ประสบการณ์ ''อีกรสชาติของการเดินป่า''

อ่าน ''เพชรพระอุมา'' สักพักก็เริ่มอินครับ คิดอยากเดินป่าจริงๆ (เป็นเอาหนัก) แล้วนั่งคิดไปนั่งคิดมา ชีวิตน้อยๆดวงนี้เคยเดินป่ามากี่ครั้งแล้วนะ นึกและมองย้อนกลับไป ''ประสบการณ์เดินป่าน้อยมากเลย'' ที่ได้เดินป่าจริงๆ แต่จะว่าไปแล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะ ผมขอเล่าการเดินป่าที่พอนึกออกมาให้ฟังนะครับ เป็นหนึ่งในการเดินป่าที่ของผมที่ผมพอจำจะได้ เพราะมันได้อะไรหลายๆอย่างจากการเดินป่าครั้งนั้น

ย้อนไปประมาณสักครึ่งปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปบวชเป็นพระ ณ วัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดโคราช ช่วงหลังเสร็จกิจสงฆ์ตอนเช้าประมาณสิบโมงเช้า ถึง บ่ายสาม จะเป็นช่วงที่พระต้องจำวัด ทำกิจส่วนตัว หรือไม่ก็นั่งสมาธิ แต่ช่วงนั้นผมเป็นพระที่ ไม่ชอบการจำวัดในตอนกลางวัน เพราะนอนไม่หลับ(จริงๆเป็นคนชอบนอนหลับกลางวันนะ แต่ไม่รู้ทำไมตอนเป็นพระไม่อยากนอน) หลังจากเสร็จกิจส่วนตัว เช่นอาบน้ำ ซักจีวรแล้ว ผมจะชอบออกเดินเล่นชมนก ชมไม้ตามบริเวณหลังวัด ซึ่งหลังวัดจะเป็นป่าแบบภูเขาๆ ครับ

วันหนึ่งหลวงพี่(ท่านนี้ผมศรัทธามาก หลวงพี่ท่านนี้บวชได้เกือบสิบพรรษาเห็นจะได้ ขออนุญาตไม่เอ่ยนามท่านนะครับ) พาออกเดินป่าทางหลังวัด ไปดูค้างคาว ดูกระทิง ก่อนหน้านี้ท่านเคยแง้มเล่าเรื่องการเดินธุดงค์ จากเชียงใหม่ มาโคราชจากทางป่า ด้วยการเดินเท้ามา!!!

ระหว่างออกเดินเข้าไปในป่าผมจึงถามเรื่องของการเดินป่า ประมาณว่า ท่านทำยังไงถึงเดินเท้าจากเชียงใหม่มาโคราชได้? (อันนี้ผมประหลาดใจจริงๆ555)

ระหว่างนั้นก็ได้ค่อยๆเดินลึกเข้าไปในป่าแล้ว มีเพียงขวดน้ำขวดเดียวที่ถือเข้าไปเท่านั้น

ได้ความประมาณว่า
''ท่านพอจะเล่าเรื่องการเดินเท้าจากเชียงใหม่มาโคราชให้ได้ไหม ท่านเดินมาได้อย่างไร ลำพังตัวผมเองแค่เดินสิบกิโลก็ท้อแล้ว ท่านไม่รู้สึกไกลบ้างเลยเหรอ''

''มันก็แล้วแต่จุดหมายครับ'' หลวงพี่ตอบ

''ยังไง''

''ตอนท่านนั่งรถจากกำแพงเพชรมาโคราชรู้สึกว่าไกลหรือเปล่า''

''ไกลครับ''

