:: DAY 4 SAINT PETERSBURG - VYBORG ::
เช้าวันที่สี่ที่รัสเซียเราตื่นมาพร้อมกับอากาศลบ 7 องศาที่รู้สึกเหมือนลบ 13 องศา ถือว่าเป็นวันที่หนาวที่สุดของทริปนี้ก็ว่าได้ วันนี้เราต้องรีบตื่นแต่เช้าเพราะเรามีแผนจะนั่งรถไฟไปเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่าวียบอร์กหรือ Vyborg (Выборг) ที่อยู่ห่างจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 130 กิโลเมตร แต่อยู่ห่างจากฟินแลนด์แค่ 38 กิโลเมตรเท่านั้น เมืองนี้เคยเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของฟินแลนด์ก่อนจะตกเป็นของสหภาพโซเวียต (อีกครั้ง) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เราออกจากโฮสเทลตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง เพราะตั้งใจไปถึงสถานี Finlyandsky ก่อนเวลาซักหนึ่งชั่วโมง ตอนนั้นท้องฟ้าข้างนอกยังไม่สว่างดี แถมลิฟท์ก็ดันไม่ทำงานอีก เราต้องเดินลงบันไดจากชั้น 4 มาข้างล่าง ระหว่างทางก็คิดไปตลอดว่าถ้ามีคนเปิดประตูออกมาและกระชากเราเข้าไปข้างในจะทำยังไง คือความมโนสูงมาก แต่บรรยากาศมันเหมือนฉากในหนังฆาตกรรมจริงๆ มีแค่แสงสลัวๆ กับประตูทึบบานใหญ่ ตอนที่ออกมายืนอยู่ริมถนนได้เราพูดเลยว่าโล่งอกมาก โชคดีที่ข้างนอกพอจะมีคนเดินอยู่บ้างและไฟถนนก็สว่างตลอดทาง


สถานี Finlyandsky เป็นสถานีรถไฟที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของรัสเซีย เพราะเป็นเส้นทางที่วลาดิมีร์ เลนิน ซึ่งถูกเนรเทศไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์นั่งรถไฟกลับมารัสเซียเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1917 ก่อนการปฏิวัติ October Revolution ในปีเดียวกัน จากสถานี Finlyandsky เราจะนั่ง Express Train ไปลงที่สถานี Vyborg ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที แต่ถ้าเป็นรถไฟธรรมดาจะประมาณ 2 ชั่วโมง 15 นาที แต่ละวันมีรถไฟหลายรอบ ซึ่งเราสามารถเช็คตารางเวลาได้ที่เว็บไซต์การรถไฟรัสเซีย แต่ไม่จำเป็นต้องจองตั๋วล่วงหน้า เพราะสามารถซื้อตั๋วในวันเดินทางได้เลย
เราเลือกซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่เพราะไม่มั่นใจความสามารถในการใช้เครื่องอัตโนมัติของตัวเอง ตั๋ว Express Train แบบไป-กลับจะราคา 662 รูเบิล ก่อนจ่ายเงินเจ้าหน้าที่จะเขียนเวลาที่เราต้องการและวาดรูปลูกศรแบบ 2 หัวลงบนกระดาษให้เรายืนยันอีกครั้ง เห็นแล้วก็อดนึกถึงตอนที่คุยกับอาจุมม่าที่เกาหลีใต้ไม่ได้ เราอาจจะพูดกันคนละภาษา แต่ก็สามารถสื่อสารกันด้วยรูปภาพได้ วันนั้นเราซื้อตั๋วรถไฟรอบ 08.05 น. เพื่อไปถึงวียบอร์กไม่เกิน 9 โมงครึ่ง ก่อนเวลาที่ระบุบนตั๋วประมาณ 15 นาทีจะมีประกาศให้เราออกไปยืนรอที่ชานชาลาได้
