเมืองที่จะรวมกันก็ต้องได้ 376 เสียงขึ้นไป ซึ่งโอกาสยากมาก เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เป็นคนตั้ง ส.ว.ก็ต้องคัดเลือกคนที่เชื่อฟังตัวเอง ดังนั้นพรรคใหญ่ 2 พรรคต้องจับมือเกือบจะเป็นคณิตศาสตร์แบบนั้น แต่ก็เกิดขึ้นได้ และไม่ควรปิดโอกาสในการร่วมมือกันของ 2 พรรคใหญ่ ถ้าจะไม่ให้คนนอกหรือ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีก” นายจาตุรนต์ กล่าว...
ด้านนายนิพิฎฐ์ กล่าวว่า ตนพูดมาตลอดว่าวินาทีแรกที่มีการยึดอำนาจ วินาทีที่2 ต้องทำเรื่องปรองดอง ไม่ควรเกิดในวินาทีที่ 3 เพราะการยึดอำนาจเกิดจากความขัดแย้ง แต่การบ้านของผู้ยึดอำนาจเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และมาทำในวินาทีสุดท้ายก่อนหมดอำนาจ วันนี้เราอยู่ในอุโมงค์ที่ไม่มีแสงสว่าง และไม่รู้ต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหน หวังที่จะให้ คสช.ให้แสงสว่างเดินไปสู่ปลายอุโมงค์คงจะยาก นอกจากนี้ที่ความปรองดองยังไม่เกิด เพราะเนื้อหารัฐธรรมนูญไม่ได้เอื้อต่อการปรองดอง ไม่เป็นธรรม ทั้งนี้คิดว่าสิ่งความขัดแย้งจะเกิดขึ้นจริงๆ หลังการเลือกตั้ง เพราะไม่มีทางที่จะตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจากต้องดู ส.ว.ว่าจะไปทางไหน ถ้า ส.ว.ไม่ยืนข้างประชาชน รัฐบาลก็ไม่เกิด ถ้าตั้งรัฐบาลได้ก็เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ไม่มีทางที่ สว.จะยกเสียงข้างมากให้ ถ้าโชคดีพรรคเพื่อไทยรวมเสียงกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ต้องดูในอนาคต แต่ความยาก สมมติเราเลือกตั้งเสร็จแล้ว แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ผ่านมา 1 เดือน 2 เดือนแล้วก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญค้ำอยู่ เมื่อตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็ให้ทหารอยู่ต่อก็แล้วกัน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราต้องทบทวน ส่วนโอกาสที่ 2 พรรคจะจับมือกันได้หรือไม่นั้น เชื่อว่าการเมืองต้องมีความหวังแม้จะริบหรี่ ถ้าเราจะเซ็ตซีโร่ระบบคสช. และทหาร ถึงเวลานั้นก็ไม่มีทางออกอะไร ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้ ความคิดสุดขั้วของแต่ละฝ่ายต้องออกไปก่อน...
ขณะที่นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า หลังจากที่ดูการทำงานของ คสช. จนตอนนี้ไม่เหลืออะไรให้มองหา ไม่เห็นอะไรให้ตั้งความหวัง ซึ่งไม่ได้ปรามาส แต่เป็นข้อเท็จจริง ตนได้รับเชิญไปพูดเรื่องปรองดองไม่ต่ำกว่า 3 รอบ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ล่าสุดมีการเดินหน้าเรื่องการปรองดองอีก นึกว่าคราวนี้น่าจะเห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง แต่ก็ไม่มีอะไร สิ่งที่ผู้มีอำนาจสื่อสารกับประชาชน นักการเมือง นักเคลื่อนไหวก็สื่อสารเหมือนเดิม ไม่มีพัฒนาการของความปรองดองแต่ถามว่าทำไมสังคมวันนี้ยังตั้งเวทีปรองดองกันอยู่ เพราะคำนี้ฟังกี่ครั้งก็ดูดี และปฏิเสธไม่ได้...
การปรองดองจะเกิดขึ้นได้สังคมต้องมีความเป็นประชาธิปไตยก่อน แต่วันนี้กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่เอื้อ และมีการพูดว่าหลังกฎหมายลุก 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเสร็จ ก็จะไปสู่กลไกการเลือกตั้ง อย่าเพิ่งไปมองไกลขนาดนั้น ขณะนี้จากการที่กฎหมายลูกพรรคการเมืองมีผลใช้บังคับแต่ยังไม่มีการปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม เราอยู่ในสถานการณ์นี้ ดังนั้นเราจะมาถามหาความปรองดองบนซากปรักหักพังของประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องที่ไกลเหลือเกิน” นายณัฐวุฒิ กล่าว.....
อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/politics/612448