นายอธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงงานวิจัย “ถอดรหัสผู้เสียภาษีไทย ใครได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐ” จัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า การให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของภาครัฐ เช่น มาตรการภาษีช็อปช่วยชาติ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการซื้อกองทุนรวม LTF และ RMF นั้น กลุ่มคนที่ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้สูง หรือมีรายได้มากกว่า 9.16 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งคิดเป็น 5% ของผู้เสียภาษีทั้งหมด 11 ล้านคนที่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ทั้งนี้ การกระจุกตัวของผู้ได้รับประโยชน์จากมาตรการหักลดหย่อนภาษีต่างๆ นี้ มาจากการที่ผู้มีรายได้สูงจะอยู่บนขั้นบันไดภาษีสูงกว่าผู้มีรายได้น้อย ทำให้การหักลดหย่อนหนึ่งบาทของผู้มีรายได้สูง มีต้นทุนต่อรัฐสูงกว่าของผู้มีรายได้น้อย ขณะที่กลุ่มคนชั้นกลางจะได้รับประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีด้วยการซื้อประกันชีวิต ดอกเบี้ยซื้อบ้านและการบริจาค เป็นต้น
ขณะที่มาตรการภาษีช็อปช่วยชาติ ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 11 พ.ย.-3 ธ.ค. 2560 นั้น มองว่า ยังไม่ตอบโจทย์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้มากเพียงพอ เนื่องจากมาตรการไม่ได้เป็นการเพิ่มกำลังซื้อใหม่ของประชาชน แต่กลับเป็นการดึงอุปสงค์หรือกำลังซื้อในอนาคตมาใช้ก่อนเวลา
“จากการศึกษาพบว่ามีผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีเกี่ยวกับมาตรการช็อปช่วยชาติสูงสุด 20% มีเพียง 7% ของผู้ที่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีทั้งหมด 11 ล้านคนเท่านั้น ส่วนที่เหลือประมาณ 70-72% จะได้รับประโยชน์จากมาตรการลดลงมา หรือบางส่วนอาจจะไม่ได้รับประโยชน์เลย ดังนั้นในแง่ของผู้บริโภคจึงจำเป็นต้องพิจารณาการใช้จ่ายให้รอบคอบก่อน อยากให้คิดทั้งปีว่าวมีการวางแผนลดหย่อยภาษีไว้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีอย่างเต็มที่” นายอธิภัทร กล่าว
นายอธิภัทร กล่าวอีกว่า ในปี 2560 การให้สิทธิการหักลดหย่อนภาษีต่างๆ ทำให้รัฐบาลมีรายจ่ายภาษีสูงถึง 1.1 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 0.7% ของจีดีพี หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งหมดในปี 2560 ส่งผลทำให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ลดลง และพบว่าการหักลดหย่อนภาษีที่เกี่ยวข้องกับการออมและการลงทุน มีมูลค่ารวมกันถึง 5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 45% ของรายจ่ายภาษีทั้งหมด
อย่างไรก็ดี มองว่ารัฐบาลควรมีการปรับรูปแบบในการให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีซึ่งมีผู้รับประโยชน์ค่อนข้างกระจุกตัว มาเป็นการให้เครดิตภาษีแทน ซึ่งจะทำให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างกลุ่มผู้มีรายได้สูงและกลุ่มชนชั้นกลาง โดยการให้เครดิตภาษีนั้นจะช่วยให้รัฐบาลมีต้นทุนรายจ่ายภาษีสำหรับกองทุน LTF และ RMF เหลือ 8 พันล้านบาท จากปกติอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ดี ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ใช้ข้อมูลสุ่มจากผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของกรมสรรพากรปี 2555 ประมาณ 0.3% ของผู้ที่ยื่นแบบเสียภาษี 11 ล้านคน แต่มีผู้เสียภาษีเพียง 4 ล้านคน หรือประมาณ 20% และพบว่าอัตราภาษีเฉลี่ยที่คนไทยเสียอยู่ที่ 4.7%
