






สวัสดีค่าทุกท่าน ไม่รู้ว่ายังมีใครพอจำกันได้หรือเปล่าหนอ >.,< สืบเนื่องมาจากอาการ Jet Lag เพราะเพิ่งกลับถึงเมืองไทยได้ยังไม่ครบ 24 ชั่วโมงดีเลย ฮ่าๆๆๆ
วันนี้กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเรื่องอัพเดทมากมายหลายอย่าง เวลาผ่านไป 4 ปีแล้วตั้งแต่เราเริ่มตั้งกระทู้แรกในวันที่ไปเยือนนิวยอร์ค เมืองแห่งความฝันของเรานั่นเองค่ะ ตอนนั้นถ้าใครได้อ่านกระทู้ก็คงจะจำเรื่องราวของเรากับหนุ่มญี่ปุ่น Snoopy Boy (นามสมมติ) กันได้ ฮ่าๆๆๆๆ
ในวันนี้ (จริงๆก็สักพักแล้ว)ความสัมพันธ์ของเรากับเค้ายังคุยกันทุกวัน ติดต่อกันตลอด มีโมเม้นท์บ้าๆบอๆด้วยกันตลอด แต่ว่า สถานะของเราตอนนี้กลัมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมค่ะ คงเพราะระยะทางมันทำให้เราคาดหวังอะไรมากเกินไป จนกระทั่งเราตัดสินใจว่า ระหว่างที่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเดียวกันจริงๆ เราเป็นเพื่อนกันไปก่อนดีกว่า แล้วค่อยๆดูว่า ในสักวัน ในเวลาที่ใช่ เราอาจกลับมาเป็นแฟนกันได้เหมือนเดิม แต่ระหว่างนี้เราก็ยังคุยงุ้งๆงิ้งๆกันด้ เปิดโอกาสให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตได้ โดยที่ยึดหลักว่า อะไรที่เป็นของเรา มันก็จะเป็นของเราในท้ายที่สุดค่ะ ^_^
เอาล่ะ หมดเรื่องดราม่า มาที่เรื่องดราม่ากว่า(เอิ่ม) เล่าแบบย่อๆก็แล้วกันเนอะ
เนื่องจากช่วงที่ผ่านมานี้ จขกท ได้มีโอกาสรู้จักหนุ่มคนนึงผ่านเพื่อนอีกที หลังจากเริ่มคุยกันมา มันก็รู้สึกแบบ เฮ้ยแกร คนนี้มันใช่มาก นิสัยเหมือนกัน ชอบอะไรคล้ายกัน คุยกันได้เป็นวรรคเป็นเวร ตั้งกะเรื่องดนตรี(หนุ่มเรียนดอกเตอร์ด้าน Music theoryค่ะ) ไปยันเรื่องเทพเจ้ากรีก โรมัน ออกอ่าวไปถึงเรื่องหมาแมว มีนิสัยพิลึกๆ ชอบแคปจอเวลามีตัวเลขสวยๆเหมือนกันทั้งคู่ เป็นคนคิดมากพอกันทั้งคู่ และเป้นในสิ่งที่เราเรียกกันเล่นๆว่า "เด็กเอเลี่ยนไร้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างสนามเด็กเล่น"
เราสองคนคุยกัน แชร์กันถึงเรื่องอดีตต่างๆในชีวิต คิดเหมือนกันเลยว่า สมัยเราเด็กๆนี่ไม่ค่อยมีเพื่อนเลย เข้ากับคนอื่นก็ยาก ความสนใจก็ไม่ค่อยตรงกับชาวบ้าน ตัวเค้าเองก็โดนเพื่อนแกล้งเอาบ้างเพราะเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกัน ในโรงเรียนที่แทบไม่มีคนเอเชียอยู่เลย ก็แลกเปลี่ยนความคิดกัน ระบายนั่นนี่ให้กันฟัง และแน่นอน เรารู้จักกันผ่านทางเฟสบุ๊คของเพื่อนอีกที เรายังไม่เคยเจอกันเลย แต่เราก็เปิดวีดีโอคุยกันทุกวัน ร้องเพลงเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ
