My solo travel diary; Leave your fear behind and go explore the world.

สวัสดีค่ะ สิงในห้องบลูแพลเน็ตมาหลายปี จะขอบอกเล่าประสบการณ์ในการท่องเที่ยวที่ผ่านมาให้เพื่อนๆได้ฟังค่ะ จะเน้นไปในทริปที่ไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวเป็นหลักนะคะ เผื่อเพื่อนๆจะได้มีแรงบันดาลใจในการออกไปตามล่าหาฝันเพื่อจะได้พบกับประสบการณ์ดีๆกันค่ะ ^^

           สืบเนื่องมาจากหลังเริ่มทำงานไปสักพักก็เหมือนคนวัยทำงานทั่วไปทีเบื่อ เหนื่อย ท้อ เริ่มหมดไฟ ต้องการที่จะพักไปเที่ยวเพื่อพักใจนะคะ ก่อนหน้านี้เคยไปเที่ยวกับเพื่อนๆมาหลายครั้งเหมือนกัน จนสุดท้ายเราอยากเอาชนะใจตัวเองก็เลยไปเที่ยวคนเดียว  ข้อดีของการไปเที่ยวกับเพื่อนก็คือ ค่าใช้จ่ายๆต่างๆจะถูกลง สามารถกินอาหารได้หลากหลาย มีคนช่วยถ่ายรูปช่วยวางแผนการเดินทางและที่สำคัญไม่เหงานะคะ แต่ในบางครั้งเราก็ไม่สามารถไปกับเพื่อนได้ทุกทริปเพราะทุกคนก็ทำงานการจะลาให้วันว่างตรงกันเป็นไปได้ยาก

1st Trip: Leave your fear behind and go somewhere “Alps”: Val Gardena 2014
         เริ่มวางแผนเที่ยวคนเดียว ตอนนั้นยังไม่กล้านั่งเครื่องบินไปคนเดียว แล้วก็กลัวโจรด้วยค่ะ กังวลสารพัดอย่างว่าจะมีอะไรร้ายๆเกิดขึ้นไหม ก็เลยเริ่มวางแผนไปเที่ยว เอาชนะความกลัวเพิ่มความกล้าทีละนิด โดยตอนนั้นไปเที่ยวอิตาลี่กับเพื่อนๆ เริ่มจากโรมไปถึงมิลาน โดยเพื่อนๆกลับก่อน ( 10 วัน ) ส่วนเราไปเที่ยวต่อค่ะ ตอนนั้นขอบคุณพี่ๆห้องบลูมากๆ คุณ PKL เซเลบคนดังห้องบลูที่ช่วยแนะนำหลายอย่างค่ะ (คิดถึงจัง555) หลังจากแยกกับเพื่อนที่มิลาน ตอนนั้นมีแพลนจะไปเที่ยว Dolomite ต่อค่ะ การเดินทางโดยรถไฟสำหรับเรารู้สึกว่าลำบากมากค่ะจำได้ว่าต้องนั่งรถประมาณ 8-9 ชม ต่อรถไฟหลายเที่ยว ขึ้นรถบัส โดยเริ่มจาก Milan Verona Bolzano- Galvaderna
          เนื่องจากเป็นการไปเที่ยวครั้งแรก ที่ใช้เวลาเดินทางนานมาก เหนื่อยล้า ส่วนมากนอนเป็นหลัก 555 คนทางเหนือพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วยค่ะ พูดเยอรมันทำให้บางทีคุยไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นไปแค่ขึ้นกระเช้า พยายามจะเดินป่าแต่เดินได้ 5 กิโลก็แบบไม่ไหวแล้ว ไม่ได้เตรียมชุดไปเดินป่าขึ้นเขา อายคุณป้ามากๆทั้งที่อายุเยอะแต่เดินเก่งจริงๆ หลังกลับมารู้สึกได้ว่าเราทำการบ้านไปไม่พอ ทำให้ไม่ได้ไปสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่ได้กลับมากลับรู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น มีความสุขไปอีกแบบ คือเราจะไปเที่ยวตอนไหนก็ได้ เหนื่อยก็พัก ซึ่งดีมากชอบมาก

