สัมภาษณ์: 10 ปัญหาครูไทย ผ่านแว่นตา “ครุเศรษฐศาสตร์” ของพิริยะ ผลพิรุฬห์ 24/11/2560 สรายุทธ กันหลง

สัมภาษณ์: 10 ปัญหาครูไทย ผ่านแว่นตา “ครุเศรษฐศาสตร์” ของพิริยะ ผลพิรุฬห์
20 November 2560
https://pantip.com/topic/37122443/

บทสัมภาษณ์
ในวงการการศึกษาไทย มีนักวิชาการจำนวนมากที่พยายามศึกษาปัญหาการศึกษาไทย หนึ่งในนั้นที่พยายามศึกษาปัญหาอย่างเป็นระบบ คือ ศ.ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ อาจารย์จากคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

http://knowledgefarm.in.th/interview-piriya/

ถึงแม้ว่าอาจารย์จะเป็นนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ แต่ก็มีความสนใจเรื่องการศึกษาอย่างมาก จนลงมือทำวิจัยและเขียนหนังสือเกี่ยวกับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างผลงานของอาจารย์พิริยะ เช่น หนังสือ ‘ครุเศรษฐศาสตร์’ (2557) ว่าด้วยปัญหาของระบบครู ผ่านมุมมองด้านเศรษฐศาสตร์แรงงานและเศรษฐศาสตร์ทรัพยากรมนุษย์

หนังสือเล่มนี้ใช้ ‘แว่นตา’ แตกต่างจากผลงานวิชาการทั่วไป ซึ่งมักใช้แนวคิดครุศาสตร์มาวิเคราะห์ปัญหา Knowledge Farm-ฟาร์มรู้สู่สังคม อ่านเจอข้อค้นพบที่น่าสนใจและกุญแจไขปริศนาปัญหาการศึกษาไทยหลายประการ จึงนัดหมายพูดคุยกับ ศ.ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ และนักวิจัยในหลายโครงการวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เกี่ยวกับแนวคิดและทางออกของการแก้ปัญหาครูไทย


ทำไมอาจารย์ถึงสนใจเรื่องครู

พื้นฐานของผมคือเศรษฐศาสตร์ ทำวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์โดยเฉพาะด้านคน ด้านแรงงาน อย่างต่อเนื่องระยะหนึ่ง แต่ที่เริ่มหันมาสนใจเรื่องครูก็เพราะว่า ปัญหาการศึกษามีหลายประเด็น ปัญหาครูเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมาก ผมสนใจว่าครูที่ดีนำไปสู่เด็กที่ดีได้อย่างไร

อีกส่วนหนึ่งก็คือ ผมอยู่กับอาชีพครูมาตั้งแต่เด็ก แม่ผมเป็นครู ญาติผมทั้งหมดเป็นครู ผมก็เป็นครู ภรรยาผมก็เป็นครู

ตอนหลังหลายคนบอกว่า ในปัจจุบัน โลกทุนนิยมทำให้เกิดอาชีพที่ให้ผลตอบแทนสูงมากมาย เช่น นักการเงิน หมอ หรือวิศวกร ครูจึงเป็นอาชีพที่ดูด้อยลงสำหรับคนรุ่นใหม่ คนเก่งไม่อยากเป็นครู การศึกษาก็เลยไม่ดี แต่ผมฟังแล้ว ไม่ค่อยเห็นด้วยนักว่าเป็นเพราะอาชีพครูด้อยลง ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่อยากเป็นครู เลยเกิดคำถามในใจว่า สาเหตุที่ครูไม่เก่ง เป็นเพราะเขาไม่เก่งเอง หรือว่าระบบทำให้เขาไม่เก่ง

เมื่อเรามาดูที่ปริมาณครู จะพบว่ามีครูอยู่ประมาณ 1 ใน 6 ของแรงงานทั้งประเทศ น่าจะเป็นแรงงานกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศกลุ่มหนึ่งเลยทีเดียว แต่ปรากฏว่าเรากลับไม่มีการบริหารจัดการแรงงานกลุ่มนี้อย่างมีประสิทธิภาพดีพอ แสดงว่าระบบครูต้องมีปัญหามากมาย

หนังสือ “ครุเศรษฐศาสตร์” มีจุดเริ่มต้นอย่างไร

ช่วงเวลานั้น ผมทำงานวิจัยให้กับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมกับ รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล และ ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน ในโครงการหนึ่งที่อาจารย์อภิชัยดูแล นั่นคือ ทุนมนุษย์กับผลิตภาพแรงงานในภาคอุตสาหกรรมไทย (2557) ผมได้พัฒนาโจทย์วิจัยเรื่องครู จนกระทั่งคลอดออกมาเป็นโครงการวิจัยชื่อ “ครุเศรษฐศาสตร์” ซึ่งผมเป็นคนตั้งชื่อเอง ต่อมาภายหลังก็กลายเป็นหนังสือในชื่อเดียวกัน