เวลาผ่านไปสามเดือน เป็นช่วงเวลาที่เรียกว่าเรามีความสุขมากๆ เราบ่นให้เค้าฟังเรื่องอยากกลับไปนิวยอร์ค คิดถึงนิวยอร์ค เค้าเองก็บอกว่า อยากให้มาเที่ยว ภ้าเราไป เราก็จะได้เจอกันในชีวิตจริงสักที แล้วใช่ค่ะ...วันนึงเราก็ก้าวออกจากคอมฟอร์ดโซน ยืมตังค์คุณแม่ของน้องคนนึงที่สนิทกันมาโปะบัญชี แล้วตรงดิ่งไปขอวีซ่าเลย
วีซ่าผ่านจ้าาาาา เราก็ด้วยความลั้นลา ออกตั๋วไปนิวยอร์คโลด หลังจากเช็คเวลาแล้วว่าเป็นช่วงที่เค้าว่างพอดี ก็จัดการเลย แล้วก็มานั่งนับวันถอยหลังรอกันด้วยความตื่นเต้น
แต่เพียงแค่ 1 สัปดาห์ก่อนไป จู่ๆก็เหมือยนมีพายุเฮอร์ริเคนเข้ามาถล่มชีวิต เพราะอีตอนเช้า คุณชายยังกรี๊ดกร๊าดนั่งนับวันรอ บอกว่าเธอออ อีกวีคเดียวเอง เราแทบจะนับชั่วโมงรอเจอแล้ว จู่ๆอีก็เกิดอาการผีเข้า บอกเรากลางอากาศว่า "เราว่า เพราะอะไรหลายๆอย่าง เราสองคนเลิกคุยกันเถอะนะ เราเสียใจจริงๆ แต่มันน่าจะดีกับเราสองคคนที่สุดแล้ว"
เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ช๊อคไปสิคะ แต่หลังจากพยายามถาม พยายามคุยแล้ว หลังจากโทรไปร้องห่มร้องไห้กับเพื่อน และอีแพลนที่จะไปเที่ยวเนี่ย ครึ่งนึงเลยคือเราจะไปเที่ยวเมืองที่เค้าอยู่ ไปอยู่บ้านเค้า(ที่มีรูมเมทอยู่ด้วยเด้อ) สุดท้ายเค้าก็สรุปออกมาว่า เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ เพราะเค้าเองก็เป็นคนกระตุ้นให้เราตัดสินใจเดินทาง ช่วงเวลาที่เราควรจะไปอยู่บ้านเค้า เค้าจะจัดการจองโฮสเทลให้ก็แล้วกัน แล้วในระหว่างทริปก็ขอให้เราอัพเดทด้วยว่าเข้าที่พักหรือยัง ถึงเรียบร้อยดีไหม จนกว่าจะจบทริป เราถึงจะหยุดคุยกันเป็นการถาวร
เออ ก็ได้วะ จะทิ้งตั๋วก็เสียดาย ไปมันทั้งแบบนี้แหละ ให้มันรู้ไปเลยว่าโดนผู้ชายเทแค่นี้ มันจะตาย!!
อีกหนึ่งวีคถัดมา จขกท ก็ไปยืนยิ้มเผล่อยู่สนามบินเป็นที่เรียบร้อย คราวนี้จองสายการบิน Etihad ไปต่อเครื่องที่อาบูดาบีค่ะ ความรู้สึกอีตอนไปที่เกทนี่คือ ประหนึ่งตัวเองเป็นมาเรีย จากเรื่อง The Sound of Music ยังไงยังงั้น แทบจะร้องออกมาเป็นเพลงว่า "What will ths day be like? I wonder...What will my future be? I wonder..."
แต่เอาเหอะ วีซ่าพร้อม ตั๋วพร้อม เงิน...อันนี้ไม่ค่อยพร้อม แต่มาม่าทุกวันก็คงพอไหว นังแพนจะเดินทางแล้ว นิวยอร์คคคค เฮียรไอคัมมมมมมม!!!

