
ดีซีเริ่มปล่อยหนังออกมาเป็นระยะ และยังคงเอกลักษณ์กับซุปเปอร์ฮีโร่มีปมแต่เท่เข้มขลังพร้อมบรรยากาศมืดมน ในช่วงหลังๆมานี้ก็เพิ่มสีสันโทนสีของหนังขึ้นมาบ้างแต่ไม่ทิ้งโทนดาร์คตามสไตล์ของตัวเองซึ่งเป็นเสน่ห์ของดีซี สำหรับ Justice League เป็นเหตุการณ์เพียงไม่กี่เดือนหลังจากเหตุการณ์ใน Batman V Superman : Dawn of Justice การจากไปของซูเปอร์แมน ทำให้บรูซ เวย์น ได้ตระหนักถึงความดีในมวลมนุษยชาติและเห็นคุณค่าของการรวมกันเราอยู่แยกหมู่เราตาย เขาได้พบมิตรใหม่อย่าง ไดอาน่า ปรินซ์ หรือ วันเดอร์ วูแมน เพื่อป้องกันการสูญเสียและปกป้องโลกในภายภาคหน้า พวกเขาจึงต้องตามหา เมต้าฮิวแมน มาร่วมทีมได้แก่ อควาแมน, ไซบอร์ก และเดอะแฟลช ครั้งนี้พวกเขาต้องเผชิญกับศัตรูตัวใหม่ นั่นคือ สเตปเพนวูล์ฟ กับฝูงกองทัพพาราเดมอนส์ พวกมันตามหา Mother Boxes ทั้งสามใบเพื่อรวมพลังทำลายล้างโลกและจักรวาล Justice League จะสามารถพิชิตอสูรร้ายได้หรือไม่ อีกทั้งความหวังจะเห็นซุปเปอร์แมนเพื่อนรักกลับมาจะเป็นจริงหรือไม่ อย่าลืมร่วมค้นหาคำตอบที่โรงภาพยนตร์ค่ะ
ท่ามกลางกระแสวิจารณ์ถล่มทะลาย แต่โรสไม่อาจถอดใจจากดีซี ความจริงคือเป็นคนที่มีความสุขกับการดูหนังมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว มันเสพเป็นนิสัยหล่อหลอมให้เราได้มากกว่าความบันเทิง นั่นคิอ ได้แนวความคิด ความรู้ สติปัญญา และภาษา ขอบคุณที่พ่อกับแม่เลี้ยงดูปลูกฝังสิ่งนี้ให้ตั้งแต่เด็ก โรสก็คงจะขอเข้าไปดูหนังจนกว่าวันที่ไม่สามารถเข้าไปดูได้นั่นแล่ะ ตอนนี้ดูได้ก็ต้องดู จริงไหม ผู้สร้างหนังเขาผลิตหนังมาให้ดู ไม่อยากให้ยึดมั่นกับคำวิจารณ์มากไป เพราะนักวิจารณ์บางท่านก็มีอคติและความชื่นชอบที่แตกต่าง หาซึ่งความเป็นกลางได้ยาก ควรให้โอกาสตนเองได้เรียนรู้และเปิดโลกทัศน์ด้วยสายตาของตนเองว่าหนังดีไม่ดีอย่างไร สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นนะคะ
ไม่ว่าจะเป็นดีซีหรือมาร์เวล ดิฉันก็ชื่นชอบหนังของทั้งสองค่ายและเฝ้าติดตามมาโดยตลอด อีกทั้งรูปแบบสไตล์ของซุปเปอร์ฮีโร่และโทนหนังของทั้งสองค่ายค่อนข้างจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดีซีออกโทนดาร์คมืดมนย้อนยุคและเท่ ในขณะที่มาร์เวลจะมีสีสันเก๋และมีอารมณ์ขัน ที่ผ่านมามาร์เวลสร้างหนังและปล่อยหนังออกมาอย่างต่อเนื่องจนติดตลาด ส่วนดีซีเริ่มปล่อยหนังออกมาได้ไม่นาน เชื่อว่าสักพักหนึ่งคงเริ่มทำการตลาดได้ดีขึ้นและจับจุดได้มากขึ้น เพราะนั่นหมายถึงคนที่รักหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่จะมีทางเลือกในการดูหนังได้อย่างหลากหลาย ถ้าถามโดยส่วนตัวโรสคุ้นเคยกับซุปเปอร์แมนและแบทแมนมาตั้งแต่เด็ก จะเรียกว่านับถือเป็นไอดอลมายาวนานก็ว่าได้