2nd Trip; Exotique Nippon 2015

           ช่วงนี้เป็นช่วง Vacation หลังจากเริ่มกลับมาเรียนต่อ ช่วงนั้นก็เหมือนเดิม เครียดมากจริงๆ 555 ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจไปเที่ยวแต่ทนไม่ไหว เลยจองตั๋วปุปปับไปประเทศสุดฮิตของคนในห้องบลูนั่นคือ ญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ ช่วงที่ไปคือเป็นช่วงใบไม้แดงพอดี อะไรก็เต็มไปหมด แพงไปหมด ตอนนั้นไม่ได้มีความคาดหวังอะไรมาก เพราะตอนต้นปีไปเพิ่งดูซากุระมาที่โตเกียว แค่อยากไปพักใจ5555 จองไปกับคาร์เท่ ก็ราคาปกติไม่ได้ถูก ส่วนที่พักชอบนอน Airbnb มากกว่าเพราะกินปลาดิบไม่ได้ อยากอยู่อพาร์ตเม้นท์ที่ทำอาหารได้และที่สำคัญคือโรงแรมที่ราคาดีเต็มหมดแล้ว ตอนนั้นไปเที่ยวเกียวโตและเมืองรอบๆ 8 วันค่ะ

           ไปญี่ปุ่นแทบไม่ต้องระวังอะไรเลย ของหายไม่ต้องกังวล หน้าหนาวอากาศดี เดินชิวเล่นได้ เจอคนไทยเยอะมากค่ะ ยิ้มๆให้กันไปไม่มีอะไร ข้อดีคือ ตื่นสายได้อีกแล้วดีใจมาก เหนื่อยก็พัก ทำให้เรารู้สึกว่ามันคือการมาเที่ยวจริงๆ มาพักผ่อน ปัญหาของคนไปเที่ยวคนเดียวก็คือ การถ่ายรูปนั่นเองนะคะ คนเราก็ต้องอยากมีรูปบ้างเนอะ เริ่มต้นเราก็ต้องให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายถ่ายรูปให้ target person เวลามองคนไหนที่สบตาเรานั่นแหละค่ะ
           ถ้าเป็นวัยรุ่นและถือกล้องดู function เยอะเว่อวังอลังการน่าจะถ่ายสวยแน่ๆแต่บางครั้งก็ไปกวนบ่อยๆไม่ได้นะคะ บางทีเค้าก็อยากซึมซับบรรยาศเนอะ ถ้าเค้าไม่ถ่ายให้ก็อย่าไปโกรธกันนะคะ แต่ส่วนมากเจอแต่คนใจดี ผลัดถ่ายรูปให้กันค่ะ ส่วนของคนญี่ปุ่นก็จะพยายามเข้ามาช่วยถ่ายแต่บางทีอายุเยอะกดถ่ายรูปไม่ค่อยเป็น ดังนั้นเราเลยหาวิธีใหม่ค่ะ คือตอนนั้นไม่ได้ซื้อขาตั้งกล้องไปเพราะจองทริปแบบกระทันหัน เราเลยวางกล้องไปกับตอไม้ โขดหินบ้างไรบ้าง แล้วก็ตั้งเวลาถ่ายรูปซึ่งเป็นวิธีที่เพลินมาก จะทำท่าไหนก็ได้ ถ่ายจนกว่าจะพอใจ ชอบมากๆแต่ยังไงต้องระวังนิดนึงนะคะถ้าเราจะตั้งกล้องถ่ายต้องดูคนอื่นด้วย อย่าให้เค้ารอนาน ส่วนมากเราตั้งกล้องตรงที่คนไม่เยอะค่ะ  ส่วนที่คนเยอะจะให้คนอื่นช่วยถ่ายให้ ตอนกลับมาได้รูปสวยเยอะมากเลยค่ะ

            รีวิวญี่ปุ่นเยอะมากขอไม่พูดดีกว่านะคะ แต่ที่เราชอบคือ Mino waterfall นั่งรถไฟจากเกียวโตไปใกล้ๆค่ะ แต่เดินเยอะนิดนึง


3rd Trip: Summertime in Sydney 2016

              มาสู่ทริปที่ 3 นะคะหลังจากเริ่มไปเที่ยวคนเดียวแล้วชอบมากก็จะติดสุดๆ พยายามมองหาทริปหน้าว่าจะไปไหนดี กลับมาสู่ทริปนี้นะคะเป็นช่วงที่เรียนเหมือนเดิม เครียดตลอดเวลาจริงๆไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลย ไปเที่ยวช่วงเวเคชันเหมือนเดิม เดือนพฤศจิกายนเหมือนเดิม มีเวลาวางแผนล่วงหน้านานค่ะ ก็เลยดูว่าช่วงพ.ย. มีปะเทศไหนน่าเที่ยวบ้าง ตอนแรกจะไปฝรั่งเศสอยากไปดูใบไม้สีเหลืองสีแดงไรบ้าง   แต่ปัญหาคือวางระเบิดบ่อยมากกลัวไปเที่ยวคนเดียวแล้วตายไม่ได้กลับบ้านเลยเปลี่ยนใจ 555 อยู่ดีๆก็มีโปรไปออสเตรเลียก็เลยจองไปแบบงงๆ เนื่องจากเราไม่เคยไปทวีปออสเตรเลียมาก่อน ไม่มีไอเดียอะไรเลยรู้จักแค่ Opera house and Koala bear เท่านั้นจริงๆ 555 หลังจองตั๋วก็ไปขอวีซ่าแบบงงๆ จำไม่ได้ว่ากี่บาทแต่จำได้ว่าแพงขอแบบ single entry  ไม่มีปัญหาอะไรได้วีซ่ามาละ ปัญหาคือ เป็นช่วงหน้าร้อนพอดีที่พักแพงและคนเยอะมากจริงๆ