เอามาให้เจ็บใจเล่น ฮ่าๆๆ ตุ๊กตาตัวนี้จริงๆเราปั้นไว้เป็นคู่(กับฮีนั่นแหละ) เพราะจะเอาไว้ถ่ายรูปเล่นตอนไปเที่ยวด้วยกันค่ะ แบบเน้...
แต่เราะตั้งใจแล้วว่าจะส่งทุกอย่างที่ตั้งใจจะเอาไปให้ไปให้ฮี เพราะเราเองพูดตามตรงว่าทำใจทิ้งงานที่ทำ ทิ้งรูปที่วาดไว้ไม่ลงจริงๆค่ะ ซึ่งเจ้าตัวก็ขอเอาไว้ตั้งนานแล้ว ว่าอยากได้ต้นฉบับรูปที่เราวาดเล่นๆแล้วถ่ายส่งไปให้ ตุ๊กตาที่เรานั่งทำให้
พอ เลิกงอแง!! กลับมาที่การเดินทางกันดีกว่า จริงๆแล้วเค้าตั้งใจจะไปรับเราที่สนามบินค่ะ แต่พอเกิดเรื่อง ก็เลยยังไม่รู้ยังไง เราเองให้เวลาเค้าตัดสินใจหนึ่งวีค ถ้าคิดได้ก็กรุณาไปรับตูด้วยค่ะ เดินทางไกลมันเหนื่อย ของเยอะเฟ้ย เราบอกเค้าว่าจะฟังคำตอบตอนที่ถึงอาบูดาบีแล้ว แต่ลึกๆก็พอจะเดาได้แหละว่าคงปิ๋ว เค้าไม่มาหรอก ก็เลยลองถามเจ้านายเก่า ว่าพอจะมารับได้ไหม หนูไม่สามารถลากกระเป๋าสองใบขึ้นรถไฟไหวจริงๆค่ะ ออกจะตัวเล็ก บอบบางขนาดนี้เนาะ
แน่นอนว่า พอมาถึงอาบูดาบี คำตอบก็รู้ๆกันอยู่ ฮ่าๆๆๆ
แต่ช่างเถอะ ทริปปนี้เป็นทริปล้างใจ เรามาเที่ยว เราต้องเที่ยวววววว และสิ่งแรกที่ตื่นตาตื่นใจเรามากก็คือ ห้องน้ำที่นี่มีสายชำระด้วยยยย

หลังจากนั่งเครื่องมา 7ชั่วโมง สิ่งนี้มันคือสวรรค์บนดินแท้ๆเลยเน้ออออออออ รักสนามบินนี้จริงๆเลย
ความโชคดีอีกอย่างของทริปนี้ก็คือ ขาไปจากอาบูดาบีสู่นิวยอร์ค ไฟลท์ว่างมากกกกกก เราก็เลยได้ครอบครองสามที่นั่งอย่างมีความสุข แฮปปี้สบายแฮ นั่นก็ทำให้การบิน14ชั่วโมงมันดูไม่ค่อยโหดร้ายเท่าที่คิดเอาไว้ ก็แหม เวลามันก็ผ่านมาหลายปีแล้วจากครั้งล่าสุดที่นั่งเครื่องยาวๆแบบนี้ กระดูกกระเดี้ยวมันก็ย่อมจะเสื่อมไปตามวัยบ้างอะไรบ้างเนาะ
ใที่สุดก็ถึงนิวหยวกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

เกือบลืมเล่าไป ตอนที่เรารอต่อเครื่องที่อาบูดาบี เราก็ว่าทำไมไปที่เกทไม่ได้สักที มีเจ้าหน้าที่มายืนเรียกดูบอร์ดดิ้งพาส แล้วก็เก็บเอาไป ให้เราไปนั่งรอ รอ แล้วก็รอ เค้าก็เดินมาเรียกทีละคนสองคน ใครได้คืนแล้วก็เข้าไปแสกนกระเป๋าอีกรอบ แล้วไปที่เกทได้(มั้ง) เราก็รอ รอจนหลับ รอจนสงสัยว่าเค้าเรียกแล้วแต่เราฟังไม่รู้เรื่องรึเปล่าหว่า รอมาร่วมชั่วโมง ถึงได้ยินชื่อตัวเองแทบจะปรบมือ โบกมือบ๊ายบายคนที่นั่งรอคนอื่นๆเหมือนตอนคุณอาภัสราได้รับตำแหน่งนามงามจักรวาล
