ความหลงผิดของพ่อที่อยากให้ลูกเรียนเตรียมทหาร

ผมต้องเกริ่นก่อนว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้แชร์ความรู้สึกของตนเองผ่านอินเตอร์เน็ต ที่ผมได้ทำผิดกับลูกไปด้วยความเชื่อผิดๆในตัวผมเอง เพื่อเป็นบทเรียนแก่ใครหลายๆคนที่จะหวังบารมีลูกจากการได้เรียนเตรียมทหาร

    ผมนั้นเป็นคนต่างจังหวัดเข้ามารับราชการเป็นทหารชั้นประทวน ในกรุงเทพผมจบจากโรงเรียนสายทหารช่าง(ไม่ขอเอยเป็นเหล่าไหน)ด้วยความฝันตั้งแต่เด็กอยากเป็นนายร้อย ด้วยวาสนา บุญบารมีที่สั่งสมมานั้นอาจจะไม่ถึงทำให้ผมต้องเป็นทหารผู้น้อยอยู่ทุกวันนี้        
แต่ด้วยบุญบารมีที่สั่งสมมานั้นไม่ได้มาในรูปแบบของยศถาบรรดาศักดิ์ แต่มาในรูปของเด็กตัวน้อยๆ ที่น่ารักของผม ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผม เขาเติบโตมาเป็นเด็กที่น่ารัก ไม่ดื้อรั้น และเรียนเก่ง ทำให้ผมภูมิใจในตัวเขามาก จนผมฝันไปไกลว่าเขาจะเป็นผู้สานฝันในวัยเด็กของผมที่อยากจะเป็นนายร้อยได้สำเร็จ ผมปลูกฝังเขาด้วยค่านิยมของการเป็นทหารตั้งแต่เด็ก ฝึกวินัยแก่เขา สอนทุกอย่างที่เป็นทหาร ซึ่งลูกของผมก็เอาทุกอย่างเป็นตามใจของผมคิด ถึงกระนั้นเองผมลืมบางสิ่งที่สำคัญของลูกผมไปนั้นก็คือ “ความฝันของเขา” ผมไม่เคยคิดสักนิดเลยว่าความฝันเขานั้นจะเป็นอย่างไร ผมคิดแต่ความฝันของผมที่อยากจะให้ลูกผมเป็นนายร้อยให้จนได้ ครั้งหนึ่งผมเคยแอบดูหนังสือเรียนในวัยประถมของเขาผมพบว่าความฝันของเขานั้นไม่ได้อยากจะเป็นทหาร อย่างที่ผมคิดแท้ที่จริงแล้วเขาอยากจะเป็น “หมอ”  ผมเลือกที่จะละเลยความฝันของเขาเพื่อให้เขาทำตามฝันของผม ผมพยายามให้เขาไปติวฟิตร่างกายเพื่อจะสอบเตรียมทหารผมลงทุนทุกอย่างเพื่อให้เขาจะเป็นนายร้อยให้ได้ และแล้วความฝันผมก็สำเร็จ “เขาสอบเตรียมทหารได้ทั้ง 4 เหล่า”  ผมดีใจมากเขาเป็นบุตรที่นำความฝันมาให้ผมซึ่งเขาก็ดูมีความสุข ซึ่งผมรู้สึกว่าลึกๆแล้วเขาคงไม่ได้ดีใจขนาดนั้นกับความฝันของเขาเลย