             วางแผนเที่ยว เริ่มตั้งแต่การเสิร์ชว่าจะไปที่ไหนดี เลือกไม่ได้เลยว่าจะไปซิดนี่ย์หรือเมลเบิร์น opera house ก็ต้องไปดูไม่งั้นก็เหมือนไปไม่ถึง Apostle ก็ต้องไปเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกไม่รู้ว่าจะได้กลับไปอีกเมื่อไหร่ เผลอๆอาจจะโดนน้ำทะเลซัดหายไปหมด รักพี่เสียดายน้องสรุปเลยไปทั้งสองเมืองเลยค่ะ เย่ๆๆๆ

              Sydney เมืองแสนแพงตอนนี้เราเลือกพักที่โรงแรมนั่งทิวบ์ไปประมาณ 3 สถานีค่ะไม่ไกล ตอนไปอากาศดีมากมายนะคะ ไม่ได้วางแผนเที่ยวอะไรเลยไปชิวๆจริงๆ สรุปคือทุกวันไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกดีที่ opera house ค่ะ สวยงามมากจริงๆ

            ที่ขาดไม่ได้ต่อมาคือต้องไปหาโคอาล่าให้ได้ เราเลือกไปที่ Taronga zoo นั่ง ferry boat ไปชมวิว อากาศก็ดีมากมายจริงๆ ที่สำคัญเจอน้องคนไทยด้วยค่ะให้น้องช่วยถ่ายรูป สอบถามไปน้องมาเรียนที่เมลเบิร์น ความรู้จักแล้วก็นัดแนะกัน ขอบคุณน้องพีซมากนะคะ มาถึงสวนสัตว์มัวแต่เดินถ่ายรูปกว่าจะไปถึงตรงที่เค้าให้ดูโคอาล่า ตั๋วก็ขายหมด เซ็งมากพูดเลยแต่ทันใดนั้นมีคนมาขายตั๋วให้ค่ะเพราะลูกสาวเค้าหลับค่ะเลยไม่ได้เข้าโชคดีมากๆๆๆ อิจฉาหมีมากมีคนดูแลอย่างดี นอนวันละ 20 ชั่วโมง กินอิ่มนอนหลับ เสียค่าถ่ายรูปเพิ่มอีกแต่จำไม่ได้ว่ากี่พัน เสียดายที่นี่ไม่ให้จับ ร้องไห้หนักมาก แต่ให้อภัยเพราะเค้าให้เราซ่อมถ่ายรูปจนกว่าจะพอใจ หมีน่ารักเว่อๆค่ะอยากเอากลับบ้านจัง อิจฉานางมาก

             ร้านอาหารที่เค้าแนะนำคือ pancake on the rock อยู่หลัง opera house คือตอนไปแบบโชคดีมากๆค่ะ ไม่ต้องรอเลย แต่ไปคนเดียวกินไม่หมดอ่ะคะ รสชาติใช้ได้นะเหมือนซิสเล่อราคาพรีเมี่ยมเลย 5555

Sunset at Darling Harbour
            
           ต่อมาที่ต้องไป Bondi Beach สำหรับเราสีน้ำทะเลสวยดีนะคะ แต่ไม่เล่นอ่ะหนาว เดินเอา feeling ก็พอแต่เดินไกลมากไปทำให้ตอนแรกตั้งใจจะไป sport club ไปถ่ายรูปเลยไม่ไปเหนื่อยเกิน 555


                สำหรับเรา คนที่ชอบประวัติศาสตร์ความเป็นมาปราสาทแบบยุโรปจะไม่เจอในออสเตรเลียนะคะทำใจเลย สำหรับเรามันเหมือนอังกฤษมากๆทุกอย่างตั้งแต่ทิวบ์แต่เป็นแบบ2 ชั้นแทน อาหาร555 ของช็อปปิงที่ดังก็ลิป Pawpaw เราว่ามันเหมือนวาสลีนนะแต่แค่ package สะดวกใช้ แล้วก็ UGG boot ถูกดีค่ะ ส่วนอย่างอื่นแพงกว่าเมืองไทย หลังจากนั้นก็นั่งเครื่องบิน virgin ไปที่เมลเบิร์นค่ะ ใช้เวลา 2 ชั่วโมง

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่