ไปแสกนกระเป๋าแล้ว ก็เดินเข้าไป เอ๊ะ นั่นมัน ตม.เหรอ ทำไมมีที่นี่หว่า สงสัย แต่ก็เดินไปต่อแถวโดยดี จนกระทั่งถูกเรียกเข้าคอก เจอคุณเจ้าหน้าที่ผิวสีขอพาสปอร์ตไปดู แล้วก็เริ่มยิงคำถาม
จนท : สวัสดี มิส คุณจะมาทำอะไรที่นิวยอร์ค
เรา : เที่ยวค่ะ มาดูละครด้วย
จนท : อื้มมมมมม แล้วจะมากี่วันครับ
เรา : สองสัปดาห์โดยประมาณค่ะ กลับวันที่ 22 พ.ย.
จนท : เคยมาอเมริกาแล้ว?
เรา : ช่าย สองครั้ง ครั้งแรกมาแลกเปลี่ยน ครั้งที่สองมาเรียน
จนท : คุณเอาเงินติดตัวมาเท่าไหร่
เรา : 800เหรียญค่ะ
จนท : (เลิกคิ้ว) หืมมมม? พอเหรอ?
เรา : เราไม่ใช่คนชอบชอปปิ้งน่ะค่ะ และส่วนมากคนเค้าก็ไม่ค่อยพกเงินสดกันไม่ใช่เหรอ เราเอาการ์ดมา
จนท : โอ๊เค เวลคั่มทูนิวยอร์ค (แล้วขยิบตาใส่ให้หนึ่งที)
ตอนนั้นยังงงๆอยู่ว่า ทำไมถามกันที่นี่เลยหว่า แต่เดี๋ยวคงไปเจออีกด่านตอนถึงอเมริกามั้ง ก็เดินไปรอหน้าเกท(เกทไม่เปิดสักทีน่อ) ต่อเน็ต เล่นมือถือ คุยเฟสไทม์กับอีตาสนูปี้บอยไป คุยกับแม่ไปด้วย ฟังข่าวร้ายจากอีตาคนใจร้ายที่นู่นด้วย ก็ได้เวลาต่อเครื่องในที่สุด

ตัดกลับมาที่นิวยอร์ค เครื่องลงตอนบ่ายสามโมงครึ่ง เราก็ออกมา เดินไปามทางที่เค้าชี้ เดินผ่านช่องรับกระเป๋า เห็นเขียนว่า Domestic ก็เลย เอ๊ะ หรือของเรามันจะไม่ใช่ตรงนี้หว่า เดินไปดูอีกหน่อยดีกว่า
เดินออกมา เฮ้ย นี่มันทางออก แล้ว ตม.อยู่ไหน หรือเราเดินออกมาแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวฟะ แต่มันจะผ่านมาง่ายแบบนี้เลยได้ไง แล้วถ้ากลับเข้าไปเอากระเป๋าไม่ได้ล่ะ ทำไงดี๊ ว่าแล้วก็เดินกลับไป เห็นป้ายไฟขึ้นพอดีว่าให้ไปรับกระเป๋าตรงสายพาน เราก็ไปรอรับ พร้อมความมึนๆงงๆว่า เออ มันก็ง่ายดีเนอะ ไม่ต้องมาเข้าแถวรอสัมภาษณ์อีกรอบ
ว่าแล้วก็รับกระเป๋า เดินออกมานั่งรอ และนั่นไง พี่เจ้านายเก่ากำลังเดินมารับพอดี ชีวิตในนิวยอร์คของฉันกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งแล้วววววววววววววว
เรื่องเล่าจากสาวเอ๋อ :: Journey to the past ทริปหกคะเมนตีลังกาของสตรีไทยวัยเลขสาม Back to NEW YORKKKKK!!!!!!!