ระหว่างที่รอรถไฟเทียบชานชาลาเราตัดสินใจถามหนุ่มรัสเซียที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกครั้งว่า ชานชาลานี้เป็นรถไฟที่ไปวียบอร์กจริงๆ เพราะถ้าขึ้นผิดขบวนชีวิตจะเปลี่ยนทันที และหลังจากได้รับการยืนยันแน่นอนแล้วเราก็ขึ้นไปนั่งบนรถไฟได้อย่างสบายใจ ตั๋ว Express Train ที่เราซื้อเป็นแบบไม่ระบุเที่ยวและที่นั่ง เราสามารถนั่งตรงไหนก็ได้ ส่วนขากลับจะเปลี่ยนใจไปนั่งรถไฟธรรมดา (Elektrichka) ก็ได้เหมือนกัน
สำหรับเรามาตรฐานรถไฟความเร็วสูงและ Express Train ของรัสเซียไม่ต่างจากรถไฟของญี่ปุ่นเลย ทั้งเรื่องความตรงต่อเวลา ความสะดวกสบาย ไปจนถึงความสะอาด เสียงประกาศบนขบวนรถก็มีทั้งภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษ ดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก ข้อเสียอย่างเดียวของการเดินทางโดยรถไฟที่รัสเซียก็คือ วิวสองข้างทางไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ยิ่งช่วงที่เราไปมีแต่ป่าสนและหิมะขาวโพลนไปหมด นานๆ จะผ่านตัวเมืองซักครั้ง
ตอนออกจากสถานีรถไฟที่วียบอร์กเราต้องใช้ตั๋วสแกนตรงทางออกด้วย เพราะฉะนั้นต้องเก็บตั๋วไว้ดีๆ จากรีวิวที่เราอ่านเจอคนไทยที่ไปเที่ยววียบอร์กทุกคนจะโดนตำรวจเรียกตรวจพาสปอร์ตตัวจริง แต่ว่าเรากลับผ่านมาได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่เราก็หันไปสบตากับตำรวจอยู่หลายรอบ หรือว่าเราจะหน้าเหมือนคนรัสเซียจริงๆ (ใช่เหรอ?) ความรู้สึกแรกของเราตอนที่เดินออกจากสถานีรถไฟคือวียบอร์กหนาวมากกก ตอนอยู่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กก็ว่าหนาวแล้ว แต่วียบอร์กยังหนาวได้อีก เพราะที่นี่ลมแรงกว่า

จริงๆ แล้ววียบอร์กเป็นเมืองที่เราอยากไปเป็นลำดับต้นๆ ของทริปนี้ เพราะเราอยากไปชมวิวที่ Vyborg Castle ภาพเมืองเล็กๆ ที่ถ่ายจากด้านบนของปราสาทคือเป้าหมายในการมาที่นี่ของเรา แต่เราเพิ่งรวมวียบอร์กเข้าไปในแผนหลังจากที่ตัดสินใจเที่ยวคนเดียวและก่อนวันเดินทางแค่เพียงอาทิตย์กว่าเท่านั้น ถ้าไม่ได้แผนที่ที่มีคนใจดีแชร์ไว้เราก็คงไม่รู้อะไรเลยนอกจากวิธีการเดินทางไปกลับ จากด้านหน้าสถานีรถไฟเราเดินตรงไปทางปั๊มน้ำมันก่อนจะไปหยุดถ่ายรูปตรงทะเลสาบ ช่วงที่เราไปนอกจากน้ำในทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว พื้นที่สวนบริเวณนั้นก็ปกคลุมด้วยน้ำแข็งเกือบทั้งหมด จากประสบการณ์การลื่นล้มที่เกาหลีใต้มาแล้ว วันนั้นเราเลยต้องตั้งสติเวลาเดินมากพิเศษ มีคนเคยบอกไว้ว่าเราจะตื่นเต้นกับการเดินบนน้ำแข็งตราบที่เราไม่เคยลื่นล้มมาก่อน ซึ่งมันจริงที่สุด
‘ถ้าแกหนาวแสดงว่าแกหิว’