บรูซ เวย์น หรือ แบทแมน (เบ็น แอฟเฟล็ค เจ้าของความสูง 193 ซม.) มหาเศรษฐีหนุ่มหล่อมีปมตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่ถูกโจรฆ่าตายต่อหน้าต่อตา ทำให้เขาดูเป็นคนโดดเดี่ยวอ้างว้างและโกรธแค้นคนชั่ว ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้แก่การปราบอธรรม ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ กล้าหาญดุดัน จอมวางแผน ไม่โดดเด่นเรื่องความรักแม้จะเป็นมหาเศรษฐีเนื้อหอมก็ตาม
คลาร์ค เค็นท์ หรือ ซุปเปอร์แมน(เฮนรี่ คาวิล เจ้าของความสูง 185 ซม.) หนุ่มหล่อรูปงามชาวคริปโตเนี่ยน ผู้รอดชีวิต พานพบการสูญเสีย ต้องพลัดพรากจากดาวเกิดมาพักพิงบนโลกมนุษย์ จิตใจดี รักความยุติธรรม มีพลังเหนือมนุษย์เป็นจอมพลัง เขาพบรักกับนักข่าวแสนสวย ลูอิส เขาปรารถนาชีวิตรักครอบครัวที่สงบสุขเรียบง่าย และอยู่เคียงข้างเพื่อนมนุษย์ยามที่ทุกคนต้องการ
ไดอาน่า ปรินซ์ หรือ วันเดอร์ วูแมน (กัล กาด็อท) เจ้าหญิงอมตะรูปงามชาตินักรบชาวอเมซอน บุตรสาวแห่งเทพเจ้าซุสและราชินีฮิพโพลิต้า ซุปเปอร์ฮีโร่หญิงหนึ่งเดียวในทีม เธอค้นหาพลังที่แท้จริงของตนเองกับชาวโลก ใช้พลังปกป้องผู้ที่อ่อนแอ และสูญเสียชายคนรัก สตีฟ เทรเวอร์
อาเธอร์ เคอรี่ หรือ อควาแมน (เจสัน โมมัว เจ้าของความสูง 193 ซม.) หนุ่มหล่อร่างกำยำชาวแอตแลนติส/ลูกครึ่งมนุษย์ โลกส่วนตัวสูง แปลกแยก ปมด้อยที่คิดว่าตนเองถูกแม่ทอดทิ้งให้อยู่กับพ่อเพียงลำพัง ผู้มีพลังวิเศษแข็งแกร่ง สื่อกับน้ำและสัตว์น้ำได้ มีตรีศูรแห่งโพไซดอนเป็นอาวุธคู่กาย เขาได้เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้นเมื่อได้เข้าร่วมทีมเพื่อต่อกรกับสิ่งชั่วร้าย
แบรี่ อัลเลน หรือ แฟลช (เอซร่า มิลเลอร์) หนุ่มน้อยหน้าใสปากแดง กับปมที่พ่อบังเกิดเกล้าถูกคุมขังด้วยข้อกล่าวหาฆ่าแม่ของเขาตาย พลังพิเศษด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ทั่วไป มีความไวกว่าแสง เขาจึงไม่มีความลังเลที่จะเข้าร่วมทีมเพราะเขาอยากมีเพื่อน