วันนี้กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเรื่องอัพเดทมากมายหลายอย่าง เวลาผ่านไป 4 ปีแล้วตั้งแต่เราเริ่มตั้งกระทู้แรกในวันที่ไปเยือนนิวยอร์ค เมืองแห่งความฝันของเรานั่นเองค่ะ ตอนนั้นถ้าใครได้อ่านกระทู้ก็คงจะจำเรื่องราวของเรากับหนุ่มญี่ปุ่น Snoopy Boy (นามสมมติ) กันได้ ฮ่าๆๆๆๆ
ในวันนี้ (จริงๆก็สักพักแล้ว)ความสัมพันธ์ของเรากับเค้ายังคุยกันทุกวัน ติดต่อกันตลอด มีโมเม้นท์บ้าๆบอๆด้วยกันตลอด แต่ว่า สถานะของเราตอนนี้กลัมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมค่ะ คงเพราะระยะทางมันทำให้เราคาดหวังอะไรมากเกินไป จนกระทั่งเราตัดสินใจว่า ระหว่างที่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเดียวกันจริงๆ เราเป็นเพื่อนกันไปก่อนดีกว่า แล้วค่อยๆดูว่า ในสักวัน ในเวลาที่ใช่ เราอาจกลับมาเป็นแฟนกันได้เหมือนเดิม แต่ระหว่างนี้เราก็ยังคุยงุ้งๆงิ้งๆกันด้ เปิดโอกาสให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตได้ โดยที่ยึดหลักว่า อะไรที่เป็นของเรา มันก็จะเป็นของเราในท้ายที่สุดค่ะ ^_^
เอาล่ะ หมดเรื่องดราม่า มาที่เรื่องดราม่ากว่า(เอิ่ม) เล่าแบบย่อๆก็แล้วกันเนอะ
เนื่องจากช่วงที่ผ่านมานี้ จขกท ได้มีโอกาสรู้จักหนุ่มคนนึงผ่านเพื่อนอีกที หลังจากเริ่มคุยกันมา มันก็รู้สึกแบบ เฮ้ยแกร คนนี้มันใช่มาก นิสัยเหมือนกัน ชอบอะไรคล้ายกัน คุยกันได้เป็นวรรคเป็นเวร ตั้งกะเรื่องดนตรี(หนุ่มเรียนดอกเตอร์ด้าน Music theoryค่ะ) ไปยันเรื่องเทพเจ้ากรีก โรมัน ออกอ่าวไปถึงเรื่องหมาแมว มีนิสัยพิลึกๆ ชอบแคปจอเวลามีตัวเลขสวยๆเหมือนกันทั้งคู่ เป็นคนคิดมากพอกันทั้งคู่ และเป้นในสิ่งที่เราเรียกกันเล่นๆว่า "เด็กเอเลี่ยนไร้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างสนามเด็กเล่น"
เราสองคนคุยกัน แชร์กันถึงเรื่องอดีตต่างๆในชีวิต คิดเหมือนกันเลยว่า สมัยเราเด็กๆนี่ไม่ค่อยมีเพื่อนเลย เข้ากับคนอื่นก็ยาก ความสนใจก็ไม่ค่อยตรงกับชาวบ้าน ตัวเค้าเองก็โดนเพื่อนแกล้งเอาบ้างเพราะเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกัน ในโรงเรียนที่แทบไม่มีคนเอเชียอยู่เลย ก็แลกเปลี่ยนความคิดกัน ระบายนั่นนี่ให้กันฟัง และแน่นอน เรารู้จักกันผ่านทางเฟสบุ๊คของเพื่อนอีกที เรายังไม่เคยเจอกันเลย แต่เราก็เปิดวีดีโอคุยกันทุกวัน ร้องเพลงเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ
เวลาผ่านไปสามเดือน เป็นช่วงเวลาที่เรียกว่าเรามีความสุขมากๆ เราบ่นให้เค้าฟังเรื่องอยากกลับไปนิวยอร์ค คิดถึงนิวยอร์ค เค้าเองก็บอกว่า อยากให้มาเที่ยว ภ้าเราไป เราก็จะได้เจอกันในชีวิตจริงสักที แล้วใช่ค่ะ...วันนึงเราก็ก้าวออกจากคอมฟอร์ดโซน ยืมตังค์คุณแม่ของน้องคนนึงที่สนิทกันมาโปะบัญชี แล้วตรงดิ่งไปขอวีซ่าเลย
วีซ่าผ่านจ้าาาาา เราก็ด้วยความลั้นลา ออกตั๋วไปนิวยอร์คโลด หลังจากเช็คเวลาแล้วว่าเป็นช่วงที่เค้าว่างพอดี ก็จัดการเลย แล้วก็มานั่งนับวันถอยหลังรอกันด้วยความตื่นเต้น
แต่เพียงแค่ 1 สัปดาห์ก่อนไป จู่ๆก็เหมือยนมีพายุเฮอร์ริเคนเข้ามาถล่มชีวิต เพราะอีตอนเช้า คุณชายยังกรี๊ดกร๊าดนั่งนับวันรอ บอกว่าเธอออ อีกวีคเดียวเอง เราแทบจะนับชั่วโมงรอเจอแล้ว จู่ๆอีก็เกิดอาการผีเข้า บอกเรากลางอากาศว่า "เราว่า เพราะอะไรหลายๆอย่าง เราสองคนเลิกคุยกันเถอะนะ เราเสียใจจริงๆ แต่มันน่าจะดีกับเราสองคคนที่สุดแล้ว"
เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ช๊อคไปสิคะ แต่หลังจากพยายามถาม พยายามคุยแล้ว หลังจากโทรไปร้องห่มร้องไห้กับเพื่อน และอีแพลนที่จะไปเที่ยวเนี่ย ครึ่งนึงเลยคือเราจะไปเที่ยวเมืองที่เค้าอยู่ ไปอยู่บ้านเค้า(ที่มีรูมเมทอยู่ด้วยเด้อ) สุดท้ายเค้าก็สรุปออกมาว่า เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ เพราะเค้าเองก็เป็นคนกระตุ้นให้เราตัดสินใจเดินทาง ช่วงเวลาที่เราควรจะไปอยู่บ้านเค้า เค้าจะจัดการจองโฮสเทลให้ก็แล้วกัน แล้วในระหว่างทริปก็ขอให้เราอัพเดทด้วยว่าเข้าที่พักหรือยัง ถึงเรียบร้อยดีไหม จนกว่าจะจบทริป เราถึงจะหยุดคุยกันเป็นการถาวร
เออ ก็ได้วะ จะทิ้งตั๋วก็เสียดาย ไปมันทั้งแบบนี้แหละ ให้มันรู้ไปเลยว่าโดนผู้ชายเทแค่นี้ มันจะตาย!!
อีกหนึ่งวีคถัดมา จขกท ก็ไปยืนยิ้มเผล่อยู่สนามบินเป็นที่เรียบร้อย คราวนี้จองสายการบิน Etihad ไปต่อเครื่องที่อาบูดาบีค่ะ ความรู้สึกอีตอนไปที่เกทนี่คือ ประหนึ่งตัวเองเป็นมาเรีย จากเรื่อง The Sound of Music ยังไงยังงั้น แทบจะร้องออกมาเป็นเพลงว่า "What will ths day be like? I wonder...What will my future be? I wonder..."
แต่เอาเหอะ วีซ่าพร้อม ตั๋วพร้อม เงิน...อันนี้ไม่ค่อยพร้อม แต่มาม่าทุกวันก็คงพอไหว นังแพนจะเดินทางแล้ว นิวยอร์คคคค เฮียรไอคัมมมมมมม!!!