    ครั้นเมื่อเขาเรียนเตรียมทหารผมรอคอยที่จะได้ฟังเรื่องราวของเขาผ่านโทรศัพท์ ว่าเขาเป็นอย่างไรใน ผมอยากทราบว่าบรรยากาศในนั้นเป็นอย่างไรบ้างเหมือนที่ผมฝันรึป่าว เมื่อวันไหนที่ว่างหรือมีโอกาสผมจะรีบบึ่งขับรถไปนครนายกทันทีเ พื่อไปหาลูกของผมว่าเขาสุขสบายดีรึป่าว แต่แล้วความทุกข์ของเขาเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆทุกครั้ง หลายครั้งที่เขาโทรมาบอกว่าเขาเหนื่อยแต่เขาอดทนได้อยู่  ทุกครั้งผมก็มีเพียงแค่คำปลอบใจสั้นๆว่า “สู้ๆนะลูกมันเป็นอนาคตที่ดีของลูกนะ” ผมไม่รู้นะว่าลูกผมทุกข์ใจแค่ไหนแต่มีครั้งหนึ่งที่ทำให้ผมได้รู้ว่าเขาไม่มีความสุขในสิ่งที่ทำอยู่ เมื่อมีสายจากโรงเรียนเตรียมโทรมาว่า    “ลูกชายของคุณไม่เข้ามาโรงเรียน 2 วันแล้ว”  ด้วยความแปลกใจเพราะวันปล่อยกลับบ้านทุกครั้งก็จะกลับบ้านและขากลับไปโรงเรียนเขาจะนั่งรถจากรังสิตไปเอง แต่ครั้งนี้เขาไปไม่ถึงโรงเรียนด้วยความร้อนลนใจของผมเลยรีบไปแจ้งความไหว้ก่อนเพราะกลัวเขาจะเป็นอะไร ผมติดต่อเขาทุกทางในที่สุดแฟนสาวของเขาที่เรียนอยู่ มศว องครักษ์ ได้โทรมาบอกว่าเขาอยู่บ้านของเธอ ที่เขาไม่อยากไปที่โรงเรียนเขามีปัญหาชกต่อยกับรุ่นพี่และกลัวรุ่นพี่จะรุมทำร้ายในวันกลับ  เลยมาลงที่ มศว ที่แฟนเขาอยู่นั้นเองเมื่อผมรู้เหตุที่เกิดขึ้น ผมรีบไปรับตัวเขาและไปที่โรงเรียนบอกกับอาจารย์ถึงเหตุที่เกิดขึ้น  อาจารย์ก็รับปากว่าจะดูแลในเรื่องนี้ให้ ซึ่งปัญหามีอยู่ว่าลูกชายของผมนั้น ดันไปมีเรื่องชกต่อยกับลูกทหารที่เป็นระดับชั้นนายพล ซึ่งไม่มีใครที่จะกล้าหรือลงโทษเขาได้ทำให้ผมนั้นจำใจให้เขาลาพัก เพื่อให้เขามีกำลังใจก่อน ช่วงที่เขาอยู่บ้านนั้นผมก็ได้มีโอกาสเปิดอกคุยกับเขา เขาเข้ามาหาผมแล้วกล่าวกับผมว่า “พ่อจบปี3 ผมไม่ขอขึ้นเหล่านะผมจะสอบแพทย์” ด้วยความที่ผมอยากให้ลูกเป็นทหารต่อผมพยายามโน้มน้าวให้เขาขึ้นเหล่าเพราะถ้าเขาออกนั้นจะต้องเสียค่าปรับเพิ่มเติมที่ค่อนข้างสูง แต่ด้วยประโยคของเขาประโยคหนึ่งมันทำให้ผมตื่นจากความฝันของผมคือ “ผมขอละพ่อผมสอบเข้าให้ตามฝันพ่อแล้วผมขอทำตามความฝันของผมได้ไหม”   ถึงแม้จะเป็นประโยคสั้นๆ แต่มันทำให้แทงใจดำผม น้ำตาลูกผู้ชายของผมก็หยุดไม่อยู่ไหลออกเต็มนองหน้าพูดได้เพียงเสียงสั่นเบาๆว่า “พ่อขอโทษ” ผมเข้าไปกอดเขาผมรู้สึกถึงความทนทุกข์ของตลอด 2 ปีของการเรียนเตรียมทหารที่ผ่านมา   ผมบอกเขาว่า “ไม่เป็นไรเรื่องค่าปรับก็ไม่เป็นไรขอเรียนให้จบปี3 ก่อนนะลูกแล้วลูกอยากจะเป็นอะไรก็ได้เลย” หลังจากนั้นผมก็ตื่นจากความฝันของผม ผมรีบเดินเรื่องหาเงินเพื่อมาจ่ายค่าปรับตอนลูกจบปี 3  