เรย์ ฟิชเชอร์ หรือ วิคเตอร์ สโตน (ไซบอร์ก) หนุ่มมาดขรึม มีปมกับความผิดพลาดในห้องแล็บของพ่อแม่ที่สตาร์แลบ และเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้ พ่อของเขาจึงผ่าตัดร่างของเขาเข้ากับชุดไซบอร์ก ผลที่ตามมาแม้เขาจะมีพลังพิเศษ แข็งแกร่ง รวดเร็วและฉลาด แต่เขารู้สึกตัวเองเป็นตัวประหลาดของคนทั่วไปจึงได้เก็บตัว จนกระทั่งตัดสินใจเข้าร่วมทีมและใช้พลังไปในทางที่ถูกต้อง
ภาพสวยและสโลวโมชั่นตามสไตล์ของ แซค ชไนเดอร์ การเดินเรื่องเร็วกระชับฉับไว ถ้าใครได้ดู Batman V Superman : Dawn of Justice มาก่อนก็ไม่น่าจะมีปัญหาในด้านการเข้าถึงเนื้อเรื่องในภาคนี้ พล็อตเรื่องและความเป็นไปใน Justice League ไม่ได้ผิดคาดแต่อย่างใด การเดินเรื่องแบบพูดน้อยต่อยหนัก ปริมาณฉากแอ็คชั่นก็เต็มอิ่ม เท่และมีพลัง พูดถึงปริมาณฉากแอ็คชั่นมีมากกว่าธอร์ อารมณ์ของหนังปรับโทนให้มืดมนน้อยลงและมีมุขตลกบ้างให้ได้คลายเครียด มีปรัชญาแอบแฝงและมุมมองการดำเนินชีวิต ส่วนธอร์ฝั่งมาร์เวลกลายเป็นหนังตลกอย่างเหลือเชื่อ ปัญหาความเรียบเนียนซีจีไม่ค่อยละเอียดพอกับธอร์ของค่ายมาร์เวล ดนตรีประกอบโดย แดนนี่ เอลฟ์แมน ดนตรีประกอบไปได้เรื่อยๆตลอดช่วงหนัง ไม่หวือหวาแต่ก็ไม่ถึงกับไม่ดีเลย โดยเฉพาะฉากต่อสู้น่าจะฮึกเหิมมากกว่านี้ โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ค่ะ ความดีงามของดีซีและมาร์เวลที่เห็นได้ชัดและไม่ขัดแย้งกับความรู้สึก นั่นคือการคัดเลือกนักแสดงได้เหมาะสมกับบท ทั้งใบหน้า แววตา รูปร่าง และเสน่ห์เฉพาะตัว อันนี้ต้องขอชมจริงๆ
เริ่มจากโลโก้ Justice League ที่โบกสะบัดเปิดจักรวาลของทีมรักความยุติธรรม เพลงประกอบสะเทือนใจ Everybody knows ของ Sigrid (เวอร์ชั่นเก่าโดย Leonard Cohen) ช่างเข้ากับบรรยากาศฉากงานศพของซุปเปอร์แมนที่โลกต้องเผชิญกับความเศร้าและการสูญเสีย การเปิดตัวของซุปเปอร์ฮีโร่แต่ละคนเริ่มจาก แบทแมนยังคงความเท่แบบเข้มๆ (เบ็นยังคงตัวใหญ่หุ่นบึ้กและคล่องแคล่วในฉากต่อสู้เช่นเดิม) วันเดอร์ วูแมน งามสง่า พลังเพศแม่วีรสตรีหญิงมาเต็ม (กัล กาด็อท เธอราศีจับจริงๆเวลาสวมชุดนี้) อควาแมน เท่แบบหนุ่มวงร็อคทั้งผมยาว มีรอยสักและใส่ยีนส์เข้ารูป (เจสัน โมมัว ดิบ เท่ มีเสน่ห์ดี)
สองหนุ่มที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกันแต่ต่างบุคลิก ได้แก่ แฟลช และ ไซบอร์ก แฟลชเป็นสีสันของเรื่อง ตลกและสดใส (เอซร่า มิลเลอร์ หนุ่มอาร์ทเซอเป็นที่น่าสนใจ) ส่วนไซบอร์ก หนุ่มหน้ามนคนมาดขรึม (เรย์ ฟิชเชอร์ เวลายิ้มก็น่ารักอยู่นะ)