เอามาให้เจ็บใจเล่น ฮ่าๆๆ ตุ๊กตาตัวนี้จริงๆเราปั้นไว้เป็นคู่(กับฮีนั่นแหละ) เพราะจะเอาไว้ถ่ายรูปเล่นตอนไปเที่ยวด้วยกันค่ะ แบบเน้...
แต่เราะตั้งใจแล้วว่าจะส่งทุกอย่างที่ตั้งใจจะเอาไปให้ไปให้ฮี เพราะเราเองพูดตามตรงว่าทำใจทิ้งงานที่ทำ ทิ้งรูปที่วาดไว้ไม่ลงจริงๆค่ะ ซึ่งเจ้าตัวก็ขอเอาไว้ตั้งนานแล้ว ว่าอยากได้ต้นฉบับรูปที่เราวาดเล่นๆแล้วถ่ายส่งไปให้ ตุ๊กตาที่เรานั่งทำให้
พอ เลิกงอแง!! กลับมาที่การเดินทางกันดีกว่า จริงๆแล้วเค้าตั้งใจจะไปรับเราที่สนามบินค่ะ แต่พอเกิดเรื่อง ก็เลยยังไม่รู้ยังไง เราเองให้เวลาเค้าตัดสินใจหนึ่งวีค ถ้าคิดได้ก็กรุณาไปรับตูด้วยค่ะ เดินทางไกลมันเหนื่อย ของเยอะเฟ้ย เราบอกเค้าว่าจะฟังคำตอบตอนที่ถึงอาบูดาบีแล้ว แต่ลึกๆก็พอจะเดาได้แหละว่าคงปิ๋ว เค้าไม่มาหรอก ก็เลยลองถามเจ้านายเก่า ว่าพอจะมารับได้ไหม หนูไม่สามารถลากกระเป๋าสองใบขึ้นรถไฟไหวจริงๆค่ะ ออกจะตัวเล็ก บอบบางขนาดนี้เนาะ
แน่นอนว่า พอมาถึงอาบูดาบี คำตอบก็รู้ๆกันอยู่ ฮ่าๆๆๆ
แต่ช่างเถอะ ทริปปนี้เป็นทริปล้างใจ เรามาเที่ยว เราต้องเที่ยวววววว และสิ่งแรกที่ตื่นตาตื่นใจเรามากก็คือ ห้องน้ำที่นี่มีสายชำระด้วยยยย
หลังจากนั่งเครื่องมา 7ชั่วโมง สิ่งนี้มันคือสวรรค์บนดินแท้ๆเลยเน้ออออออออ รักสนามบินนี้จริงๆเลย
ความโชคดีอีกอย่างของทริปนี้ก็คือ ขาไปจากอาบูดาบีสู่นิวยอร์ค ไฟลท์ว่างมากกกกกก เราก็เลยได้ครอบครองสามที่นั่งอย่างมีความสุข แฮปปี้สบายแฮ นั่นก็ทำให้การบิน14ชั่วโมงมันดูไม่ค่อยโหดร้ายเท่าที่คิดเอาไว้ ก็แหม เวลามันก็ผ่านมาหลายปีแล้วจากครั้งล่าสุดที่นั่งเครื่องยาวๆแบบนี้ กระดูกกระเดี้ยวมันก็ย่อมจะเสื่อมไปตามวัยบ้างอะไรบ้างเนาะ
ใที่สุดก็ถึงนิวหยวกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เกือบลืมเล่าไป ตอนที่เรารอต่อเครื่องที่อาบูดาบี เราก็ว่าทำไมไปที่เกทไม่ได้สักที มีเจ้าหน้าที่มายืนเรียกดูบอร์ดดิ้งพาส แล้วก็เก็บเอาไป ให้เราไปนั่งรอ รอ แล้วก็รอ เค้าก็เดินมาเรียกทีละคนสองคน ใครได้คืนแล้วก็เข้าไปแสกนกระเป๋าอีกรอบ แล้วไปที่เกทได้(มั้ง) เราก็รอ รอจนหลับ รอจนสงสัยว่าเค้าเรียกแล้วแต่เราฟังไม่รู้เรื่องรึเปล่าหว่า รอมาร่วมชั่วโมง ถึงได้ยินชื่อตัวเองแทบจะปรบมือ โบกมือบ๊ายบายคนที่นั่งรอคนอื่นๆเหมือนตอนคุณอาภัสราได้รับตำแหน่งนามงามจักรวาล