''ก็เพราะท่านคำนึงถึงแต่จุดหมายระหว่างทางมันจึงไกล ถ้าเป็นผมนั่งรถมาผมก็รู้สึกว่าไกลเหมือนกันครับ เพราะว่าเราจะคำนึงถึงเวลาอันจำกัด แต่ถ้าเดินเท้ามา เราไม่ได้คำนึงถึงแต่จุดหมาย แต่เราถึงตรงไหนเราก็แวะตรงนั้น เราไม่ได้คิดถึงแต่ปลายทาง ระหว่างเดินจากเชียงใหม่มาถึงโคราชมันก็ไกลแหละครับ แต่ด้วยความที่มีเวลาเยอะ เรื่อยๆ ไม่ได้กำหนดจุดหมายเวลา ตัดเรื่องเวลาออก ความรู้สึกว่าระยะทางไกลลดลงไป'' หลวงพี่ตอบ

ระหว่างนั้นเราได้เดินลึกเข้าไปใกล้ๆจะถึงถ้ำค้างคาวได้เเล้ว ด้วยความที่เป็นป่าที่ไม่ได้ถูกถางให้เป็นทางเดิน เราต้องเดินฝ่าเข้าไปเหมือนกับป่าจริงๆ มีทั้งหนาม พื้นที่ชัน กิ่งไม้ มองไปตรงไหนก็มีแต่ต้นไม้ การเดินจึงค่อนข้างลำบากสำหรับผมที่ไม่ชินกับการเดินป่า แต่ทางหลวงพี่ก็ดูเหมือนกับว่าเป็นการเดินในสวนตามปกติ ไม่เห็นแม้แต่อุปสรรคการเดินของท่านเลย จนในที่สุดเราก็มาถึงถ้ำค้างคาว

เนื่องจากเป็นพระจึงไม่สามารถเอากล้องติดตัวมาได้ แต่ผมขอบอกเลยว่า ธรรมชาติช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ มีค้างคาวในถ้ำเยอะเลยนะ แม้ถ้ำจะไม่ลึกมาก แต่มีค้างคาวห้อยหัวเต็มไปหมด มีค้างคาวบินเข้าออกถ้ำ ข้างในถ้ำค้างคาวมืดมาก เต็มไปด้วยขี้ค้างคาว มีแสงส่องเข้ามาทางปากถ้ำทางเดียวเท่านั้น มันสวยงามแบบธรรมชาติแท้ๆ แบบที่รูปภาพ รูปไหนก็ไม่สามารถอธิบายได้

พอได้สัมผัสกับถ้ำค้างคาวแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อเป้าหมายคือดูกระทิง การที่จะเดินไปดูกระทิงในป่า ไม่ใช่จะเดินดุ่มๆ เข้าป่าแล้วกระทิงจะโผล่มาให้เห็น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสัตว์ป่าโดยส่วนใหญ่จะกลัวคน แค่เพียงมันได้กลิ่นได้ยินเสียง มันก็จะเดินหลบเลี่ยง เพื่อให้ให้คนเห็นตัวง่ายๆแล้ว

''ทำไมท่านถึงได้ออกธุดงค์จากเชียงใหม่ มาโคราช และตอนอยู่ในป่าท่านหาที่พักอย่างไง ตอนที่อยู่ในป่า''
ผมเริ่มสนทนาขึ้น

''จริงๆที่พักหรือบ้านของผมอยู่ทุกที่ บ้านผมมีร่มเป็นหลังคาและมีรองเท้าเป็นที่นอน ผมจึงสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้''

''แล้วในป่าท่านไม่กลัวอันตรายจากสัตว์ร้ายมั้งหรือ''

''ทุกๆที่มีอันตรายเท่ากันแหละครับ มนุษย์เราอยู่ที่ไหนก็มีอันตราย อยู่ที่ไหนก็ต้องตายทั้งนั้นแหละครับ คนเราตอนอยู่ในเมือง เราก็อันตราย ในป่าก็เหมือนกัน เอายังงี้ผมจะถามท่านว่า ''ถ้าเราเจอเสือเราจะทำอย่างไง จะวิ่งหรือไม่''