ซุปเปอร์แมนแม้จะเป็นจอมพลัง แต่ก็ไม่ได้บดบังรัศมีของเพื่อนในทีม ถ้าใครติดตามมาโดยตลอดจนกระทั่งภาคนี้จะรู้ได้เลยว่า ไม่ว่าคนเราจะเก่งแค่ไหนทุกคนล้วนมีข้อด้อย และเราปรารถนาทีมที่ดีเพื่ออุดรอยรั่ว อีกคนมีในสิ่งที่อีกคนไม่มีและอีกคนไม่มีในสิ่งที่อีกคนมี มันเป็นสัจธรรมเสมอมา มิตรภาพเป็นสัมพันธภาพแบบปรารถนาความเติมเต็มซึ่งกันและกัน แม้แบทแมนและซุปเปอร์แมนจะมีมุมมองที่เคยไม่เข้าใจกันมาก่อน แต่ลึกๆในใจของทั้งคู่คืออยากเห็นความยุติธรรมเอาชนะความอยุติธรรมเหมือนกัน ไม่มีใครติดค้างใครสุดท้ายพวกเขาต่างช่วยกัน สายใยระหว่างแบทแมนและวันเดอร์ วูแมน มีทั้งความเป็นเพื่อนและความพิเศษมากกว่าความเป็นเพื่อน แบทแมนปฏิเสธความรักเสมอมา และวันเดอร์ วูแมน ที่เคยสูญเสียชายคนรัก ต่างคนต่างเข้าใจกันแต่ก็ระวังการข้ามเส้นเพราะกลัวสูญเสียมิตรภาพ (จะว่าไปก็เป็นคู่ที่เหมาะกันนะคะ ขอลุ้นต่อไปแล้วกัน) สมาชิกใหม่ทั้งสามไม่ว่าจะเป็นอควาแมน แฟลชและไซบอร์ก ไม่ว่าทั้งสามคนจะเคยประสพเรื่องเลวร้ายอะไรมา แต่เมื่อได้รับการต้อนรับเข้าสู่ทีม มิตรภาพก็ชักพาให้พวกเขาได้เห็นคุณค่าตัวตนและกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง และมีโอกาสได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น
ภาพที่ Justice League ยืนรวมกันอย่างสง่างาม เปี่ยมไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม เป็นภาพที่น่าจดจำมาก แม้แต่ละคนจะต่างที่มาต่างปมในอดีตแต่ต่างมีจุดหมายเดียวกัน ปิดท้ายด้วยบทเพลงร็อคเก๋าๆ Come together โดย Gary Clark JR. (เวอร์ชั่นเก่าสุดคลาสสิกโดยสี่เต่าทอง The Beattles) เวอร์ชั่นใหม่ร็อคหนักหน่วงไม่เบา เลือกมาได้เหมาะกับหนังจริงๆ นั่นคือการรวมทีมของผองเพื่อนร่วมอุดมการณ์ สุดท้ายๆและท้ายสุดจริงๆอย่าเพิ่งลุกจากเก้าอี้ไปไหน End Credits น่ารักๆและมีปมไม่ผิดคาดชวนให้ติดตามในภาคต่อไปค่ะ
อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ อ่านแล้วอยากให้ลองมาแบ่งปันความรู้สึกกันค่ะ รับรองว่าซื้อตั๋วไปไม่เสียดายเงินแน่นอน ข้อคิดสำหรับหนังเรื่องนี้ คือ มิตรภาพ ให้โอกาสตนเองได้ทำสิ่งดีๆแม้ว่าจะผิดพลาดหรือผิดหวังจากสิ่งใดก็ตาม การทำงานเป็นทีม การแบ่งปัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและขอให้มีความสุขกับการชมภาพยนตร์เรื่องนี้นะคะ