ที่ใช้ชื่อนี้เพราะเราอยากสะท้อนแนวทางการศึกษาแบบเศรษฐศาสตร์ ซึ่งน่าจะนำไปใช้อธิบายเรื่องครูได้มากขึ้น และส่วนหนึ่งที่นำแนวคิดเศรษฐศาสตร์มาวิเคราะห์เรื่องครู ก็เพราะเศรษฐศาสตร์เองเป็นสาขาที่มุ่งวิเคราะห์เชิงระบบ โดยมีสมมติฐานว่าถ้าเราจัดระบบได้ดี คนไม่เก่งก็เป็นคนเก่งได้ และในทางกลับกัน ถ้าระบบไม่ดีก็จะทำให้คนเก่งกลายเป็นคนไม่เก่งได้เช่นเดียวกัน


ถ้ามองปัญหาครู ผ่านแว่นตาเศรษฐศาสตร์ เราจะเห็นอะไร

การศึกษาแบบครุเศรษฐศาสตร์ใช้แนวคิดเรื่องเศรษฐศาสตร์ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Economics) และเศรษฐศาสตร์แรงงาน (Labor Economics) มาศึกษาเรื่องครู

ในภาคเอกชนใช้แนวคิด HR มาพัฒนาคนและองค์กรอย่างเป็นระบบกันเต็มบ้านเต็มเมือง แต่เมื่อมาดูที่ระบบครู กลับไม่มีการใช้ HR เข้ามาแตะเลย เราศึกษาระบบ HR ของครู ผ่านกรอบใหญ่ที่เรียกว่า R2R นั่นคือ การวิเคราะห์ระบบบุคลากรครูตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกครูจนถึงเกษียณ ว่าระบบครูใช้การได้แค่ไหน

ในส่วนของแนวคิดเศรษฐศาสตร์แรงงาน เราจะเริ่มศึกษาจากด้านอุปทานของแรงงาน นั่นคือ การผลิตครู เช่น ครูมีจำนวนเท่าไร ค่าจ้างและผลตอบแทนเป็นอย่างไร เมื่อเวลาผ่านไป เงินเดือนของเขาเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อเทียบกับอาชีพอื่น รวมถึงความแตกต่างภายในอาชีพของเขาเอง เช่น ครูอนุบาล ครูประถม ครูมัธยม ครูมหาวิทยาลัย มีความแตกต่างกันหรือไม่

จากนั้นเราจะศึกษาจากด้านอุปสงค์แรงงาน หรือการจ้างแรงงานครู ประเด็นที่สนใจ เช่น โรงเรียนมีความสามารถในการจ้างครูหรือไม่ เขาเลือกครูเองได้ไหม โรงเรียนใช้งานครูอย่างเหมาะสม ให้ทำงานที่ควรจะทำหรือไม่ มีวิธีการพัฒนาครูอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ นำไปสู่คุณภาพการศึกษาที่ดีขึ้นหรือไม่

จากนั้นเราก็นำทั้งด้านอุปทานและอุปสงค์มาเชื่อมกัน เพื่อดูเรื่องประสิทธิผลว่า สุดท้ายแล้วคุณภาพของครูเป็นอย่างไร และอะไรที่ทำให้ครูเก่งหรือไม่เก่ง

คำว่า ‘ครูเก่ง’ นี่ก็มีปัญหาเยอะ เป็นหนึ่งในโจทย์วิจัยที่คิดมากว่าครูเก่งจะวัดอย่างไร เพราะในเมืองไทย เวลาเราไปวัดคุณภาพครู เรามักจะพิจารณาว่า หนึ่ง ครูดีต้องจบครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ สอง ครูดีต้องจบปริญญาโท คำถามคือแค่ 2 เงื่อนไขนี้โอเคไหม

จริงๆ แล้ว ครูที่มีคุณภาพอาจมีสภาพเรียนไม่จบอะไรเลย แต่เป็นคนใส่ใจเด็ก รักเด็ก ทุ่มเทให้เด็ก ซึ่งตรงนี้เราวัดเชิงปริมาณไม่ได้

อาจารย์เจอข้อค้นพบสำคัญอะไรในงานศึกษา ‘ครุเศรษฐศาสตร์’ บ้าง

ก่อนอื่นขอบอกว่าเราใช้หลายแนวทางในการศึกษา ใช้ข้อมูลจาก 2-3 แหล่ง ซึ่งอาจจะเก่าไปสักหน่อย ประมาณเกือบสิบปี แต่ก็ยืนยันได้ว่าสามารถสะท้อนภาพปัจจุบันได้อยู่ เพราะเราใช้วิธีการศึกษาแบบ cross-sectional ที่รวบรวมมาจากข้อมูล 3 ลักษณะ นั่นคือ ข้อมูลของครู โรงเรียน และนักเรียน ความแตกต่างของข้อมูลจากตอนนั้นถึงตอนนี้ยังเหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงไม่มาก เพราะฉะนั้นต่อให้นำข้อมูลใหม่มาวิเคราะห์ ผลก็จะคล้ายๆ กัน

