#dietomorrow - หนังพาเราดิ่งลงไปสู่อาการ "จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้" แต่ดันไม่ทำงานกับคนที่มีมุมมองด้านความตายต่างออกไป ความเชื่อบ้าๆบอๆของผมที่ว่าวันหนึ่งวิทยาศาสตร์จะเอาชนะความตายได้ ทำเอาดูหนังไม่อินไปเสียนี่

สวัสดีครับ เมื่อบ่ายที่ผ่านมา ผมก็ได้มีโอกาสชมหนังไทยเรื่อง "Die Tomorrow" ของ เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับหนัง ที่หนังของเขา ต้องใช้ความพยายามและขวนขวยเป็นอย่างมากเพื่อที่จะได้ดู (จะยกเว้นก็แต่ ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ที่มีฉายทั่วไป) และเรื่องนี้ก็เช่นกัน ต้องมานั่งลุ้นที่หน้า facebook ของเต๋อว่าวันนี้จะมีฉายที่ไหนบ้าง จะเพิ่มโรงอีกไหม ตั๋วเต็มหรือยัง ฯลฯ แต่ด้วยความชอบในสไตล์ และความเชื่อถือที่ผมมีต่อเต๋อ ก็ต้องหาทางดูจนได้นั่นแหล่ะ จองล่วงหน้านานหน่อย ก็พอจะได้ดูอยู่
จากตัวอย่าง.... มันก็ไม่ได้บอกอะไรว่า หนังจะออกมาเป็นอย่างไรจริงๆ เอาเป็นว่า อยากรู้ก็ต้องดูตัวหนังจริงล่ะครับ
ขอบอกก่อนเลยว่าการที่ตัวหนังเป็นหนังสั้นต่อๆกัน ทำให้การวิจารณ์โดยไม่สปอยล์เข้าขั้นยากแสนยาก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรถึงหนังได้บ้างไหม เอาเป็นว่า ผมจะพูดถึงความรู้สีกต่อตัวหนังที่ผมมีละกันนะครับ
ความรู้สึกแรกคือ หนังพยายามเล่าเรื่อง โดยที่ไม่นำเสนอสิ่งที่เป็นจุดสำคัญสุด ก็อาจเป็นว่า จุดสำคัญนั้น มันกระทบจิตใจได้ง่าย หรืออาจเปลืองงบ55 แต่มันก็ได้อารมณ์อยู่ในที การใช้การถ่ายทำแบบลองเทก มันได้ความดิบแทบจะเหมือนกับการนั่งดูคลิปแบบดิบๆ แต่เทคนิกจากเรื่องก่อนๆหลายประการก็ยังคงถูกนำมาใช้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกล้องไว้ การครอบเฟรมภาพ การใช้คำบรรยายบนจอสื่อสาร ตรงนี้ก็ยังคงเป็นเต๋ออย่างชัดเจน
เมื่อมองมาที่การแสดงต่างๆ ก้ต้องยอมรับว่า นักแสดงแทบทุกคนนั้น มีรางวัลรับประกันฝีมือกันอยู่แล้ว แม้จะเป็นลองเทก แต่ทุกคนทุกตอน ทำได้ดีจนสร้างอารมณ์ พาเราจมดิ่งเข้าสู่ประเด็นหลักของหนังได้อย่างไม่ยากเย็น อีกอย่างที่สำคัญคือ หนังเงียบมากทีเดียว บอกตามตรงว่าถ้าซื้อข้าวโพดคั่วเข้าไปกิน เวลาเคี้ยวก็อย่าลืมปิดปากนะครับ เดี๋ยวจะได้ยินไปทั้งโรง55
แต่ประเด็นหลักของหนัง เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่า มันทำงานกับคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน มัน "กระแทก" จิตใจของคนได้ไม่เท่ากัน ขึ้นกับอารมณ์ ความคิด ความเชื่อ และประสบการณ์ ซึ่งผมอาจจะเป็นคนกลุ่มน้อยมากก็ได้ ที่หนังทำอะไรผมแทบไม่ได้เลย impact มันน้อยกว่าที่คาดเดาไว้ก่อนหน้าจะดูหนังมากมาย ตรงนี้คงแล้วกับแต่ละคนว่าคุณมอง "ความตาย" เป็นอย่างไร