เรายืนอยู่ตรงทะเลสาบซักพักก็เริ่มรู้สึกว่าหนาวมากจนกดชัตเตอร์แทบไม่ลง ตอนนั้นเสียงของเพื่อนที่อยู่เกาหลีใต้ก็ลอยมาเบาๆ บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัว แต่ร่างกายต้องการอาหารไปสร้างความอบอุ่น เพราะฉะนั้นได้อะไรรองท้องซักหน่อยก็น่าจะดีกว่า ถ้าเดินตรงมาจากสถานีรถไฟราวๆ ซัก 600 เมตรจะมีร้าน Subway อยู่ทางซ้ายมือ เราสารภาพว่านี่เป็นครั้งแรกในการเข้าร้าน Subway ของเรา ตอนสั่งอาหารก็เลยบันเทิงมาก เพราะไม่ใช่แค่บอกว่าแซนด์วิชแล้วมันจะจบ ทุกอย่างเราต้องเลือกเองแล้วยังใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารอีก เอาจริงๆ แค่ภาษาไทยเรายังเรียกแต่ละอย่างไม่ถูกเลย


ด้วยความที่วันนั้นอากาศหนาวมากและจุดหมายของเราอยู่ที่ Vyborg Castle ที่เดียวเท่านั้น เราเลยเดินดูเมืองไปเรื่อยๆ มากกว่าจะหยุดถ่ายรูปจริงจังหรือเข้าไปชมด้านในโบสถ์ที่อยู่ระหว่างทาง เรามารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เดินอยู่กลางลานน้ำแข็งตรง Round Tower แล้วและทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก ช่วงที่เรากำลังคิดว่าทำไมไม่ออกไปเดินตรงถนนข้างนอก เราก็ทรงตัวไม่อยู่และลื่นล้มกระแทกพื้นอย่างแรง ความรู้สึกตอนนั้นคือเจ็บมาก โดยเฉพาะที่หน้าที่เราเดาว่าจะต้องบวมอย่างแน่นอน หลังจากนั้นพักใหญ่เราถึงรู้ว่าจริงๆ แล้วเราหน้าแตกจนถึงขั้นเลือดออก แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เราไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าวันนั้นแขนขาบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง
VYBORG CASTLE
Address: เลนินกราด, รัสเซีย
How to get there: นั่งรถไฟจากสถานี Finlyandsky (สถานีรถไฟใต้ดิน Ploschad Lenina / Пло́щадь Ле́нина สาย 1 สีแดง) ไปลงที่สถานี Vyborg แล้วเดินต่อไปอีก 1.5 กิโลเมตร
Opening hours: เปิดทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์) ช่วงวันที่ 1 พฤษภาคมถึง 30 กันยายน เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 11.00 น. – 19.00 น. (ขายบัตรเข้าชมถึงแค่ 18.30 น. เท่านั้น) ส่วนช่วงวันที่ 1 ตุลาคมถึง 30 เมษายน เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 18.00 น. (ขายบัตรเข้าชมถึงแค่ 17.30 น. เท่านั้น)
Vyborg Castle (Выборгский замок) เป็นปราสาทและป้อมปราการยุคกลางที่เป็นหนึ่งในสามปราสาทที่สำคัญของฟินแลนด์ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1293 ตามคำสั่งของขุนนาง Torkel Knutsson แห่งสวีเดน เพื่อใช้เป็นหน้าด่านด้านตะวันออก ซึ่งในยุคนั้นฟินแลนด์ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนอยู่ หลังจากที่วียบอร์กตกเป็นของสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบัน Vyborg Castle เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในฐานะพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของรัสเซีย
‘คำว่าปิดซ่อม พูดเบาๆ ก็เจ็บ’