Justice League ขออนุญาตเขียนยาวสักหน่อย...จะถูกวิจารณ์ยังไงก็ยังรักอยู่ดี By Rose
ดีซีเริ่มปล่อยหนังออกมาเป็นระยะ และยังคงเอกลักษณ์กับซุปเปอร์ฮีโร่มีปมแต่เท่เข้มขลังพร้อมบรรยากาศมืดมน ในช่วงหลังๆมานี้ก็เพิ่มสีสันโทนสีของหนังขึ้นมาบ้างแต่ไม่ทิ้งโทนดาร์คตามสไตล์ของตัวเองซึ่งเป็นเสน่ห์ของดีซี สำหรับ Justice League เป็นเหตุการณ์เพียงไม่กี่เดือนหลังจากเหตุการณ์ใน Batman V Superman : Dawn of Justice การจากไปของซูเปอร์แมน ทำให้บรูซ เวย์น ได้ตระหนักถึงความดีในมวลมนุษยชาติและเห็นคุณค่าของการรวมกันเราอยู่แยกหมู่เราตาย เขาได้พบมิตรใหม่อย่าง ไดอาน่า ปรินซ์ หรือ วันเดอร์ วูแมน เพื่อป้องกันการสูญเสียและปกป้องโลกในภายภาคหน้า พวกเขาจึงต้องตามหา เมต้าฮิวแมน มาร่วมทีมได้แก่ อควาแมน, ไซบอร์ก และเดอะแฟลช ครั้งนี้พวกเขาต้องเผชิญกับศัตรูตัวใหม่ นั่นคือ สเตปเพนวูล์ฟ กับฝูงกองทัพพาราเดมอนส์ พวกมันตามหา Mother Boxes ทั้งสามใบเพื่อรวมพลังทำลายล้างโลกและจักรวาล Justice League จะสามารถพิชิตอสูรร้ายได้หรือไม่ อีกทั้งความหวังจะเห็นซุปเปอร์แมนเพื่อนรักกลับมาจะเป็นจริงหรือไม่ อย่าลืมร่วมค้นหาคำตอบที่โรงภาพยนตร์ค่ะ
ท่ามกลางกระแสวิจารณ์ถล่มทะลาย แต่โรสไม่อาจถอดใจจากดีซี ความจริงคือเป็นคนที่มีความสุขกับการดูหนังมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว มันเสพเป็นนิสัยหล่อหลอมให้เราได้มากกว่าความบันเทิง นั่นคิอ ได้แนวความคิด ความรู้ สติปัญญา และภาษา ขอบคุณที่พ่อกับแม่เลี้ยงดูปลูกฝังสิ่งนี้ให้ตั้งแต่เด็ก โรสก็คงจะขอเข้าไปดูหนังจนกว่าวันที่ไม่สามารถเข้าไปดูได้นั่นแล่ะ ตอนนี้ดูได้ก็ต้องดู จริงไหม ผู้สร้างหนังเขาผลิตหนังมาให้ดู ไม่อยากให้ยึดมั่นกับคำวิจารณ์มากไป เพราะนักวิจารณ์บางท่านก็มีอคติและความชื่นชอบที่แตกต่าง หาซึ่งความเป็นกลางได้ยาก ควรให้โอกาสตนเองได้เรียนรู้และเปิดโลกทัศน์ด้วยสายตาของตนเองว่าหนังดีไม่ดีอย่างไร สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นนะคะ
ไม่ว่าจะเป็นดีซีหรือมาร์เวล ดิฉันก็ชื่นชอบหนังของทั้งสองค่ายและเฝ้าติดตามมาโดยตลอด อีกทั้งรูปแบบสไตล์ของซุปเปอร์ฮีโร่และโทนหนังของทั้งสองค่ายค่อนข้างจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดีซีออกโทนดาร์คมืดมนย้อนยุคและเท่ ในขณะที่มาร์เวลจะมีสีสันเก๋และมีอารมณ์ขัน ที่ผ่านมามาร์เวลสร้างหนังและปล่อยหนังออกมาอย่างต่อเนื่องจนติดตลาด ส่วนดีซีเริ่มปล่อยหนังออกมาได้ไม่นาน เชื่อว่าสักพักหนึ่งคงเริ่มทำการตลาดได้ดีขึ้นและจับจุดได้มากขึ้น เพราะนั่นหมายถึงคนที่รักหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่จะมีทางเลือกในการดูหนังได้อย่างหลากหลาย ถ้าถามโดยส่วนตัวโรสคุ้นเคยกับซุปเปอร์แมนและแบทแมนมาตั้งแต่เด็ก จะเรียกว่านับถือเป็นไอดอลมายาวนานก็ว่าได้