เบื้องต้นเราพบว่า ภายใน 10 ปี (นับจาก 2557) ครึ่งหนึ่งของครูในระบบจะเกษียณอายุ เราจะมองเรื่องนี้เป็นโอกาสก็ได้ ถ้าเราทำระบบให้ดี ก็จะช่วยให้ครูรุ่นใหม่สามารถพัฒนาการศึกษาได้

งานวิจัยนี้มีข้อค้นพบ (finding) ทั้งหมด 10 ข้อ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาของระบบครูได้ทั้งสิ้น

ข้อค้นพบแรก ในเรื่องของการผลิตครู คณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ที่ทำหน้าที่ผลิตครูยังมีปัญหา mismatch ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ เรามีความต้องการรับครูที่จำกัด ไม่สามารถรับครูได้ทั้งหมด แต่เราผลิตครูออกมาเยอะมาก นั่นคือ อุปทานมากกว่าอุปสงค์ สวนทางกับภาครัฐตอนนี้ที่กำลังเน้นการลดขนาดภาครัฐลงหรือ Downsizing เพราะฉะนั้นความต้องการรับครูจะยิ่งลดลงไปอีก เรียกว่าอุปทานสูงขึ้น แต่อุปสงค์ต่ำลงเรื่อยๆ

เราพบด้วยว่าเหตุที่เด็กเรียนครูจำนวนมาก เพียงเพราะอยากรีบจบปริญญาตรีแล้วไปทำอย่างอื่น ไม่ได้มีความตั้งใจอยากเป็นครูตั้งแต่แรก นี่คือความสูญเสียของเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง

ผมมีข้อเสนอแนะว่า ควรมีการประมาณการกำลังครูให้ถูกต้องว่า ในแต่ละพื้นที่ต้องการครูกี่คน และสาขาที่ต้องการคืออะไรบ้าง เมื่อประมาณการเสร็จก็ต้อง feed มาที่คณะครุศาสตร์ และคณะครุศาสตร์ก็ต้องเปิดการเรียนการสอนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการดังกล่าวด้วย

ในส่วนข้อค้นพบที่สอง คือ สาขาที่ผลิตมาไม่สอดคล้อง ส่วนใหญ่เราผลิตครูพละ แต่เราต้องการครูคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเพื่อการมุ่งสู่ไทยแลนด์ 4.0 เด็กต้องเก่งวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์

อย่างไรก็ตาม ขนาดโรงเรียนที่ดีๆ เรายังเห็นเอาครูภาษาไทยมาสอนคณิตศาสตร์อยู่เลย ด้วยสถานการณ์แบบนี้ เด็กเราเลยไม่เก่งคณิตศาสตร์เพราะครูที่สอนไม่ได้จบคณิตศาสตร์ แล้วเราจะไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร

ผมจึงมีข้อเสนอแนะว่าต้องมีการจัดสรรทุนการศึกษาแบบเต็มจำนวนในสาขาที่ขาดแคลน เช่น ถ้าเด็กระดับปริญญาตรีเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ก็ต้องมีการอุดหนุน (subsidize) ไป นอกจากนี้ ควรจ่ายค่าตอบแทนให้สูงขึ้นสำหรับครูที่ทำงานในสาขาที่ขาดแคลน

ข้อค้นพบที่สาม ระบบการจัดสรรทรัพยากรครูไม่เท่าเทียมกัน โรงเรียนขนาดใหญ่ในเขตเมืองมีจำนวนครูมากกว่าโรงเรียนขนาดเล็ก อันนี้เป็นคอมมอนเซนส์ เรารู้ตลอดว่าโรงเรียนขนาดเล็กขาดแคลนครู ทำให้เด็กต้องเผชิญปัญหาเหลื่อมล้ำสูง ครูคนเดียวต้องสอนหลายวิชาหลายชั้นเรียน เลยทำให้คุณภาพการสอนไม่ดี

ข้อเสนอแนะของผมคือ ให้จัดสรรครูไปสู่โรงเรียนเล็กๆ ที่ขาดแคลนมากขึ้น โดยกำหนดค่าตอบแทนให้สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนจะบังคับว่า ถ้าเป็นครูชนบทก็ต้องไปอยู่ในโรงเรียนเล็กอย่างต่ำ 2-3 ปีจึงจะได้รับการเลื่อนขั้น วิธีนี้ก็ช่วยทำให้โรงเรียนเล็กได้คนเก่งไป เมื่อมาดูที่บริบทไทยตอนนี้ หมอมีระบบ แต่ครูไม่มีระบบใดๆ