เราเริ่มเอะใจตั้งแต่เห็นว่ามีอะไรมาขวางทางเข้าปราสาทจนเหลือแค่ช่องเล็กๆ ให้คนเดินผ่านเท่านั้น แต่เราก็ยังเดินตามคนงานคู่หนึ่งเข้าไป เพราะวันนั้นไม่ใช่วันหยุดของพิพิธภัณฑ์ ภาพแรกที่เราเห็นด้านในมันคือไซต์ก่อสร้างดีๆ นี่เอง กองไม้ระเกะระกะและเครื่องจักรเต็มไปหมด ตอนนั้นเราได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เราน่าจะยังขึ้นไปชมวิวด้านบนหอคอยได้แม้ว่าข้างล่างจะมีการก่อสร้างก็ตาม แต่เราก็ต้องฝันสลายหลังจากเจ้าหน้าที่ที่ขายบัตรเข้าชมยืนยันว่า ช่วงนี้หอคอยปิดเพื่อซ่อมแซมและไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปด้านบนได้ เราสามารถชมได้แค่พิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในอาคารด้านล่างเท่านั้น

ตอนแรกเราคิดว่าเราอาจจะเข้าใจผิด เพราะเจ้าหน้าที่พูดภาษารัสเซีย เราก็เลยพยายามใช้แอปแปลภาษาสแกนข้อความดูอีกรอบก่อนที่จะเดินคอตกออกมาข้างนอก เพราะหอคอยปิดจริงๆ มันช่างเป็นความจริงที่โหดร้ายมาก เจ็บกว่าหน้า (ที่แตก) ก็ตอนนี้นี่แหละ จริงๆ แล้วเราตั้งใจจะกลับเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กประมาณบ่ายโมง แต่หลังจากที่เดินย้อนมาที่ Round Tower ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมืองแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ เราก็เลยกลับไปที่สถานีรถไฟ เพราะข้างนอกลมแรงมากจนเราแทบไม่อยากถ่ายรูป อย่างน้อยข้างในสถานีน่าจะอุ่นกว่า สำหรับคนที่มีตั๋วรถไฟขากลับสามารถเข้าห้องน้ำได้ฟรีด้วย
From RUSSIA With Love :: รัสเซีย...ที่นี่มีแต่คน(น่า)รัก
:: DAY 4 SAINT PETERSBURG - VYBORG ::
เช้าวันที่สี่ที่รัสเซียเราตื่นมาพร้อมกับอากาศลบ 7 องศาที่รู้สึกเหมือนลบ 13 องศา ถือว่าเป็นวันที่หนาวที่สุดของทริปนี้ก็ว่าได้ วันนี้เราต้องรีบตื่นแต่เช้าเพราะเรามีแผนจะนั่งรถไฟไปเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่าวียบอร์กหรือ Vyborg (Выборг) ที่อยู่ห่างจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 130 กิโลเมตร แต่อยู่ห่างจากฟินแลนด์แค่ 38 กิโลเมตรเท่านั้น เมืองนี้เคยเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของฟินแลนด์ก่อนจะตกเป็นของสหภาพโซเวียต (อีกครั้ง) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เราออกจากโฮสเทลตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง เพราะตั้งใจไปถึงสถานี Finlyandsky ก่อนเวลาซักหนึ่งชั่วโมง ตอนนั้นท้องฟ้าข้างนอกยังไม่สว่างดี แถมลิฟท์ก็ดันไม่ทำงานอีก เราต้องเดินลงบันไดจากชั้น 4 มาข้างล่าง ระหว่างทางก็คิดไปตลอดว่าถ้ามีคนเปิดประตูออกมาและกระชากเราเข้าไปข้างในจะทำยังไง คือความมโนสูงมาก แต่บรรยากาศมันเหมือนฉากในหนังฆาตกรรมจริงๆ มีแค่แสงสลัวๆ กับประตูทึบบานใหญ่ ตอนที่ออกมายืนอยู่ริมถนนได้เราพูดเลยว่าโล่งอกมาก โชคดีที่ข้างนอกพอจะมีคนเดินอยู่บ้างและไฟถนนก็สว่างตลอดทาง