บรูซ เวย์น หรือ แบทแมน (เบ็น แอฟเฟล็ค เจ้าของความสูง 193 ซม.) มหาเศรษฐีหนุ่มหล่อมีปมตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่ถูกโจรฆ่าตายต่อหน้าต่อตา ทำให้เขาดูเป็นคนโดดเดี่ยวอ้างว้างและโกรธแค้นคนชั่ว ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้แก่การปราบอธรรม ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ กล้าหาญดุดัน จอมวางแผน ไม่โดดเด่นเรื่องความรักแม้จะเป็นมหาเศรษฐีเนื้อหอมก็ตาม
คลาร์ค เค็นท์ หรือ ซุปเปอร์แมน(เฮนรี่ คาวิล เจ้าของความสูง 185 ซม.) หนุ่มหล่อรูปงามชาวคริปโตเนี่ยน ผู้รอดชีวิต พานพบการสูญเสีย ต้องพลัดพรากจากดาวเกิดมาพักพิงบนโลกมนุษย์ จิตใจดี รักความยุติธรรม มีพลังเหนือมนุษย์เป็นจอมพลัง เขาพบรักกับนักข่าวแสนสวย ลูอิส เขาปรารถนาชีวิตรักครอบครัวที่สงบสุขเรียบง่าย และอยู่เคียงข้างเพื่อนมนุษย์ยามที่ทุกคนต้องการ
ไดอาน่า ปรินซ์ หรือ วันเดอร์ วูแมน (กัล กาด็อท) เจ้าหญิงอมตะรูปงามชาตินักรบชาวอเมซอน บุตรสาวแห่งเทพเจ้าซุสและราชินีฮิพโพลิต้า ซุปเปอร์ฮีโร่หญิงหนึ่งเดียวในทีม เธอค้นหาพลังที่แท้จริงของตนเองกับชาวโลก ใช้พลังปกป้องผู้ที่อ่อนแอ และสูญเสียชายคนรัก สตีฟ เทรเวอร์
อาเธอร์ เคอรี่ หรือ อควาแมน (เจสัน โมมัว เจ้าของความสูง 193 ซม.) หนุ่มหล่อร่างกำยำชาวแอตแลนติส/ลูกครึ่งมนุษย์ โลกส่วนตัวสูง แปลกแยก ปมด้อยที่คิดว่าตนเองถูกแม่ทอดทิ้งให้อยู่กับพ่อเพียงลำพัง ผู้มีพลังวิเศษแข็งแกร่ง สื่อกับน้ำและสัตว์น้ำได้ มีตรีศูรแห่งโพไซดอนเป็นอาวุธคู่กาย เขาได้เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้นเมื่อได้เข้าร่วมทีมเพื่อต่อกรกับสิ่งชั่วร้าย
แบรี่ อัลเลน หรือ แฟลช (เอซร่า มิลเลอร์) หนุ่มน้อยหน้าใสปากแดง กับปมที่พ่อบังเกิดเกล้าถูกคุมขังด้วยข้อกล่าวหาฆ่าแม่ของเขาตาย พลังพิเศษด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ทั่วไป มีความไวกว่าแสง เขาจึงไม่มีความลังเลที่จะเข้าร่วมทีมเพราะเขาอยากมีเพื่อน