แล้วเมื่อนำหนังเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับหนังก่อนๆของเต๋อ ที่มักจะดูแล้วมีบางฉากที่เหมือนโดนค้อนทุบหัว มีอะไรกระแทกแรงๆที่กลางหน้าอก มันจุก แต่เรื่องนี้ไม่มีผลอะไรกับผม ก็ย่อมทำให้ความชื่นชอบของผมต่อหนังเรื่องนี้ไม่เท่าเรื่องก่อนๆของเต๋ออย่างแน่นอน จะบอกว่าเสียดายก็คงไม่ใช่ เพราะเชื่อว่ามีคนโดนเยอะอยู่
จากตรงนี้ ผมขอพูดมุมมองในเรื่องความตายของผม จะซ่อนสปอยล์ไว้นะครับ เพราะจริงๆทุกท่านไม่ต้องอ่านก็ได้ เผื่อไว้แค่คนที่สงสัยว่าทำไม่ผมไม่อินกับหนังเท่านั่น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ความเชื่อของผมต่อความตายคือ ความตายเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ของเราจะเอาชนะได้ในสักวันหนึ่ง ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม เช่น มีหุ่นยนต์นาโนไหลเวียนอยู่ในระบบร่างกาย คอยซ่อมแซม หยุดยั้ง เก็บข้อมูล และถ่ายโอนข้อมูลของเราไปสู่ร่างใหม่ หรือถ่ายโอนไปสู่หุ่นยนต์ ดังนั้น ความตายในวันนี้ คือคุณแค่โชคไม่ดีที่วิทยาศาสตร์เราไม่ดีพอในปัจจุบัน แต่สักวัน คุณจะเลือกได้ว่าจะตาย หรืออยู่ให้เบื่อ ได้อย่างแน่นอน นี่คือความเชื่อของผม ซึ่งทำให้การมองความตาย ต่างจากคนทั่วไป
สรุป - ต้องขออภัยที่ต้องบอกว่า เป็นหนังของเต๋อที่ผมชอบน้อยที่สุด และเป็นเหตุผลส่วนตัวมากๆ แต่ถ้ามองด้วยคุรภาพและประเด็น หนังเรื่องนี้ก็ยังเป็นหนังไทยที่น่าไปดูเพื่อเปิดมุมมองในชีวิตเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี อยากให้ไปดูกันครับ
ความคาดหวังก่อนชม / หลังชม – คาดหวังสูงมาก / ผิดจากที่หวังไว้
เกรดหนัง – อยากให้ดู เพราะถ้าไม่เพี้ยนอย่างผม น่าจะอิน
คะแนน 6/10
****รีวิว เกรดหนัง และคะแนน อยู่บนพื้นฐานของหนังไทยเท่านั้น ไม่นำหนังเทศมารวมแต่อย่างใด***
[CR] [Mr. Coffee รีวิว 7/2560] Die Tomorrow (ไม่สปอยล์)
สวัสดีครับ เมื่อบ่ายที่ผ่านมา ผมก็ได้มีโอกาสชมหนังไทยเรื่อง "Die Tomorrow" ของ เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับหนัง ที่หนังของเขา ต้องใช้ความพยายามและขวนขวยเป็นอย่างมากเพื่อที่จะได้ดู (จะยกเว้นก็แต่ ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ที่มีฉายทั่วไป) และเรื่องนี้ก็เช่นกัน ต้องมานั่งลุ้นที่หน้า facebook ของเต๋อว่าวันนี้จะมีฉายที่ไหนบ้าง จะเพิ่มโรงอีกไหม ตั๋วเต็มหรือยัง ฯลฯ แต่ด้วยความชอบในสไตล์ และความเชื่อถือที่ผมมีต่อเต๋อ ก็ต้องหาทางดูจนได้นั่นแหล่ะ จองล่วงหน้านานหน่อย ก็พอจะได้ดูอยู่
จากตัวอย่าง.... มันก็ไม่ได้บอกอะไรว่า หนังจะออกมาเป็นอย่างไรจริงๆ เอาเป็นว่า อยากรู้ก็ต้องดูตัวหนังจริงล่ะครับ