สถานี Finlyandsky เป็นสถานีรถไฟที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของรัสเซีย เพราะเป็นเส้นทางที่วลาดิมีร์ เลนิน ซึ่งถูกเนรเทศไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์นั่งรถไฟกลับมารัสเซียเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1917 ก่อนการปฏิวัติ October Revolution ในปีเดียวกัน จากสถานี Finlyandsky เราจะนั่ง Express Train ไปลงที่สถานี Vyborg ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที แต่ถ้าเป็นรถไฟธรรมดาจะประมาณ 2 ชั่วโมง 15 นาที แต่ละวันมีรถไฟหลายรอบ ซึ่งเราสามารถเช็คตารางเวลาได้ที่เว็บไซต์การรถไฟรัสเซีย แต่ไม่จำเป็นต้องจองตั๋วล่วงหน้า เพราะสามารถซื้อตั๋วในวันเดินทางได้เลย
เราเลือกซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่เพราะไม่มั่นใจความสามารถในการใช้เครื่องอัตโนมัติของตัวเอง ตั๋ว Express Train แบบไป-กลับจะราคา 662 รูเบิล ก่อนจ่ายเงินเจ้าหน้าที่จะเขียนเวลาที่เราต้องการและวาดรูปลูกศรแบบ 2 หัวลงบนกระดาษให้เรายืนยันอีกครั้ง เห็นแล้วก็อดนึกถึงตอนที่คุยกับอาจุมม่าที่เกาหลีใต้ไม่ได้ เราอาจจะพูดกันคนละภาษา แต่ก็สามารถสื่อสารกันด้วยรูปภาพได้ วันนั้นเราซื้อตั๋วรถไฟรอบ 08.05 น. เพื่อไปถึงวียบอร์กไม่เกิน 9 โมงครึ่ง ก่อนเวลาที่ระบุบนตั๋วประมาณ 15 นาทีจะมีประกาศให้เราออกไปยืนรอที่ชานชาลาได้
ระหว่างที่รอรถไฟเทียบชานชาลาเราตัดสินใจถามหนุ่มรัสเซียที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกครั้งว่า ชานชาลานี้เป็นรถไฟที่ไปวียบอร์กจริงๆ เพราะถ้าขึ้นผิดขบวนชีวิตจะเปลี่ยนทันที และหลังจากได้รับการยืนยันแน่นอนแล้วเราก็ขึ้นไปนั่งบนรถไฟได้อย่างสบายใจ ตั๋ว Express Train ที่เราซื้อเป็นแบบไม่ระบุเที่ยวและที่นั่ง เราสามารถนั่งตรงไหนก็ได้ ส่วนขากลับจะเปลี่ยนใจไปนั่งรถไฟธรรมดา (Elektrichka) ก็ได้เหมือนกัน
สำหรับเรามาตรฐานรถไฟความเร็วสูงและ Express Train ของรัสเซียไม่ต่างจากรถไฟของญี่ปุ่นเลย ทั้งเรื่องความตรงต่อเวลา ความสะดวกสบาย ไปจนถึงความสะอาด เสียงประกาศบนขบวนรถก็มีทั้งภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษ ดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก ข้อเสียอย่างเดียวของการเดินทางโดยรถไฟที่รัสเซียก็คือ วิวสองข้างทางไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ยิ่งช่วงที่เราไปมีแต่ป่าสนและหิมะขาวโพลนไปหมด นานๆ จะผ่านตัวเมืองซักครั้ง
ตอนออกจากสถานีรถไฟที่วียบอร์กเราต้องใช้ตั๋วสแกนตรงทางออกด้วย เพราะฉะนั้นต้องเก็บตั๋วไว้ดีๆ จากรีวิวที่เราอ่านเจอคนไทยที่ไปเที่ยววียบอร์กทุกคนจะโดนตำรวจเรียกตรวจพาสปอร์ตตัวจริง แต่ว่าเรากลับผ่านมาได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่เราก็หันไปสบตากับตำรวจอยู่หลายรอบ หรือว่าเราจะหน้าเหมือนคนรัสเซียจริงๆ (ใช่เหรอ?) ความรู้สึกแรกของเราตอนที่เดินออกจากสถานีรถไฟคือวียบอร์กหนาวมากกก ตอนอยู่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กก็ว่าหนาวแล้ว แต่วียบอร์กยังหนาวได้อีก เพราะที่นี่ลมแรงกว่า