เรย์ ฟิชเชอร์ หรือ วิคเตอร์ สโตน (ไซบอร์ก) หนุ่มมาดขรึม มีปมกับความผิดพลาดในห้องแล็บของพ่อแม่ที่สตาร์แลบ และเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้ พ่อของเขาจึงผ่าตัดร่างของเขาเข้ากับชุดไซบอร์ก ผลที่ตามมาแม้เขาจะมีพลังพิเศษ แข็งแกร่ง รวดเร็วและฉลาด แต่เขารู้สึกตัวเองเป็นตัวประหลาดของคนทั่วไปจึงได้เก็บตัว จนกระทั่งตัดสินใจเข้าร่วมทีมและใช้พลังไปในทางที่ถูกต้อง
ภาพสวยและสโลวโมชั่นตามสไตล์ของ แซค ชไนเดอร์ การเดินเรื่องเร็วกระชับฉับไว ถ้าใครได้ดู Batman V Superman : Dawn of Justice มาก่อนก็ไม่น่าจะมีปัญหาในด้านการเข้าถึงเนื้อเรื่องในภาคนี้ พล็อตเรื่องและความเป็นไปใน Justice League ไม่ได้ผิดคาดแต่อย่างใด การเดินเรื่องแบบพูดน้อยต่อยหนัก ปริมาณฉากแอ็คชั่นก็เต็มอิ่ม เท่และมีพลัง พูดถึงปริมาณฉากแอ็คชั่นมีมากกว่าธอร์ อารมณ์ของหนังปรับโทนให้มืดมนน้อยลงและมีมุขตลกบ้างให้ได้คลายเครียด มีปรัชญาแอบแฝงและมุมมองการดำเนินชีวิต ส่วนธอร์ฝั่งมาร์เวลกลายเป็นหนังตลกอย่างเหลือเชื่อ ปัญหาความเรียบเนียนซีจีไม่ค่อยละเอียดพอกับธอร์ของค่ายมาร์เวล ดนตรีประกอบโดย แดนนี่ เอลฟ์แมน ดนตรีประกอบไปได้เรื่อยๆตลอดช่วงหนัง ไม่หวือหวาแต่ก็ไม่ถึงกับไม่ดีเลย โดยเฉพาะฉากต่อสู้น่าจะฮึกเหิมมากกว่านี้ โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ค่ะ ความดีงามของดีซีและมาร์เวลที่เห็นได้ชัดและไม่ขัดแย้งกับความรู้สึก นั่นคือการคัดเลือกนักแสดงได้เหมาะสมกับบท ทั้งใบหน้า แววตา รูปร่าง และเสน่ห์เฉพาะตัว อันนี้ต้องขอชมจริงๆ
เริ่มจากโลโก้ Justice League ที่โบกสะบัดเปิดจักรวาลของทีมรักความยุติธรรม เพลงประกอบสะเทือนใจ Everybody knows ของ Sigrid (เวอร์ชั่นเก่าโดย Leonard Cohen) ช่างเข้ากับบรรยากาศฉากงานศพของซุปเปอร์แมนที่โลกต้องเผชิญกับความเศร้าและการสูญเสีย การเปิดตัวของซุปเปอร์ฮีโร่แต่ละคนเริ่มจาก แบทแมนยังคงความเท่แบบเข้มๆ (เบ็นยังคงตัวใหญ่หุ่นบึ้กและคล่องแคล่วในฉากต่อสู้เช่นเดิม) วันเดอร์ วูแมน งามสง่า พลังเพศแม่วีรสตรีหญิงมาเต็ม (กัล กาด็อท เธอราศีจับจริงๆเวลาสวมชุดนี้) อควาแมน เท่แบบหนุ่มวงร็อคทั้งผมยาว มีรอยสักและใส่ยีนส์เข้ารูป (เจสัน โมมัว ดิบ เท่ มีเสน่ห์ดี)
สองหนุ่มที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกันแต่ต่างบุคลิก ได้แก่ แฟลช และ ไซบอร์ก แฟลชเป็นสีสันของเรื่อง ตลกและสดใส (เอซร่า มิลเลอร์ หนุ่มอาร์ทเซอเป็นที่น่าสนใจ) ส่วนไซบอร์ก หนุ่มหน้ามนคนมาดขรึม (เรย์ ฟิชเชอร์ เวลายิ้มก็น่ารักอยู่นะ)