ไปแสกนกระเป๋าแล้ว ก็เดินเข้าไป เอ๊ะ นั่นมัน ตม.เหรอ ทำไมมีที่นี่หว่า สงสัย แต่ก็เดินไปต่อแถวโดยดี จนกระทั่งถูกเรียกเข้าคอก เจอคุณเจ้าหน้าที่ผิวสีขอพาสปอร์ตไปดู แล้วก็เริ่มยิงคำถาม
จนท : สวัสดี มิส คุณจะมาทำอะไรที่นิวยอร์ค
เรา : เที่ยวค่ะ มาดูละครด้วย
จนท : อื้มมมมมม แล้วจะมากี่วันครับ
เรา : สองสัปดาห์โดยประมาณค่ะ กลับวันที่ 22 พ.ย.
จนท : เคยมาอเมริกาแล้ว?
เรา : ช่าย สองครั้ง ครั้งแรกมาแลกเปลี่ยน ครั้งที่สองมาเรียน
จนท : คุณเอาเงินติดตัวมาเท่าไหร่
เรา : 800เหรียญค่ะ
จนท : (เลิกคิ้ว) หืมมมม? พอเหรอ?
เรา : เราไม่ใช่คนชอบชอปปิ้งน่ะค่ะ และส่วนมากคนเค้าก็ไม่ค่อยพกเงินสดกันไม่ใช่เหรอ เราเอาการ์ดมา
จนท : โอ๊เค เวลคั่มทูนิวยอร์ค (แล้วขยิบตาใส่ให้หนึ่งที)
ตอนนั้นยังงงๆอยู่ว่า ทำไมถามกันที่นี่เลยหว่า แต่เดี๋ยวคงไปเจออีกด่านตอนถึงอเมริกามั้ง ก็เดินไปรอหน้าเกท(เกทไม่เปิดสักทีน่อ) ต่อเน็ต เล่นมือถือ คุยเฟสไทม์กับอีตาสนูปี้บอยไป คุยกับแม่ไปด้วย ฟังข่าวร้ายจากอีตาคนใจร้ายที่นู่นด้วย ก็ได้เวลาต่อเครื่องในที่สุด
ตัดกลับมาที่นิวยอร์ค เครื่องลงตอนบ่ายสามโมงครึ่ง เราก็ออกมา เดินไปามทางที่เค้าชี้ เดินผ่านช่องรับกระเป๋า เห็นเขียนว่า Domestic ก็เลย เอ๊ะ หรือของเรามันจะไม่ใช่ตรงนี้หว่า เดินไปดูอีกหน่อยดีกว่า
เดินออกมา เฮ้ย นี่มันทางออก แล้ว ตม.อยู่ไหน หรือเราเดินออกมาแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวฟะ แต่มันจะผ่านมาง่ายแบบนี้เลยได้ไง แล้วถ้ากลับเข้าไปเอากระเป๋าไม่ได้ล่ะ ทำไงดี๊ ว่าแล้วก็เดินกลับไป เห็นป้ายไฟขึ้นพอดีว่าให้ไปรับกระเป๋าตรงสายพาน เราก็ไปรอรับ พร้อมความมึนๆงงๆว่า เออ มันก็ง่ายดีเนอะ ไม่ต้องมาเข้าแถวรอสัมภาษณ์อีกรอบ
ว่าแล้วก็รับกระเป๋า เดินออกมานั่งรอ และนั่นไง พี่เจ้านายเก่ากำลังเดินมารับพอดี ชีวิตในนิวยอร์คของฉันกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งแล้วววววววววววววว