จริงๆ แล้ววียบอร์กเป็นเมืองที่เราอยากไปเป็นลำดับต้นๆ ของทริปนี้ เพราะเราอยากไปชมวิวที่ Vyborg Castle ภาพเมืองเล็กๆ ที่ถ่ายจากด้านบนของปราสาทคือเป้าหมายในการมาที่นี่ของเรา แต่เราเพิ่งรวมวียบอร์กเข้าไปในแผนหลังจากที่ตัดสินใจเที่ยวคนเดียวและก่อนวันเดินทางแค่เพียงอาทิตย์กว่าเท่านั้น ถ้าไม่ได้แผนที่ที่มีคนใจดีแชร์ไว้เราก็คงไม่รู้อะไรเลยนอกจากวิธีการเดินทางไปกลับ จากด้านหน้าสถานีรถไฟเราเดินตรงไปทางปั๊มน้ำมันก่อนจะไปหยุดถ่ายรูปตรงทะเลสาบ ช่วงที่เราไปนอกจากน้ำในทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว พื้นที่สวนบริเวณนั้นก็ปกคลุมด้วยน้ำแข็งเกือบทั้งหมด จากประสบการณ์การลื่นล้มที่เกาหลีใต้มาแล้ว วันนั้นเราเลยต้องตั้งสติเวลาเดินมากพิเศษ มีคนเคยบอกไว้ว่าเราจะตื่นเต้นกับการเดินบนน้ำแข็งตราบที่เราไม่เคยลื่นล้มมาก่อน ซึ่งมันจริงที่สุด
‘ถ้าแกหนาวแสดงว่าแกหิว’
เรายืนอยู่ตรงทะเลสาบซักพักก็เริ่มรู้สึกว่าหนาวมากจนกดชัตเตอร์แทบไม่ลง ตอนนั้นเสียงของเพื่อนที่อยู่เกาหลีใต้ก็ลอยมาเบาๆ บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัว แต่ร่างกายต้องการอาหารไปสร้างความอบอุ่น เพราะฉะนั้นได้อะไรรองท้องซักหน่อยก็น่าจะดีกว่า ถ้าเดินตรงมาจากสถานีรถไฟราวๆ ซัก 600 เมตรจะมีร้าน Subway อยู่ทางซ้ายมือ เราสารภาพว่านี่เป็นครั้งแรกในการเข้าร้าน Subway ของเรา ตอนสั่งอาหารก็เลยบันเทิงมาก เพราะไม่ใช่แค่บอกว่าแซนด์วิชแล้วมันจะจบ ทุกอย่างเราต้องเลือกเองแล้วยังใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารอีก เอาจริงๆ แค่ภาษาไทยเรายังเรียกแต่ละอย่างไม่ถูกเลย
ด้วยความที่วันนั้นอากาศหนาวมากและจุดหมายของเราอยู่ที่ Vyborg Castle ที่เดียวเท่านั้น เราเลยเดินดูเมืองไปเรื่อยๆ มากกว่าจะหยุดถ่ายรูปจริงจังหรือเข้าไปชมด้านในโบสถ์ที่อยู่ระหว่างทาง เรามารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เดินอยู่กลางลานน้ำแข็งตรง Round Tower แล้วและทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก ช่วงที่เรากำลังคิดว่าทำไมไม่ออกไปเดินตรงถนนข้างนอก เราก็ทรงตัวไม่อยู่และลื่นล้มกระแทกพื้นอย่างแรง ความรู้สึกตอนนั้นคือเจ็บมาก โดยเฉพาะที่หน้าที่เราเดาว่าจะต้องบวมอย่างแน่นอน หลังจากนั้นพักใหญ่เราถึงรู้ว่าจริงๆ แล้วเราหน้าแตกจนถึงขั้นเลือดออก แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เราไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าวันนั้นแขนขาบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง
VYBORG CASTLE
Address: เลนินกราด, รัสเซีย