ซุปเปอร์แมนแม้จะเป็นจอมพลัง แต่ก็ไม่ได้บดบังรัศมีของเพื่อนในทีม ถ้าใครติดตามมาโดยตลอดจนกระทั่งภาคนี้จะรู้ได้เลยว่า ไม่ว่าคนเราจะเก่งแค่ไหนทุกคนล้วนมีข้อด้อย และเราปรารถนาทีมที่ดีเพื่ออุดรอยรั่ว อีกคนมีในสิ่งที่อีกคนไม่มีและอีกคนไม่มีในสิ่งที่อีกคนมี มันเป็นสัจธรรมเสมอมา มิตรภาพเป็นสัมพันธภาพแบบปรารถนาความเติมเต็มซึ่งกันและกัน แม้แบทแมนและซุปเปอร์แมนจะมีมุมมองที่เคยไม่เข้าใจกันมาก่อน แต่ลึกๆในใจของทั้งคู่คืออยากเห็นความยุติธรรมเอาชนะความอยุติธรรมเหมือนกัน ไม่มีใครติดค้างใครสุดท้ายพวกเขาต่างช่วยกัน สายใยระหว่างแบทแมนและวันเดอร์ วูแมน มีทั้งความเป็นเพื่อนและความพิเศษมากกว่าความเป็นเพื่อน แบทแมนปฏิเสธความรักเสมอมา และวันเดอร์ วูแมน ที่เคยสูญเสียชายคนรัก ต่างคนต่างเข้าใจกันแต่ก็ระวังการข้ามเส้นเพราะกลัวสูญเสียมิตรภาพ (จะว่าไปก็เป็นคู่ที่เหมาะกันนะคะ ขอลุ้นต่อไปแล้วกัน) สมาชิกใหม่ทั้งสามไม่ว่าจะเป็นอควาแมน แฟลชและไซบอร์ก ไม่ว่าทั้งสามคนจะเคยประสพเรื่องเลวร้ายอะไรมา แต่เมื่อได้รับการต้อนรับเข้าสู่ทีม มิตรภาพก็ชักพาให้พวกเขาได้เห็นคุณค่าตัวตนและกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง และมีโอกาสได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น
ภาพที่ Justice League ยืนรวมกันอย่างสง่างาม เปี่ยมไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม เป็นภาพที่น่าจดจำมาก แม้แต่ละคนจะต่างที่มาต่างปมในอดีตแต่ต่างมีจุดหมายเดียวกัน ปิดท้ายด้วยบทเพลงร็อคเก๋าๆ Come together โดย Gary Clark JR. (เวอร์ชั่นเก่าสุดคลาสสิกโดยสี่เต่าทอง The Beattles) เวอร์ชั่นใหม่ร็อคหนักหน่วงไม่เบา เลือกมาได้เหมาะกับหนังจริงๆ นั่นคือการรวมทีมของผองเพื่อนร่วมอุดมการณ์ สุดท้ายๆและท้ายสุดจริงๆอย่าเพิ่งลุกจากเก้าอี้ไปไหน End Credits น่ารักๆและมีปมไม่ผิดคาดชวนให้ติดตามในภาคต่อไปค่ะ
อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ อ่านแล้วอยากให้ลองมาแบ่งปันความรู้สึกกันค่ะ รับรองว่าซื้อตั๋วไปไม่เสียดายเงินแน่นอน ข้อคิดสำหรับหนังเรื่องนี้ คือ มิตรภาพ ให้โอกาสตนเองได้ทำสิ่งดีๆแม้ว่าจะผิดพลาดหรือผิดหวังจากสิ่งใดก็ตาม การทำงานเป็นทีม การแบ่งปัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและขอให้มีความสุขกับการชมภาพยนตร์เรื่องนี้นะคะ