นอกจากนี้ ในเรื่องการเรียนการสอนของคณะครุศาสตร์ในปัจจุบัน เขาแบ่งสอนกันเป็นช่วงชั้น เช่น ปฐมวัย ประถมศึกษา ผมคิดว่าในอนาคตอาจจะต้องผลิตครูเพื่อจะสามารถสอนได้ทุกวิชา เหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เขาสอนได้ทุกวิชา ซึ่งอาจไม่ได้ชำนาญทั้งหมด แต่ก็สามารถเรียนรู้ที่จะสอนกันได้

ต่อไปอาจมีภาควิชาที่ผลิตครูเพื่อจะสอนได้ทุกวิชา ทั้งนี้ เราก็ต้องกำหนดให้มีแรงจูงใจ (incentive) มากขึ้น สำหรับเด็กที่จะมาเป็นครูแบบนี้ ผมว่าน่าจะดึงดูดคนรุ่นใหม่ได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน

นอกจากนั้น โรงเรียนควรเป็นคนเลือกครูเองได้ โดยไม่ต้องให้ส่วนกลางคอยกำกับสั่งการ เช่น ถ้าพบข้าราชการเกษียณอายุ หรือบุคลากรอาวุโสที่มีความรู้ความสามารถ แต่อาจไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู ก็น่าจะผ่อนผันให้คนเหล่านี้มีโอกาสเป็นครูได้ วิธีนี้ยังช่วยส่งเสริมการทำงานในสังคมสูงวัย (Aging Society) อีกด้วย ทำให้คนแก่มีงานทำและมีชุมชน

ข้อค้นพบที่สี่ ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างครูผู้สอน เช่น ครูโรงเรียนรัฐบาลได้ผลตอบแทนมากกว่าครูโรงเรียนเอกชน เพราะฉะนั้น ความใฝ่ฝันของครูโรงเรียนเอกชนก็คืออยากไปเป็นครูโรงเรียนรัฐบาล เพราะได้ผลตอบแทนดีกว่าทั้งด้านตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน

เมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนครูไทยระหว่างช่วงชั้นต่างๆ ครูอนุบาลกลับได้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ส่วนครูมัธยมได้ผลตอบแทนสูงที่สุด ซึ่งตรงกันข้ามกับต่างประเทศที่ครูอนุบาลจะได้ผลตอบแทนสูง เพราะเขามองว่าการเรียนในระดับชั้นอนุบาลมีบทบาทสำคัญในการสร้างและพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพ รองลงมาคือประถมศึกษา ตามด้วยมัธยมศึกษา

ยกตัวอย่างเช่นในประเทศเกาหลีใต้ ในเรื่องการให้ผลตอบแทน เขากำหนดไว้ก่อนเลยว่าครูอนุบาลกับประถมสำคัญมาก ต้องจบจากคณะครุศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำประมาณ 10 แห่งเท่านั้น แต่ระดับมัธยม เขาไม่ซีเรียสมาก พูดง่ายๆ คือเขามองเลยว่าต้องเอาคนเก่งมาเป็นครู การเป็นครูบาอาจารย์ที่นั่นได้รับการเคารพนับถือเหมือนเป็นหมอในบ้านเรา เราต้องส่งเสริมให้คนมีค่านิยมอยากเป็นครูกันมากขึ้น เหมือนเกาหลีใต้







ข้อค้นพบที่ห้า ปัญหาเรื่องการประกันคุณภาพครูผู้สอน นั่นคือ ใบประกอบวิชาชีพครูไม่ได้มีการจำแนกตามระดับชั้นและสาขาตามความชำนาญ ประกอบกับในการต่ออายุใบประกอบวิชาชีพครูที่ทุกคนต้องสอบทุก 5 ปี ก็ทำได้ง่ายมาก เนื่องจากไม่ได้เอาผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนมาประเมินด้วย คือไม่ได้เอา performance ของครูมาคิด การสอบต่ออายุจึงเหมือนจัดเพื่อให้สอบผ่านๆ ไป และในความเป็นจริงข้อสอบก็รั่วกันแทบทุกปีอยู่แล้ว รวมถึงตัวข้อสอบเองก็ยังไม่มีมาตรฐานที่ดีพอที่จะวัดคุณภาพครูได้

ปัญหาคือการวัดคุณภาพครูบ้านเราไม่มีความศักดิ์สิทธิ์

ข้อเสนอแนะก็คือ ควรจัดสอบใบประกอบวิชาชีพครู จำแนกตามระดับชั้นการศึกษาและสาขาวิชาด้วย และสำหรับการต่ออายุใบประกอบวิชาชีพครู เราควรเอา performance อย่างเช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนมาประเมินด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่