''.......''
ผมเงียบ

''งั้นผมจะถามว่าถ้าเราเจอเสือแล้วเราวิ่ง เราจะตายไหม''

''ตายครับ''
ผมตอบ

''ก็นั่นสิ ถ้าเราวิ่งเราก็ตาย แต่ถ้าเราอยู่เฉยๆเราก็ตาย หรืออาจรอดก็ได้ เมื่อผมเจอสัตว์ร้ายผมใช้การภาวนา มันก็แล้วแต่บุญแต่กรรมที่เราทำมา ''

''ในประเทศไทยน่ะ ป่าไม่ได้อุดมสมบูรณ์ขนาดนั้น ไม่ทางหรอกที่จะเดินจากเชียงใหม่มาโคราชได้ โดยไม่เจอเมือง เป็นไปไม่ได้เลย ที่หลวงพี่เดินมาเป็นเมืองซะส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ ต่อให้จะเดินตัดเข้าป่ายังไง สุดท้ายมันก็จะมาโผล่เจอบ้านคนอยู่ดี''
หลวงพี่เสริม

''...............''
ผมได้แต่รับฟัง

''จะบอกอะไรให้นะ จริงๆแล้วมนุษย์เราไม่ได้กลัวตายหรอก เพราะในเมื่ออยู่ที่ในก็ต้องตายเรารู้อยู่แล้ว แต่จริงๆแล้วมนุษย์เรากลัวความลำบาก การอยู่ในป่า การหลงป่า มันย่อมลำบากกว่าการอยู่ในเมืองอยู่แล้ว ถ้าเราหลงป่า เรากลัวตายหรือกลัวลำบาก?''

''ถ้าเราหลงป่าแล้วคุมจิตไม่อยู่ กังวลว่าเราจะตาย จริงๆแล้วคนเราจะตายง่ายๆเหรอ ผมก็เคยหลงป่า สิ่งแรกที่ผมทำเลยตอนหลงป่าก็คือ ''การคุมจิตใจให้นิ่ง'' พยายามคุมสติไว้ แล้วก็เดินหาแหล่งน้ำ เพื่อประทังชีวิต ถ้าเราเจอแหล่งน้ำเราก็รอด''
หลวงพี่อธิบาย

เราเดินกันมาได้สักพัก ไม่เห็นแม้แต่เงาของกระทิง เห็นแต่รอยเท้า ดูเหมือนวันนี้จะโชคไม่ดี ที่ไม่ได้เห็นกระทิง แต่การเดินป่าในครั้งนี้กลับได้อะไรมากกว่าการได้เห็นกระทิง ได้เข้าใจในความคิด ชีวิตของคนเรา หลักการคิดที่นำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ชีวิตคนเราก็แค่นี้แหละ

หลวงพี่ท่านนี้เป็นพระอีกท่าน ที่ผมเคารพนับถือมาก แม้จะไม่ใช่พระที่มีชื่อเสียง แต่พระท่านนี้แหละครับ สอนอะไรหลายๆอย่างเลย ''ชีวิตเราบางครั้งก็แค่มองดูอีกมุม มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว'' ท่านมีปรัชญาที่ดีจริงๆ เป็นการสอนแบบง่ายๆเป็นกันเอง

จริงๆเราสนทนากันมากกว่านี้ แต่ผมแค่นำข้อคิดบางส่วนมาเล่าให้ฟัง ถือเป็นการเดินป่าที่ได้อีกรสชาตินึง แต่ที่ลืมไปเลยก็คือความเหนื่อย เชื่อไหมครับเราเดินตั้งแค่เที่ยงจนถึงบ่ายสาม เป็นระยะทางหลายกิโลเมตร แต่ผมแทบไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยเลย

แปลกดีเนอะ!!



อันนี้เพจของผมนะครับ ติดตามงานเขียนอื่นๆ คุยเรื่องหนัง กีฬา ชีวิต เรื่อยๆ ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/Chekie-1067083510064457/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่