How to get there: นั่งรถไฟจากสถานี Finlyandsky (สถานีรถไฟใต้ดิน Ploschad Lenina / Пло́щадь Ле́нина สาย 1 สีแดง) ไปลงที่สถานี Vyborg แล้วเดินต่อไปอีก 1.5 กิโลเมตร
Opening hours: เปิดทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์) ช่วงวันที่ 1 พฤษภาคมถึง 30 กันยายน เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 11.00 น. – 19.00 น. (ขายบัตรเข้าชมถึงแค่ 18.30 น. เท่านั้น) ส่วนช่วงวันที่ 1 ตุลาคมถึง 30 เมษายน เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 18.00 น. (ขายบัตรเข้าชมถึงแค่ 17.30 น. เท่านั้น)
Vyborg Castle (Выборгский замок) เป็นปราสาทและป้อมปราการยุคกลางที่เป็นหนึ่งในสามปราสาทที่สำคัญของฟินแลนด์ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1293 ตามคำสั่งของขุนนาง Torkel Knutsson แห่งสวีเดน เพื่อใช้เป็นหน้าด่านด้านตะวันออก ซึ่งในยุคนั้นฟินแลนด์ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนอยู่ หลังจากที่วียบอร์กตกเป็นของสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบัน Vyborg Castle เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในฐานะพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของรัสเซีย
‘คำว่าปิดซ่อม พูดเบาๆ ก็เจ็บ’
เราเริ่มเอะใจตั้งแต่เห็นว่ามีอะไรมาขวางทางเข้าปราสาทจนเหลือแค่ช่องเล็กๆ ให้คนเดินผ่านเท่านั้น แต่เราก็ยังเดินตามคนงานคู่หนึ่งเข้าไป เพราะวันนั้นไม่ใช่วันหยุดของพิพิธภัณฑ์ ภาพแรกที่เราเห็นด้านในมันคือไซต์ก่อสร้างดีๆ นี่เอง กองไม้ระเกะระกะและเครื่องจักรเต็มไปหมด ตอนนั้นเราได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เราน่าจะยังขึ้นไปชมวิวด้านบนหอคอยได้แม้ว่าข้างล่างจะมีการก่อสร้างก็ตาม แต่เราก็ต้องฝันสลายหลังจากเจ้าหน้าที่ที่ขายบัตรเข้าชมยืนยันว่า ช่วงนี้หอคอยปิดเพื่อซ่อมแซมและไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปด้านบนได้ เราสามารถชมได้แค่พิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในอาคารด้านล่างเท่านั้น
ตอนแรกเราคิดว่าเราอาจจะเข้าใจผิด เพราะเจ้าหน้าที่พูดภาษารัสเซีย เราก็เลยพยายามใช้แอปแปลภาษาสแกนข้อความดูอีกรอบก่อนที่จะเดินคอตกออกมาข้างนอก เพราะหอคอยปิดจริงๆ มันช่างเป็นความจริงที่โหดร้ายมาก เจ็บกว่าหน้า (ที่แตก) ก็ตอนนี้นี่แหละ จริงๆ แล้วเราตั้งใจจะกลับเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กประมาณบ่ายโมง แต่หลังจากที่เดินย้อนมาที่ Round Tower ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมืองแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ เราก็เลยกลับไปที่สถานีรถไฟ เพราะข้างนอกลมแรงมากจนเราแทบไม่อยากถ่ายรูป อย่างน้อยข้างในสถานีน่าจะอุ่นกว่า สำหรับคนที่มีตั๋วรถไฟขากลับสามารถเข้าห้องน้ำได้ฟรีด้วย