ขอบอกก่อนเลยว่าการที่ตัวหนังเป็นหนังสั้นต่อๆกัน ทำให้การวิจารณ์โดยไม่สปอยล์เข้าขั้นยากแสนยาก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรถึงหนังได้บ้างไหม เอาเป็นว่า ผมจะพูดถึงความรู้สีกต่อตัวหนังที่ผมมีละกันนะครับ
ความรู้สึกแรกคือ หนังพยายามเล่าเรื่อง โดยที่ไม่นำเสนอสิ่งที่เป็นจุดสำคัญสุด ก็อาจเป็นว่า จุดสำคัญนั้น มันกระทบจิตใจได้ง่าย หรืออาจเปลืองงบ55 แต่มันก็ได้อารมณ์อยู่ในที การใช้การถ่ายทำแบบลองเทก มันได้ความดิบแทบจะเหมือนกับการนั่งดูคลิปแบบดิบๆ แต่เทคนิกจากเรื่องก่อนๆหลายประการก็ยังคงถูกนำมาใช้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกล้องไว้ การครอบเฟรมภาพ การใช้คำบรรยายบนจอสื่อสาร ตรงนี้ก็ยังคงเป็นเต๋ออย่างชัดเจน
เมื่อมองมาที่การแสดงต่างๆ ก้ต้องยอมรับว่า นักแสดงแทบทุกคนนั้น มีรางวัลรับประกันฝีมือกันอยู่แล้ว แม้จะเป็นลองเทก แต่ทุกคนทุกตอน ทำได้ดีจนสร้างอารมณ์ พาเราจมดิ่งเข้าสู่ประเด็นหลักของหนังได้อย่างไม่ยากเย็น อีกอย่างที่สำคัญคือ หนังเงียบมากทีเดียว บอกตามตรงว่าถ้าซื้อข้าวโพดคั่วเข้าไปกิน เวลาเคี้ยวก็อย่าลืมปิดปากนะครับ เดี๋ยวจะได้ยินไปทั้งโรง55
แต่ประเด็นหลักของหนัง เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่า มันทำงานกับคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน มัน "กระแทก" จิตใจของคนได้ไม่เท่ากัน ขึ้นกับอารมณ์ ความคิด ความเชื่อ และประสบการณ์ ซึ่งผมอาจจะเป็นคนกลุ่มน้อยมากก็ได้ ที่หนังทำอะไรผมแทบไม่ได้เลย impact มันน้อยกว่าที่คาดเดาไว้ก่อนหน้าจะดูหนังมากมาย ตรงนี้คงแล้วกับแต่ละคนว่าคุณมอง "ความตาย" เป็นอย่างไร
แล้วเมื่อนำหนังเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับหนังก่อนๆของเต๋อ ที่มักจะดูแล้วมีบางฉากที่เหมือนโดนค้อนทุบหัว มีอะไรกระแทกแรงๆที่กลางหน้าอก มันจุก แต่เรื่องนี้ไม่มีผลอะไรกับผม ก็ย่อมทำให้ความชื่นชอบของผมต่อหนังเรื่องนี้ไม่เท่าเรื่องก่อนๆของเต๋ออย่างแน่นอน จะบอกว่าเสียดายก็คงไม่ใช่ เพราะเชื่อว่ามีคนโดนเยอะอยู่
จากตรงนี้ ผมขอพูดมุมมองในเรื่องความตายของผม จะซ่อนสปอยล์ไว้นะครับ เพราะจริงๆทุกท่านไม่ต้องอ่านก็ได้ เผื่อไว้แค่คนที่สงสัยว่าทำไม่ผมไม่อินกับหนังเท่านั่น [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุป - ต้องขออภัยที่ต้องบอกว่า เป็นหนังของเต๋อที่ผมชอบน้อยที่สุด และเป็นเหตุผลส่วนตัวมากๆ แต่ถ้ามองด้วยคุรภาพและประเด็น หนังเรื่องนี้ก็ยังเป็นหนังไทยที่น่าไปดูเพื่อเปิดมุมมองในชีวิตเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี อยากให้ไปดูกันครับ
ความคาดหวังก่อนชม / หลังชม – คาดหวังสูงมาก / ผิดจากที่หวังไว้
เกรดหนัง – อยากให้ดู เพราะถ้าไม่เพี้ยนอย่างผม น่าจะอิน
คะแนน 6/10
****รีวิว เกรดหนัง และคะแนน อยู่บนพื้นฐานของหนังไทยเท่านั้น ไม่นำหนังเทศมารวมแต่อย่างใด***