             ในสุดหลังจากที่เขาจบปี 3 นั้น เขาก็ได้มีโอกาสต่อคณะแพทย์แห่งหนึ่งตามความฝันของเขา เขามีความสุข หัวเราะและยิ้มมากกว่าทุกครั้งที่เจอเขา มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า”ผมทำอะไรลงไป” ผมเกือบจะทำลายฝันของลูกตัวเองถ้าลูกผมไม่มาของร้องในวันนั้นอาจจะไม่มีวันนี้ก็ได้มันทำให้ผมรู้สึกปล่อยวางกับทุกสิ่งแล้วมองดูอนาคตของเขาทีเขาเลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่กำหนดเพราะผม
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
ทำให้ผมนึกถึงตัวเองทันทีครับ
พ่อผมลักษณะคล้ายๆกับคุณ จขกท เลย

พูดตรงๆว่า ผมค่อนข้างเรียนเก่ง เกรดสามกว่าๆตลอด
พ่อขีดเส้นตายให้ผมเลยว่า ต้องเรียนหมอหรือวิศวะเท่านั้น เพราะพ่อเป็นหัวหน้าช่าง

แต่ผมนี่ไม่ชอบทั้งสองอย่าง (ผมอยากเป็นครู) แต่มันขัดใจพ่อไม่ได้
จนถึง ม.6 ผมฝืนใจตัวเองไปสอบวิศวะโควตารับตรง ม.ดังแห่งนึง และติดแบบไม่มีปัญหาจนได้เรียนที่นั่น
" แต่ในใจผมนั้นมันไม่มีความสุขเลย เรียนแบบฝืนตัวเอง " แต่ไม่กล้าบอกพ่อเลยเก็บไว้ตลอด

ผมตัดสินใจบอกพ่อในกลางเทอมที่สอง ของการเรียนมหาลัยปี 1
โทรบอกพ่อตรงๆ (โทรคุยนานมากเป็นชั่วโมง) โทรคุยทั้งร้องไห้ทั้งน้ำตา มือขวาถือโทรศัพท์แนบหู มือซ้ายกุมหน้าผากปาดน้ำตา

ผมบอกพ่อตรงๆว่า " ทรมานมากที่ต้องทนฝืนใจตัวเองเรียน 19ปีที่ผ่านมาไม่เคยทำให้พ่อผิดหวัง แต่ครั้งนี้พ่อจะว่าไงก็ช่าง ผมทนฝืนไม่ไหวแล้ว จะขอออกไปเอนทรานซ์เข้ามหาลัยใหม่ในคณะที่ชอบ ขอให้พ่อเข้าใจผมด้วย "

ผมพูดจบ พ่อเริ่มเปลี่ยนเรื่องคุย แต่เสียงพ่อสั่นเครือเหมือนพ่อกำลังร้องไห้
พ่อพูดว่า " ตอนนี้เงินเหลือใช้เท่าไหร่ จะกลับบ้านอีกวันไหน "
พ่อเปลี่ยนเรื่องคุย (แต่ในใจผมรู้จากเสียงแล้ว ว่าพ่อกำลังร้องไห้)

ปีต่อมาผมเอนทรานซ์เข้า คณะครุศาสตร์ ม.ดังอีกที่นึงได้
ทุกวันนี้ อายุผมก็ถือว่าวัยกลางคนล่ะครับ มีความสุขกับอาชีพราชการครู

ลืมบอกไปว่า สมัยเป็นนักศึกษาฝึกสอนนั้น รร. ที่ผมสอนยื่นข้อเสนอมาให้เลยครับ
ว่า จะบรรจุให้ผมเป็นครูอยู่ใน รร. นี้เลย เพราะนักเรียนที่ผมสอนประเมินให้ผมสูงมาก สูงจน ผอ. เข้ามาตรวจสอบ

ผอ. ท่านก็ชอบผมด้วย ตรงที่ผมพิเศษกว่าครูคนอื่นๆ
คือ ผมสอนได้หลายวิชา ไทย คณิต วิทย์ ฟิสิกส์ เคมี อังกฤษ เป็นมาจากที่เป็นคนเรียนเก่งอยู่แล้วครับ แต่อยากเป็นครู
(ส่วนใหญ่คนเรียนเก่งเขาไม่ค่อยเป็นครูกัน)

ปล. ผมอ่านกระทู้นี้ มันทำให้ผมนึกถึงตัวเองมาก ที่โดนพ่อบงการตลอด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่