JJNY : ปฏิรูปดี๊ดี...ซี้จุกสูญ นักวิชาการติงช็อปช่วยชาติเอื้อคนรวย ไม่ตอบโจทย์กระตุ้นเศรษฐกิจ-ทำรัฐจัดเก็บรายได้วูบ
ทั้งนี้ การกระจุกตัวของผู้ได้รับประโยชน์จากมาตรการหักลดหย่อนภาษีต่างๆ นี้ มาจากการที่ผู้มีรายได้สูงจะอยู่บนขั้นบันไดภาษีสูงกว่าผู้มีรายได้น้อย ทำให้การหักลดหย่อนหนึ่งบาทของผู้มีรายได้สูง มีต้นทุนต่อรัฐสูงกว่าของผู้มีรายได้น้อย ขณะที่กลุ่มคนชั้นกลางจะได้รับประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีด้วยการซื้อประกันชีวิต ดอกเบี้ยซื้อบ้านและการบริจาค เป็นต้น
ขณะที่มาตรการภาษีช็อปช่วยชาติ ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 11 พ.ย.-3 ธ.ค. 2560 นั้น มองว่า ยังไม่ตอบโจทย์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้มากเพียงพอ เนื่องจากมาตรการไม่ได้เป็นการเพิ่มกำลังซื้อใหม่ของประชาชน แต่กลับเป็นการดึงอุปสงค์หรือกำลังซื้อในอนาคตมาใช้ก่อนเวลา
“จากการศึกษาพบว่ามีผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีเกี่ยวกับมาตรการช็อปช่วยชาติสูงสุด 20% มีเพียง 7% ของผู้ที่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีทั้งหมด 11 ล้านคนเท่านั้น ส่วนที่เหลือประมาณ 70-72% จะได้รับประโยชน์จากมาตรการลดลงมา หรือบางส่วนอาจจะไม่ได้รับประโยชน์เลย ดังนั้นในแง่ของผู้บริโภคจึงจำเป็นต้องพิจารณาการใช้จ่ายให้รอบคอบก่อน อยากให้คิดทั้งปีว่าวมีการวางแผนลดหย่อยภาษีไว้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีอย่างเต็มที่” นายอธิภัทร กล่าว
นายอธิภัทร กล่าวอีกว่า ในปี 2560 การให้สิทธิการหักลดหย่อนภาษีต่างๆ ทำให้รัฐบาลมีรายจ่ายภาษีสูงถึง 1.1 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 0.7% ของจีดีพี หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งหมดในปี 2560 ส่งผลทำให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ลดลง และพบว่าการหักลดหย่อนภาษีที่เกี่ยวข้องกับการออมและการลงทุน มีมูลค่ารวมกันถึง 5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 45% ของรายจ่ายภาษีทั้งหมด
อย่างไรก็ดี มองว่ารัฐบาลควรมีการปรับรูปแบบในการให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีซึ่งมีผู้รับประโยชน์ค่อนข้างกระจุกตัว มาเป็นการให้เครดิตภาษีแทน ซึ่งจะทำให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างกลุ่มผู้มีรายได้สูงและกลุ่มชนชั้นกลาง โดยการให้เครดิตภาษีนั้นจะช่วยให้รัฐบาลมีต้นทุนรายจ่ายภาษีสำหรับกองทุน LTF และ RMF เหลือ 8 พันล้านบาท จากปกติอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ดี ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ใช้ข้อมูลสุ่มจากผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของกรมสรรพากรปี 2555 ประมาณ 0.3% ของผู้ที่ยื่นแบบเสียภาษี 11 ล้านคน แต่มีผู้เสียภาษีเพียง 4 ล้านคน หรือประมาณ 20% และพบว่าอัตราภาษีเฉลี่ยที่คนไทยเสียอยู่ที่ 4.7%